ตอนที่ 241 เชื่อใจ / ตอนที่ 242 อาอู่

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 241 เชื่อใจ

ปิ่นหยกธรรมดาแม้เช่นนี้ แต่ก็ยังคงดึงดูดสายตาของเขาได้แม้เพียงมองครั้งเดียว “ราคาเท่าไรหรือ” เขาหยิบปิ่นหยกชิ้นนั้นขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ตัว

ชายชราเจ้าของแผงยิ้มกล่าว “คุณชายตาแหลมเสียจริง เหมาะกับแม่นางน้อยของท่านผู้นั้นยิ่งนัก เพียงห้าเฉียนเท่านั้น”

หูเฟิงรู้สึกร้อนที่ใบหน้าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้มากความ เพียงหยิบถุงเงินออกมาจากในอกเสื้อ แล้วหยิบห้าเฉียนเงินส่งให้เจ้าของแผง

เขาใส่ปิ่นเข้าไปในอกเสื้อ ก่อนจะไปหาไป๋จื่อที่กำลังซื้อใยฝ้าย

ไป๋จื่อตกลงราคากับเจ้าของร้านเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา นางจึงถามว่า “เจ้าไปไหนมา เหตุใดถึงเพิ่งตามมาเล่า”

ชายหนุ่มไพล่สองมือไว้ด้านหลัง พลางเงยหน้ามองท้องฟ้า “ไม่ได้ไปไหน เพียงแค่ดูนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย”

เด็กสาวก็ไม่ได้ถามมาก เมื่อจ่ายเงินแล้วก็ให้หูเฟิงแบกถุงใยฝ้ายขึ้น พอดีกับด้านข้างมีร้านขายผ้าอยู่ด้วย จึงเข้าไปซื้อผ้าอีกสองพับ

แม้พับผ้าจะไม่หนัก แต่กลับยาวมาก ไป๋จื่อถืออยู่สองพับเช่นนั้น ครั้นเดินเหินอยู่ในตลาดที่คึกคักเป็นพิเศษแล้ว จึงไม่สะดวกเป็นอย่างยิ่ง

หูเฟิงเห็นเข้าก็พลันคว้าพับผ้าทั้งสองที่นางโอบอุ้มอยู่ในอกมา “ข้าถือเอง ข้างหน้ามีร้านขายผัก ไปซื้อผักกลับไปสักหน่อยสิ”

เมื่อในมือของไป๋จื่อว่างแล้ว นางก็มองหูเฟิงทันที บัดนี้ไหล่ซ้ายของเขาแบกถุงใยฝ้ายขนาดใหญ่ ส่วนมือขวาประคองผ้าสองพับ ตัวนางเองไม่ได้ถืออะไรทั้งสิ้น ภาพฉากนี้ทำให้นางคิดถึงตอนที่อยู่ในยุคปัจจุบัน นางเคยเห็นหญิงสาวที่มีรอยยิ้มสุขใจเต็มใบหน้ายามชอปปิง ขณะเดียวกันข้างกายก็มีชายหนุ่มที่ถือข้าวของเต็มสองมืออยู่ด้วย

เหมือนกับนางและหูเฟิงในตอนนี้ไม่มีผิด!

นางไม่เคยคบหาดูใจกับผู้ใดมาก่อน แต่ไหนแต่ไรจึงไม่กล้ารับการอุทิศตนของบุรุษอย่างง่ายๆ เรื่องทั่วไปนางล้วนจัดการด้วยตนเอง นางที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเด็ก ในใจขาดความรู้สึกมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่มีทางเชื่อใจผู้ใดง่ายๆ โดยเฉพาะบุรุษที่ปากพูดจาหวานหยดย้อย และเอาใจหญิงสาวเก่งเสียยิ่งกว่าอะไร

ทว่าตั้งแต่นางมาอยู่ที่โลกใบนี้ นิสัยของนางก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดหย่อน

นางเริ่มเชื่อใจคนอื่นอย่างเต็มใจแล้ว

เชื่อใจจ้าวหลาน เชื่อใจหูจ่างหลิน เชื่อใจเมิ่งหนานและจินเสี่ยวอัน รวมถึงหูเฟิงด้วย

คนที่นางเชื่อใจมากที่สุด นอกจากจ้าวหลานแล้ว ก็น่าจะเป็นหูเฟิงนี่แหละ!

