บทที่ 104 มาแข่งกันด้วยการหั่นหัวไชเท้าร้อยหัวเถอะ

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

โอวหยางเสี่ยวอี้และหยางเฉินเดินตามปู้ฟางมาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว เมื่อมองไปที่ปากทางเข้าตรอกแล้วเห็นฝูงชนมากมาย โอวหยางเสี่ยวอี้ก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที

ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์นี้ไม่เหมือนใครจริงๆ อุตส่าห์พาคนมาด้วยตั้งมากตั้งมายเพื่อมาดูการแข่งขัน หมอนี่มันถึงขั้นไปบอกคนทั้งเมืองเลยหรือเปล่านะ

เฉียนเป่ายิ้มแก้มแทบปริอยู่ตรงปากทางเข้าตรอก ขณะมองจำนวนคนที่มาชมการแข่งขันในวันนี้ เขาตื่นเต้นกับจำนวนคนที่มากันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งเป็นอันมาก ทันทีที่ข่าวพ่อครัวจากร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ล้มเถ้าแก่ร้านใจไม้ไส้ระกำได้แพร่กระจายออกไป ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ของเขาจะต้องโด่งดังยิ่งกว่าเดิมแน่นอน เมื่อเวลานั้นมาถึง ลูกค้ามากมายจะต้องหลั่งไหลมาที่ร้านเขา แล้วร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ก็จะขายดีเป็นเทน้ำเทท่ายิ่งกว่าเดิม

 “ตายๆ เถ้าแก่ปู้ มาแล้วสินะ ดูสิว่ามีคนให้ความสนใจการประลองของเรามากขนาดไหน อย่าออมมือให้พวกข้าเล่า” เฉียนเป่ากระหยิ่มยิ้มย่องขณะพูดกับปู้ฟาง

ปู้ฟางมองอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน เขาเข้าใจดีว่าเฉียนเป่าพยายามทำสิ่งใด ชายคนนี้ต้องการใช้เขาเป็นบันไดเพื่อเหยียบขึ้นไปให้ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์โด่งดังยิ่งขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง

มันไม่ได้เป็นความคิดที่ผิดแต่อย่างใด เนื่องจากตอนนี้ร้านของปู้ฟางมีชื่อเสียงโจษจันไปทั่วนครหลวง หากร้านปักษาเพลิงนิรันดร์สามารถเอาชนะเขาได้ในการแข่งขันครั้งนี้ แปลว่าชื่อเสียงของร้านก็จะพุ่งพรวดมากขึ้นไปอีกนั่นเอง

แต่การตัดสินใจนี้ของเฉียนเป่า ตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่าพ่อครัวเจ้าจะสามารถล้มปู้ฟางได้ในการแข่งทักษะการใช้มีด

ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วเดินไปที่โต๊ะอีกตัวหนึ่ง บนโต๊ะนั้นมีวัตถุดิบสดใหม่อยู่มากมาย หิมะเกล็ดใหญ่ที่ตกจากฟากฟ้าร่วงหล่นลงบนวัตถุดิบเหล่านี้

ทันทีที่พ่อครัวเจ้าเห็นปู้ฟาง เขาก็หยิบมีดอีโต้เล่มใหญ่ออกมาเพื่อขู่ให้กลัว มีดคมกริบหมุนวนส่องแสงอยู่ในมือล้อประกายแดดยามเย็น

เสียงตัดอากาศหวีดหวิวจากมีดทำครัวที่หมุนไปมาดังตัดเสียงบรรยากาศรอบตัว ทำให้ฝูงชนที่ยังคุยกันเจื้อยแจ้วก่อนหน้านี้เริ่มเงียบลง ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจลุ้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในการประลอง

 “เถ้าแก่ปู้ ข้าฝึกฝนทักษะการใช้มีดมามากกว่าสิบปี ข้าจะไม่ออมมือแม้แต่น้อย และจะใช้ทุกกลเม็ดที่ข้ารู้ในการเอาชนะท่านให้จงได้” พ่อครัวเจ้าพูด จากนั้นก็เอามือตบลงบนโต๊ะ ส่งหัวมันกลมดิกให้ลอยขึ้นไปในอากาศ

