ตอนที่ 86-3 เข้าใจผิด

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ลักษณะการแต่งตัวเปลี่ยนไปมาก แต่ก็ดูสวยไปอีกแบบ ถ้าเมื่อวานคล้ายดอกบัว เรียบสวยสง่า วันนี้ก็คล้ายดอกโบตั๋น ละเอียดอ่อนงดงาม รูปร่างหน้าตาอวิ๋นหว่านชิ่นเหมือนไม้แขวนเสื้อจริงๆ ใส่อะไรก็ให้ความรู้สึกตามนั้น

 

 

เจี่ยไทเฮาแม้เป็นไทเฮาผู้สูงศักดิ์ แต่ก็เป็นเฉกเช่นคนธรรมดาทั่วไป ไหนเลยจะไม่ชมชอบความสวยความงาม จึงดึงอวิ๋นหว่านชิ่นเข้ามาใกล้ๆ ดูซ้ายดูขวาอีกรอบ ยิ้มชื่นชมสักพัก พอเห็นว่าได้เวลาพอสมควร ค่อยบอกให้จูซุ่นนำของขวัญที่เตรียมไว้ออกมา

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรีบถกกระโปรง คุกเข่า ก่อนสั่นศีรษะ”เมื่อวานในงานเลี้ยง หม่อมฉันได้รับปิ่นปักผมจากไทเฮามาอันหนึ่งแล้ว จะรับของขวัญจากพระองค์อีกได้อย่างไรกัน”

 

 

จูซุ่นยิ้มพลางว่า “ไม่เป็นไรหรอก ของขวัญชิ้นนี้ราคาไม่สูงนัก”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรับมาดู เป็นกล่องไม้ท้อสีแดงสามชั้น พอดึงลิ้นชักออก แต่ละชั้นล้วนมีผลไม้วางเอาไว้

 

 

“นี่คือกล่องผลไม้เก้าเก้า เป็นกล่องผลไม้แบบชาววัง” จูซุ่นชี้ไปที่กล่องพลางว่า “เลขเก้าเป็นเลขมงคล ในกล่องจึงมีผลไม้เก้าชนิด ทุกชนิดล้วนหมายถึงความเป็นสิริมงคล มีลำไย เกาลัด เม็ดบัว ลูกเกด ลิ้นจี่ แปะก๊วย พุทราเขียว ถั่วเม็ดสน ถั่วลิสง ทุกชนิดมีเก้าเม็ด ไม่น้อยหรือมากจนเกินไป จึงเรียกว่ากล่องผลไม้เก้าเก้า”

 

 

พอได้ยิน อวิ๋นหว่านชิ่นก็นึกขึ้นได้ ไม่เพียงนึกขึ้นได้ เมื่อชาติที่แล้ว นางยังเคยมีโอกาสได้สัมผัสกับกล่องผลไม้เก้าเก้าด้วย ของขวัญชิ้นนี้ แม้ราคาไม่สูง…แต่มีคุณค่าทางใจยิ่ง นี่เป็นอาหารที่ผู้สูงศักดิ์ในวังมอบให้กับขุนนางผู้ประกอบคุณงามความดี โดยเฉพาะขุนนางผู้ปกปักษ์รักษาแผ่นดินที่เข้ามาร่วมงานเลี้ยงในวัง ซึ่งจะได้รับคนละกล่องตอนออกจากวัง

 

 

เมื่อชาติที่แล้ว ท่านโหวอาวุโสมู่หรงเป็นนักรบผู้เกรียงไกร เข้าวังทีไรก็มักได้รับกล่องผลไม้แบบนี้แทบทุกครั้งไป และพอกลับถึงบ้านก็จะนำมาแบ่งให้หลานๆ บางครั้งก็เหลือผลไม้ที่เก็บได้นานๆ ไว้กับตัวเอง รอให้มีแขกมาเยี่ยมที่บ้าน ค่อยนำออกมาอวด

 

 

เหล่าขุนนางล้วนอยากได้กล่องผลไม้เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลทั้งสิ้น

 

 

เพียงนึกไม่ถึงว่า ไทเฮาจะให้คนที่ห้องเครื่องทำกล่องผลไม้เก้าเก้ามอบให้ตนเอง

 

 

กระทั่งบิดาทำอย่างไรก็ยังไม่ได้รับเกียรตินี้ แต่ตนกลับได้รับก่อน! ถ้ายกเข้าบ้าน เกรงว่าลูกกะตาของบิดาอาจถลนออกมา อวิ๋นหว่านชิ่นจึงสูดหายใจเข้าหนึ่งเฮือก ยังคงต้องพูดอย่างเกรงใจออกมาสักสองสามคำ ขณะพยายามเก็บอาการหน้าแดง

 

 

“หม่อมฉันมิได้ทำคุณงามความดีอะไรให้ราชสำนัก! มิเท่ากับไทเฮาประหารหม่อมฉันหรือเพคะ เพราะถ้าหม่อมฉันกลับถึงบ้าน บิดาอาจดุด่าหม่อมฉันอย่างหยาบคายว่า อะไรๆ ก็กล้ารับเอาไว้!”

