บทที่ 84 ถูกต่อต้าน

หลังจากถวนถวนเข้าไปข้างในโรงเรียนแล้ว สวีรุ่ยหันกลับมามองที่อวี้ฮ่าวหราน และเอ่ยขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ที่คุณซื้อบ้านให้ฉันอยู่ ฉันยังไม่ได้ขอบคุณเลย”

“ไม่จำเป็นหรอก มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

อวี้ฮ่าวหรานยักไหล่แสดงท่าทางว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่จริง ๆ

“ไม่ได้! คุณไม่รู้หรอกว่ามันสำคัญสำหรับฉันขนาดไหน!”

สวีรุ่ยไม่สนใจว่าฝั่งตรงข้ามจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน เธอเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมกับจับแขนอวี้ฮ่าวหราน

“ไม่ว่ายังไง ฉันต้องขอบคุณให้เหมาะสม!”

ในขณะที่สวีรุ่ยยังไม่รู้ตัวว่าการกระทำของเธอมันเปิดเผยไปหน่อย อวี้ฮ่าวหรานกลับแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วน เพราะในระหว่างที่สวีรุ่ยจับแขนของเขาอยู่ตอนนี้ ตัวของเธอมันแนบชิดกับแขนของเขาไปด้วยจนเขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่มันนุ่มนิ่มกว่าส่วนอื่น ๆ ของร่างกายเธอ

“อะแฮ่ม เอาไว้พวกเราคุยเรื่องนี้กันทีหลังดีไหม เราค่อยคุยกันอีกทีตอนอยู่ในที่ลับตาคนสักหน่อยจะดีกว่า”

อวี้ฮ่าวหรานตั้งใจจะสื่อว่าพวกเขาไม่ควรจะใกล้ชิดกันเกินไปในที่สาธารณะแบบนี้ แต่ทันทีที่เขาเผลอพูดประโยคนี้ออกไปเขาก็รู้ตัวว่าเขาเลือกใช้คำพูดผิดไปหน่อย!

พ่อม่ายชวนครูสาวไปคุยกันในที่ลับตาคน?

ใบหน้าของสวีรุ่ยเปลี่ยนเป็นแดงก่ำทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้ พร้อมกันนั้นเธอรีบปล่อยแขนของอวี้ฮ่าวหรานทันที

“ก…ก็ได้…เอาไว้พวกเราค่อยคุยกันทีหลัง…” สวีรุ่ยเอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกัก

“เอ่อ…คุณรู้ใช่ไหมว่าผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น?” อวี้ฮ่าวหรานรีบเอ่ยขึ้นทันทีเพื่อแก้ไขความเข้าใจเธอใหม่

“ฉ…ฉันเข้าใจว่าคุณหมายความว่าอะไร…”

ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างรู้สึกกระอักกระอ่วน อวี้ฮ่าวหรานจึงพยักหน้าแล้วรีบเดินจากไปขึ้นรถอย่างรวดเร็ว

เขาไม่อยากจะรั้งคุยต่อไปให้มากกว่านี้เพราะมันอาจจะยิ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปมากกว่าเดิม

ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ตัวดีว่าเขาไม่ได้คิดอะไร แต่เขาไม่แน่ใจว่าสวีรุ่ยจะเข้าใจตรงกันกับเขาทั้งหมดรึเปล่า

หลังจากขึ้นรถและปรับอารมณ์ตัวเองเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานขับรถตรงไปที่บริษัทชงซานทันที

วันนี้เขาตั้งใจว่าจะทำการเริ่มปรับโครงสร้างบริษัทใหม่ทั้งหมด!

“ผู้จัดการหวัง คุณเรียกตัวบอร์ดบริหารทั้งหมดของบริษัททั้งหมดที่เป็นเจ้าของมาประชุมกับผมทันที”

อวี้ฮ่าวหรานออกคำสั่งผู้จัดการคนใหม่ที่เขาเพิ่งจ้างมาสด ๆ ร้อน ๆ ซึ่งเป็นชายอายุอายุ 30 ต้น ๆ ที่จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศและมีประสบการณ์การทำงานในด้านการเป็นผู้จัดการบริษัทมาแล้วหลายปี

ผู้จัดการหวังไม่รีรอเลยเมื่อได้รับคำสั่ง เขารีบไปดำเนินการตามที่อวี้ฮ่าวหรานสั่งการอย่างรวดเร็ว

1 ชั่วโมงต่อมา รถหรูจำนวนมากก็มาจอดที่หน้าตึกบริษัทชงซาน ซึ่งคนที่ลงจากรถเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นพวกบรรดาผู้บริหารบริษัทในเครือของอวี้ฮ่าวหรานทั้งหมด

หลังจากทุกคนเข้ามานั่งในห้องประชุมขนาดใหญ่กันครบหมดแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็ประกาศแผนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริษัททันที

“เอาล่ะในเมื่อตอนนี้ทุกคนมากันครบแล้ว ผมจะขอประกาศแผนเปลี่ยนโครงสร้างบริษัทใหม่ให้กับทุกคนได้รู้”

เมื่อพูดถึงจุดนี้ อวี้ฮ่าวหรานหยุดลงและส่งสัญญาณให้ผู้จัดการหวัง “ผู้จัดการหวัง คุณนำเสนอแผนการปรับโครงสร้างบริษัททั้งหมดให้กับบอร์ดบริหารทุกคนในที่นี้ได้ดู แสดงรายละเอียดและอธิบายทุกอย่างให้ทุกคนให้เข้าใจให้หมด”

ผู้จัดการหวังพยักหน้าและรับช่วงต่อทันที “ทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่าอัตราการเจริญเติบโตของบริษัทเราหยุดชะงักมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นต้องมีแผนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริษัทใหม่ทั้งหมด ซึ่งตอนนี้บริษัทของทุกคนในที่นี้ได้ควบรวมกันเรียบร้อยแล้วเป็นบริษัทเดียวกันในนามเครือฮ่าวหราน ดังนั้นแผนการต่อไปของเราก็คือจะมีการแบ่งแผนกต่าง ๆ ออกเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน…”

“เดี๋ยวก่อน!”

ถึงแม้ว่าอวี้ฮ่าวหรานจะประกาศโดยใช้โทนเสียงแข็งซึ่งบอกเป็นนัยว่าคำสั่งของเขาคือห้ามใครถกเถียง แต่มันก็ยังมีคนที่พูดขัดขึ้นมาอยู่ดี

คนที่เอ่ยขัดขึ้นคือชายอายุราว 50 กว่า ๆ ที่มีแววตาหยิ่งผยอง

“คุณขึ้นมาบริหารไม่ทันไรก็จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริษัทใหม่แล้วงั้นเหรอ? คุณรู้รึเปล่าว่าการปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริษัทใหม่มันยุ่งยากแค่ไหน? หากการเปลี่ยนแปลงนี้ผิดพลาดแค่เพียงเล็กน้อย…. มันจะหมายถึงว่าการดำเนินงานทั้งหมดต้องหยุดชะงักและนั่นจะเป็นความเสียหายของบริษัทอย่างใหญ่หลวง!”

ในทันทีที่ชายคนนี้พูดจบ หลายคนที่อยู่ในห้องประชุมต่างก็พยักหน้าและพูดขึ้นสนับสนุน

“ใช่! คนหนุ่มอย่างคุณจะไปรู้เรื่องอะไร เพิ่งเข้ามาบริหารใหม่แท้ ๆ ยังไม่รู้จักบริษัททั้งหมดดีด้วยซ้ำแต่กลับบังคับให้ทุกบริษัทควบรวมกันจนหมดแบบนี้คุณคิดอะไรอยู่?”

“คุณคิดตื้นเกินไป แค่คิดอยากจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริษัทใหม่ทั้งหมดคุณก็จะเปลี่ยนทันทีเลยงั้นเหรอ? คุณวิเคราะห์มาดีแล้วรึยัง? คุณวางแผนเอาไว้มากขนาดไหน? แล้วถ้าหากทุกอย่างพังทลายขึ้นมาคุณรับผิดชอบไหวเหรอไง?”

“…”

เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ชายคนที่เป็นคนพูดคนแรกเผยรอยยิ้มสะใจออกมาในทันที

“ผมว่าการที่คุณแสดงให้เห็นถึงความไร้ความสามารถตั้งแต่เริ่มแบบนี้… มันย่อมหมายความว่าคุณไม่คู่ควรแก่การนั่งตำแหน่งประธานบริหารตรงนั้นเลย คุณควรให้คนอื่นที่เขามีความสามารถกว่ามานั่งที่ตรงนั้นแทนจะดีกว่าไหม?”

แววตาของอวี้ฮ่าวหรานเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที เขาไม่คิดว่าเขาจะเจอกับการต่อต้านที่หนักหน่วงตั้งแต่เริ่มแผนแบบนี้

ชายชราที่พูดขึ้นมาคนแรก เมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานยังไม่ตอบอะไรกลับเขาก็ยิ่งได้ใจมากกว่าเดิม

ชายชราคนนี้คือผู้ที่เคยเป็นประธานของบริษัทในเครือตระกูลอู๋ที่ถูกเฉิงกัวอันฮุบมา เขามีชื่อว่าเจิ้งเหวยกัว

เขาไม่สบอารมณ์อยู่แล้วที่บริษัทของตัวเองถูกคนอื่นฮุบไป ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะปลดปล่อยความโกรธนี้ไปลงที่อวี้ฮ่าวหราน ซึ่งกลายมาเป็นเจ้าของบริษัทของเขาในตอนนี้ เขาต้องการที่จะผนึกกำลังกับบรรดาผู้บริหารทั้งหลายที่เคยอยู่ภายใต้ตระกูลอู๋ให้ขับไล่อวี้ฮ่าวหรานออกไป