ดวงตาของพ่อครัวเจ้าคมกริบ มีดทำครัวในมือฟาดออกไป มีดนั้นหมุนวนอยู่ในอากาศ ส่งเสียงฉวัดเฉวียนดังฉับๆ เหมือนกำลังตัดบางสิ่งอยู่

มีดทำคัวของพ่อครัวเจ้าตัดดังฉับเป็นครั้งสุดท้ายในแนวนอน จากนั้นก็หยุดตรงหน้าเขา หัวมันถูกตัดเป็นแผ่นบางเรียงตัวสวยงามอยู่บนใบมีด

เป็นการแสดงที่สวยงามน่าทึ่งเป็นอันมาก อย่างน้อยฝูงชนที่มุงดูอยู่ก็ต่างปรบมือชื่นชมด้วยความตื่นเต้น

พ่อครัวเจ้าวางแผ่นมันลงบนจาน มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มมั่นใจสุดขีด พร้อมหันมามองปู้ฟางด้วยสายตายั่วยุ

สีหน้าของชายหนุ่มยังคงเรียบเฉย เขาไม่ได้ประหลาดใจกับการแสดงหั่นหัวมันของพ่อครัวเจ้าแม้แต่น้อย

โอวหยางเสี่ยวอี้ที่ยืนอยู่ข้างปู้ฟางเองก็พ่นลมเยาะอย่างเดียดฉันท์เช่นกันเมื่อเห็นสายตายั่วยุของพ่อครัวเจ้า

 “จะแข่งกันอย่างไรก็บอกมา ข้าจะได้กลับไปนอนเสียที” ปู้ฟางพูดอย่างไร้อารมณ์ น้ำเสียงของเขาสงบเหมือนน้ำนิ่ง

แต่น้ำเสียงเรียบเฉยของปู้ฟางกลับฟังดูไม่มีความมั่นใจในสายตาคนอื่น ทันใดนั้นสายตาของผู้ชมที่มองปู้ฟางก็เปลี่ยนเป็นเย้ยหยันขบขัน มีแม้กระทั่งคนโห่ไล่เขาในฝูงชน

เฉียนเป่าปลื้มปริ่มเป็นอันมากเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ยิ่งเขาเหยียบย่ำเถ้าแก่ปู้ให้จมดินมากเท่าใด ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ของเขาก็จะยิ่งโด่งดังมากขึ้นเท่านั้น

 “การแข่งขันในครั้งนี้จะวัดทักษะสามประการด้วยกัน ได้แก่ ความเร็ว ความแม่นยำ และความเด็ดขาด ความเร็วนั้นหมายถึงความเร็วที่ท่านใช้ในการหั่นวัตถุดิบซึ่งเถ้าแก่ปู้น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว ความแม่นยำหมายถึงความแม่นยำในการใช้มีดอย่างเที่ยงตรง และความเด็ดขาดคือความสามารถในการจัดการวัตถุดิบประเภทเนื้อ วันนี้เราจะแข่งกันสามเรื่องด้วยกัน” พ่อครัวเจ้าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขณะปักมีดลงบนเขียง

ปู้ฟางพยักหน้า เขาไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อยเนื่องจากทั้งสามประการนี้เป็นพื้นฐานในการประลองการใช้มีดอยู่แล้ว

 “เริ่มเลยก็แล้วกัน” ชายหนุ่มเอ่ย

 “ยอดเยี่ยม! เช่นนั้นเราจะเริ่มจากความเร็วก่อน เรามีหัวไชเท้าอยู่สองร้อยหัวด้วยกัน ใครที่หั่นหัวไชเท้าร้อยหัวเสร็จก่อนคนนั้นเป็นผู้ชนะ” พ่อครัวเจ้าประกาศ

 “หัวไชเท้า… อีกแล้วรึ” ปู้ฟางคิด มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะมองกองหัวไชเท้าบนโต๊ะตรงหน้า จากนั้นก็ตอบเสียงเบา “ได้”