หูเฟิงแตกต่างจากบุรุษที่นางเคยเจอในยุคปัจจุบัน เขาพูดน้อยกว่าทำเสมอ และมักจะคอยปกป้องอยู่ข้างกายนางอย่างเงียบๆ ทั้งยังปรากฏตัวขึ้นได้ทันกาลยามที่นางต้องการเขามากที่สุดด้วย

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด ที่นางลดความระแวดระวังทั้งหมดที่มีต่อหูเฟิง ความเชื่อใจที่นางมีให้เขานั้น มากมายเสียยิ่งกว่าความเชื่อใจที่นางมีให้หลินหยางอีก

หลินหยางเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของนางตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่หนึ่ง เขาชอบนาง แต่กลับไม่เคยพูดออกมา เขาตามฝีเท้าของนางเสมอ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยห่าง

ต่อมานางใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด จนกลายเป็นแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไประดับสูง ที่มีความสามารถเฉิดฉายมากที่สุดในโรงพยาบาลหมิงซิง ส่วนหลินหยางก็เหมือนกับนาง เขากลายเป็นหัวหน้าแผนกศัลยกรรมที่โดดเด่นที่สุดในโรงพยาบาลหมิงซิงเช่นกัน

หลินหยางชอบนาง ทว่าไม่เคยพูดออกมาเลยสักครั้ง เพียงอยู่ข้างกายเธออย่างสงบเงียบ คอยเป็นห่วงนางในฐานะเพื่อน เพื่อนร่วมรุ่น ไปจนถึงเพื่อนร่วมงาน ยืนมองนางจากข้างหลังอยู่เงียบๆ

นางเคยคิดว่า จนท้ายที่สุดแล้วนางจะเดินร่วมทางกับหลินหยาง ทว่าวันนั้นไม่เคยไม่ถึง หรืออาจจะเป็นเพราะยังขาดอะไรบางอย่างไป แต่แล้วสิ่งนั้นคืออะไรกัน

“เหม่อหรือ ยังไม่รีบไปซื้ออีก กี่ยามเข้าแล้ว” หูเฟิงเห็นนางเหม่อลอยอีกแล้ว ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ สีหน้าของนางช่างมองออกได้ยากเสียจริง

“อ้อ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” นางดึงสติกลับมา ก่อนจะรีบวิ่งไปทางส่วนที่ขายผัก เพื่อเลือกผักสองสามอย่างที่หูเฟิงชอบกิน

……….

ตอนที่ 242 อาอู่

หูเฟิงเห็นนางถือซี่โครงหมู ข้าวโพด กุยช่าย เต้าหู้ และพริกเขียวอยู่ในมือ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เขาชอบกิน ‘ไม่เลว เด็กสาวผู้นี้รู้ประสายิ่งนัก’

ทั้งสองคนเดินตามกันไปยังสถานที่จอดรถม้า เมื่อไปถึงก็พบว่ารถม้าของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่เดิม แม้แต่ชายหนุ่มคนดูแลรถม้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

หูเฟิงมุ่นคิ้ว ก่อนจะถามชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ “รถม้าของพวกข้าเล่า”

ชายหนุ่มผู้นั้นกวาดสายตามองหูเฟิงครั้งหนึ่ง คล้ายกับมีความรู้สึกดีใจที่เห็นผู้อื่นเดือดร้อนอยู่รางๆ “รถม้าของพวกเจ้าหายไป แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ข้าไม่ได้รับผิดชอบดูแลรถม้าของพวกเจ้าเสียหน่อย”

ชายวัยกลางคนที่นั่งยองอยู่ข้างๆ พูดต่อ “ดูท่าจะหายไปแล้วกระมัง งานดูแลรถม้านี้ ไม่ใช่ว่าใครจะทำก็ได้ บางคนชอบถือโอกาสจูงม้าไปเลี้ยงเอง เจ้ามอบหมายให้เขาจัดการ ก็ไม่ต่างอะไรกับส่งเนื้อเข้าปากเสือ ยังจะมีความเป็นไปได้อื่นอีกหรือ”

ทั้งสองคนกำลังพูดใส่ร้ายอย่างเห็นได้ชัด หูเฟิงและไป๋จื่อไม่เชื่อพวกเขา ขณะกำลังจะสอบถามคนอื่น ทันใดนั้น ชายชราที่เข้ามาแย่งเจรจาค้าขายในตอนแรกก็เดินเข้ามา พลางถลึงตามองสองคนก่อนหน้านี้อย่างไม่พอใจ แล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าจะมีศีลธรรมหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร อาอู่เป็นคนเช่นที่พวกเจ้าว่าหรือ หากไม่ใช่เพราะรีบร้อนเกินไป เขาก็ไม่มีทางบังคับรถม้าของผู้อื่นกลับไปหรอก”