“แต่ว่าเพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ของบริษัท หากคุณสามารถพิสูจน์ได้ว่าคุณจะไม่ทำให้พวกเราทุกคนในที่นี่เสียผลประโยชน์ไปด้วย ผมจะยอมทำตามแผนที่คุณบอกมา”

หลังจากพูดจบ เจิ้งเหวยกัวหันไปยิ้มส่งสัญญาณให้กับบรรดาผู้บริหารที่เคยอยู่ภายใต้ตระกูลอู๋มาก่อน

เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานนึกอะไรบางอย่างออกได้ทันที เขาเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ทั้งหมดนี้มันคงเป็นเพราะว่าพวกคุณยังคงจงรักภักดีกับตระกูลอู๋อยู่สินะ?”

อวี้ฮ่าวหรานพอจะเดาได้ว่าคนพวกนี้คือพวกผู้บริหารของบริษัทที่เฉิงกัวอันยึดมาจากตระกูลอู๋ก่อนหน้านี้ และตอนนี้พวกเขากำลังดำเนินแผนการปั่นป่วนอยู่

เจิ้งเหวยกัวสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของอวี้ฮ่าวหราน แน่นอนว่าเรื่องนี้อวี้ฮ่าวหรานเดาได้ถูกเต็ม ๆ แต่เขาจะยอมรับมันตรง ๆ ได้ยังไง?

เขาต้องรีบหาเหตุผลที่เหมาะสมมาแก้ตัว!

“คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมแค่คิดถึงผลประโยชน์ของทุกคนที่นี่ก็เท่านั้น ก็ถ้าคุณมีความสามารถจริงคุณก็พิสูจน์มาให้พวกเราเห็น ผมเชื่อว่าทุกคนจะยอมคล้อยตามคุณแน่นอนถ้าคุณมีความสามารถเพียงพอ!”

เจิ้งเหวยกัวลุกขึ้นยืนและพูดขึ้นด้วยท่าทีเป็นกลางซึ่งมันช่วยส่งเสริมให้คำพูดของเขาดูมีน้ำหนักมากขึ้นไปอีก

อวี้ฮ่าวหรานพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิดทันที คนประเภทนี้ที่คิดว่าตัวเองฉลาดนักหนาเขาเคยเห็นมาเยอะแล้ว

วิธีการที่ดีที่สุดในการจัดการกับคนจำพวกนี้คือบี้ให้ตายด้วยกำลังที่เหนือกว่า!

“ได้! ในเมื่ออยากให้ผมพิสูจน์ตัวเอง งั้นพวกคุณก็รอดูเอาได้เลย!”

เมื่อพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องประชุมไปทันทีไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงกับคนพวกนี้ต่อ

“เฮอะ! ก็แค่เด็กหนุ่มไร้ประสบการณ์เท่านั้นเอง แค่โดนสั่งสอนแค่นี้ก็เดินหนีไปซะแล้ว!”

“เยี่ยมเลย นี่ขนาดเริ่มต้นยังไร้ความอดทนขนาดนี้ เดี๋ยวต่อไปหากพวกเรายิ่งกวนเขามาก ๆ เข้า เขาคงอยู่ต่อไม่ไหวแน่ ๆ”

“พี่เจิ้ง แผนของพี่นี่ยอดเยี่ยมจริง ๆ ต่อให้ไอ้เด็กนี่มันจะยังนั่งอยู่ตำแหน่งผู้บริหาร แต่มันก็ไม่มีวันได้ทำผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแน่!”

“…”

บรรดาพวกผู้บริหารที่เคยเป็นคนของตระกูลอู๋ต่างคุยกันอย่างออกรสด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ซึ่งบรรดาผู้บริหารคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ในห้องที่ไม่เคยอยู่กับตระกูลอู๋ต่างก็แสดงสีหน้ากังวล

พวกเขาไม่อยากจะเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่นัก

ในออฟฟิศของอวี้ฮ่าวหราน

“ผู้จัดการหวัง เข้ามาหาผมที”

แทบจะในทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานขานเรียก ผู้จัดการคนใหม่ผู้มากประสบการณ์ก็เปิดประตูเดินเข้ามา

“ประธานอวี้ กำลังกังวลกับเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่ใช่ไหม?”

“อืม คุณรู้รึเปล่าว่ากลุ่มคนพวกนั้นเป็นใครกันบ้าง?” อวี้ฮ่าวหราน ถามกลับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

“คนพวกนั้นทั้งหมดคือบรรดาพวกผู้บริหารจากบริษัทในเครือตระกูลอู๋ที่เรายึดมาได้ ดังนั้นการที่พวกเขาต่อต้านแบบนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหากประธานอวี้อยากจะแก้ปัญหานี้อย่างหมดจดจริง ๆ ท่านประธานก็ต้องแสดงความสามารถให้พวกเขาเห็น…”