 “เถ้าแก่ปู้ดูให้ดีเล่า! ข้าจะเริ่มแล้วนะ!” เมื่อพ่อครัวเจ้าได้ยินคำตอบของปู้ฟาง พลังนักสู้ในกายก็ระเบิดออกมาทันที ทำให้ชุดพ่อครัวเต็มยศของเขาโบกสะบัดไปมาอย่างองอาจ

พ่อครัวเจ้าคว้ามีดทำครัวออกมาอีกเล่มหนึ่ง เขาตั้งใจจะใช้มีดสองเล่มในการหั่นหัวไชเท้าไปพร้อมๆ กัน

เขาเริ่มจากการใช้มีดทำครัวตวัดหัวไชเท้าหัวหนึ่งมาวางบนเขียงก่อน จากนั้นก็เริ่มสับลงไปอย่างรวดเร็วเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ปัก ปัก ปัก… ภายในลมหายใจเดียว หัวไชเท้าทั้งหัวก็ถูกหั่นเป็นชิ้นบางเท่ากัน หลังจากที่หั่นหัวไชเท้าหัวแรกเสร็จ พ่อครัวเจ้าก็เตรียมหัวที่สองต่อไป

สมแล้วที่เป็นพ่อครัวที่ใช้เวลาหลายสิบปีในการสั่งสมประสบการณ์การใช้มีด พ่อครัวเจ้าเป็นพ่อครัวที่จัดได้ว่าพิชิตทักษะการใช้มีดทำครัวได้อย่างแท้จริง และได้เดินทางมาถึงจุดที่พ่อครัวแม่ครัวหลายต่อหลายคนได้แต่ฝันถึงแล้ว ความจริงที่ว่าเขาใช้มีดสองเล่มในการหั่นแต่ยังสามารถควบคุมความแม่นยำได้นั้น เป็นเรื่องยากมากถึงมากที่สุดสำหรับใครหลายคน นี่ยังไม่พูดถึงความเร็วที่เร็วจนน่าเหลือเชื่อของเขาจนหลายคนมองตามไม่ทันด้วยซ้ำ

พ่อครัวเจ้าหั่นหัวไชเท้าร้อยหัวหมดภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ

หลังจากที่หั่นหัวไชเท้าหัวสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย เขาก็กระแทกมีดทำครัวทั้งสองเล่มให้ปักลงบนเขียง แล้วถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากประปราย

เสียงอุทานด้วยความทึ่งและเสียงให้กำลังใจระเบิดออกมาจากฝูงชนที่รายล้อม ทำให้พ่อครัวเจ้ารู้สึกมั่นใจขึ้นอีกมากโข เชื่อสุดหัวใจว่าปู้ฟางไม่มีวันเอาชนะเขาได้อย่างแน่นอน

 “เถ้าแก่ปู้ ถึงตาท่านแล้ว!” พ่อครัวเจ้าพูดด้วยความมั่นใจเต็มล้น

ปู้ฟางเหลือบตามองอีกฝ่ายเล็กน้อย ส่ายหน้าน้อยๆ จนแทบมองไม่เห็น จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ

 “ในเมื่อรนหาที่ตายเองข้าก็ต้องสนองให้ ดูเหมือนระบบจะอยากให้ข้าสอนให้พวกเจ้าเป็นคนดีขึ้น หากข้าไม่แสดงกระบวนท่าเด็ดให้ดูสักท่าสองท่า… ข้าคงนอนตายตาไม่หลับ” ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง เขาไม่ได้เลือกใช้มีดทำครัวกระดูกมังกรทอง แต่หยิบมีดทำครัวธรรมดาออกมาแทน

หลังจากที่หมุนมีดทำครัวไปมาด้วยท่วงท่าที่ไม่ได้ดูน่าประทับใจเป็นพิเศษ ปู้ฟางก็ใช้นิ้วสะบัดมีดในมือพร้อมพยักหน้าส่งสัญญาณ

 “เริ่มจับเวลา!” เฉียนเป่าพูดกลั้วหัวเราะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจเหลือล้น วันนี้พ่อครัวเจ้าทำได้ดีกว่าปกติ จัดได้ว่าเป็นผลงานที่ลอยลำมาเห็นๆ เลยทีเดียว