ไป๋จื่อรีบถาม “ท่านลุงเจ้าคะ แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รถม้าของพวกข้าถูกคนดูแลบังคับไปจริงหรือ”

ชายชราก็รีบกล่าวเช่นกัน “แม่นาง เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เมื่อหนึ่งก้านธูปก่อนหน้า ลุงสี่ของอาอู่มาหาเขา บอกว่าภรรยาและลูกของเขาถูกเจ้าของที่ดินไล่ออกมา น่าสงสารยิ่งนัก บุตรสาวของเขายังป่วยอยู่เลย ทั้งยังไม่มีเงินรักษา ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจะผ่านช่วงวิกฤตินี้ไปได้หรือไม่ เมื่อครู่เขารีบร้อนนัก ด้วยกลัวว่าภรรยาและลูกจะถูกคนรังแก ถึงได้เร่งร้อนบังคับรถม้าของพวกเจ้ากลับไป พวกเจ้าต้องเชื่ออาอู่นะ เขาไม่มีทางขโมยรถม้าของเจ้าไปแล้วไม่คืนอย่างแน่นอน”

“บ้านของเขาอยู่ที่ไหนหรือเจ้าคะ ช่วยนำทางข้าไปได้หรือไม่” ไป๋จื่อถามอีก

ชายชราอยากช่วยทีเดียว ทว่าวันนี้เขายังไม่ได้รับงานเลย หากกลับบ้านไปมือเปล่า ก็ไม่รู้ว่ากลับบ้านไปแล้ว ภรรยาจะต่อว่าเขาถึงเมื่อใด

ไป๋จื่อหยิบเงินห้าเฉียนออกมาจากในถุงเงิน ก่อนจะส่งให้ถึงมือของชายชรา “ท่านลุง ถือเสียว่าพวกข้าขอให้ท่านดูรถม้าก็แล้วกัน”

อีกฝ่ายดีใจเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเด็กสาวสวมเสื้อผ้าหยาบตรงหน้า ที่ดูไม่เหมือนคนร่ำรวยอะไร กลับใจกว้างมอบเงินให้เขาเช่นนี้

“ได้ๆ ข้าจะนำทางพวกเจ้าไป”

บ้านของอาอู่อยู่ห่างจากตลาดไม่ไกลนัก ครั้นทะลุผ่านถนนเส้นนี้ไป ก็เลี้ยวเข้าถนนอีกเส้นหนึ่ง บ้านหลังเล็กที่ท้ายถนนก็คือสถานที่ที่พวกเขาเช่าอยู่

ทั้งสามได้ยินเสียงเอะอะดังมาแต่ไกล

“ค้างค่าเช่าบ้านข้าสามเดือน ยังคิดจะอยู่ต่ออีกหรือ อยากอยู่ต่อย่อมได้ แต่คืนเงินที่ติดไว้ก่อนหน้านี้มาเสียก่อน” เจ้าของบ้านวัยกลางคนร่างอ้วนเตี้ยถลึงตามองอาอู่อย่างดุดัน

ภรรยาของอาอู่หลบอยู่ด้านหลัง ในอกกอดบุตรสาวอายุสามสี่ขวบไว้แน่น

เขากล่าวเสียงเบาว่า “เถ้าแก่เฉียน ข้าไม่ได้ตั้งใจจะค้างค่าเช่าบ้านของท่าน ความจริงแล้วช่วงนี้ข้าเงินตึงมือนัก ข้าหาเงินมากขนาดนั้นไม่ได้ แต่ท่านวางใจเถอะ ข้าจะหาเงินมาคืนท่านโดยเร็วที่สุดอย่างแน่นอน”

เถ้าแก่เฉียนแค่นหัวเราะ “ข้าเห็นคนอย่างเจ้ามามากนัก อย่างเจ้าน่ะหรือ แม้แต่เงินซื้อข้าวให้คนทั้งบ้านกินยังหาไม่ได้ แล้วจะยังหวังว่าเจ้าจะคืนค่าเช่าบ้านได้อย่างไร”

เขากวาดสายตามองภรรยาของอาอู่ที่อยู่ด้านหลัง บนใบหน้าอวบอ้วนแสยะยิ้มชั่วร้ายออกมา “ตอนนี้ข้าจะให้เจ้าเลือกสองหนทาง หนึ่ง นำภรรยาของเจ้ามาใช้หนี้ หรือสอง นำรถม้าด้านหลังของเจ้ามาใช้หนี้”