 “เอาล่ะ เริ่มได้” ปู้ฟางพูดเสียงเรียบ จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมารวบรวมพลังปราณเที่ยงแท้ภายในกายมาไว้ในอุ้งมือ แล้วตบมือลงบนตะ เขาควบคุมพลังปราณให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ โดยไม่ทำให้โต๊ะพัง แต่มากพอที่จะส่งหัวไชเท้าทั้งหมดให้ลอยขึ้นในอากาศ

ฟิ้ว…

ตอนนั้นเอง ดวงตาของชายหนุ่มก็พลันคมกริบเหมือนเหยี่ยว พลังปราณที่ปล่อยออกจากกายแปรเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

หัวไชเท้าร้อยหัวลอยอยู่กลางอากาศ จากนั้นมีดทำครัวในมือปู้ฟางก็เริ่มหมุนด้วยตนเอง ความเร็วในการหมุนของมันนั้นเร็วมากเสียจนทำให้ผู้ชมที่เฝ้าดูอยู่กลัวจับขั้วหัวใจกันเลยทีเดียว มีดทำครัวที่เปลี่ยนสภาพไปเป็นลำแสงทำลายล้างแสนอันตรายพลันตัดในแนวดิ่ง

ฉับ! ฉับ!

ทุกคนในที่แห่งนั้นนิ่งอึ้งจนพูดไม่ออก สีหน้าไม่อยากเชื่อสายตาตนเองขณะมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ในคลองจักษุของพวกเขา ทุกสิ่งที่อยู่ในวิสัยทัศน์นอกเหนือจากหัวไชเท้าร้อยหัวและลำแสงที่ลอยออกจากความมืดพลันมลายหายไปสิ้น ลำแสงนั้นเปรียบเสมือนฝนดาวตกที่พุ่งผ่านท้องฟ้ามืดมิดยามค่ำคืน ตัดหัวไชเท้าที่ลอยอยู่กลางความมืดมิดนั้น

ทันทีที่ความมืดค่อยๆ หายไป ทุกคนก็กลับมามองเห็นปกติอีกครั้ง พวกเขาเห็นหัวไชเท้าร้อยหัวที่ลอยอยู่กลางอากาศระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทุกชิ้นเป็นทรงลูกบาศก์ขนาดเล็กเท่ากันไม่ผิดแผก เล็กกว่าผลงานของพ่อครัวเจ้าเสียด้วยซ้ำไป…

พลั่ก พลั่ก พลั่ก!

ตอนที่ท้องฟ้ากำลังตกลงมาเป็นฝนหัวไชเท้าหั่นเต๋านั้นเอง ปู้ฟางก็ถือตะกร้าเอาไว้ในมือหนึ่งใบ คอยรับหัวไชเท้าที่ร่วงลงมาจากฟากฟ้า เมื่อหัวไชเท้าชิ้นสุดท้ายตกลงบนกองภูเขาหัวไชเท้าในตะกร้าเรียบร้อย และกลิ้งไปมาอยู่สักพักหนึ่งก่อนนิ่งสนิ่ท ปู้ฟางก็แข่งขันรายการแรกเสร็จ

เวลาที่เขาใช้… คือสี่ลมหายใจ นี่รวมถึงเวลาที่เขารอให้หัวไชเท้าตกลงมาในตะกร้าจนครบด้วย

ตอนนั้นเองทั้งตรอกก็เงียบสงัดจนหากมีเข็มตกคงได้ยินกันถ้วนทั่ว ทุกคนจ้องไปที่ปู้ฟางด้วยสายตาเหม่อลอย รอยยิ้มมั่นอกมั่นใจบนใบหน้าของพ่อครัวเจ้าแข็งทื่อไปทันที เขาดูกลายเป็นตัวตลกในสายตาทุกคนภายในพริบตา

สีหน้าของปู้ฟางยังคงเรียบเฉย พ่อครัวเจ้ารู้สึกราวกับกำลังถูกจับแก้ผ้าประจานต่อหน้าสาธารณชน… “ให้ตายเถิด! นั่นน่ะหรือที่เจ้าเรียกว่าทักษะการใช้มีด มันต่างจากโกงซึ่งๆ หน้าตรงไหนกันนี่!”

………………….