 

 

จูซุ่นชำเลืองมองเจี่ยไทเฮา ดูออกว่าทรงชอบคุณหนูอวิ๋นเข้าแล้วจริงๆ จึงดำเนินการตามพระประสงค์ ของผู้อาวุโส ยิ้มตาหยี แล้วว่า

 

 

“ใครว่าไม่มีคุณงามความดีเล่า เจ้าอยู่คุยสรรพเพเหระเป็นเพื่อนไทเฮามาคืนหนึ่ง ซึ่งทรงมิได้เบิกบาน

 

 

พระทัยเช่นนี้มานานแล้ว ถ้าไทเฮาทรงสุขใจ ฝ่าบาทก็ย่อมสุขใจไปด้วย นี่ก็คือคุณงามความดีที่เจ้ามีต่อราชสำนัก!”

 

 

“ถ้ารองเจ้ากรมอวิ๋นกล้าดุด่าเจ้า บอกให้เขามาหาข้า ข้าจะค่อยๆ คุยกับเขาเอง!” เจี่ยไทเฮาเลิกคิ้วขึ้น

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยแย้มยิ้มพลางรับกล่องผลไม้เก้าเก้าไว้ เพิ่งขอบพระทัยไทเฮาได้ไม่ทันไร ด้านนอกก็มีคนในวังมาขอเข้าเฝ้า และพอเข้ามา ก็มารายงานที่ข้างหูไทเฮา

 

 

แม้มีชื่อของ พระมาตุลา ลอยเข้าหูอวิ่นหว่านชิ่นรางๆ แต่ว่าด้วยเรื่องอะไรนั้น กลับไม่ค่อยได้ยิน

 

 

แต่การนี้ ได้สะกิดเรื่องที่อยู่ในใจอวิ๋นหว่านชิ่นขึ้นมาอีก พอเห็นผู้รายงานจากไป จึงคิดพิจารณาสักพัก ค่อยพูดเสียงเบา

 

 

“เมื่อวานหม่อมฉันยังนึกไม่ถึงอยู่เลยว่า การลาออกจากราชการของพระมาตุลาจะมีสาเหตุเช่นนั้น แม้พระมาตุลาจะทรงรู้สึกว่าได้ตัดสินโทษทหารที่ถังโจวรุนแรงจนเกินเหตุ แต่หม่อมฉันมาคิดดูอีกที ใต้หล้าจะมีสักกี่คนที่เกิดความรู้สึกละอายต่อความผิดเช่นนี้ แต่พระมาตุลากลับละทิ้งลาภยศสรรเสริญ ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ปลีกวิเวกไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษ เพื่อชดใช้ความผิดเป็นเวลาสามปี ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย”

 

 

คำพูดของอวิ๋นหว่านชิ่น สะกิดความเศร้าเสียใจของเจี่ยไทเฮาอยู่บ้าง ไม่ต้องถามก็สามารถทำให้ทรงพูดสิ่งที่คนในวังรายงานให้ฟังเมื่อครู่ออกมา

 

 

“ก็ใช่น่ะสิ เมื่อวานพอพระมาตุลาสารภาพเรื่องนี้ที่ริมทะเลสาบเฉิงเทียน ก็ยังอุตส่าห์บึ่งไปยังพระที่นั่งอี้เจิ้งอธิบายให้ฝ่าบาทฟังอีก พอกลับถึงเรือนเหยาหวา อาจเพราะสะเทือนใจมาก บวกกับร่างกายถูกทรมานอยู่หลายปีจนทรุดโทรมลง จึงจับไข้นอนซมอยู่เงียบๆ เมื่อครู่คนในวังมารายงานว่า รัชทายาทเพิ่งบอกให้หมอหลวงไปตรวจดูน่ะ”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหนังตากระตุก สีหน้าเผยความกังวลใจให้เห็น “พระมาตุลาไม่เป็นไรใช่ไหมเพคะ”

 

 

คำพูดนี้มิได้เสแสร้ง กลับเป็นการถามจากใจจริง ตอนนี้ขออย่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย ตนยังไม่มีโอกาสได้ถามเจี่ยงยิ่นให้กระจ่างนา!

 

 

เจี่ยไทเฮาสั่นศีรษะ “ไม่เป็นไรแล้ว เพียงกังวลใจมากจนเกินไป เลือดลมจึงไม่หมุนเวียน แต่โรคชนิดนี้ เกรงว่าคงยากที่จะลุกจากเตียงได้ในสองสามวัน และกลับที่พักโกโรโกโสในป่าเขาไม่ได้ชั่วคราว ตามความเห็นของข้านะ เป็นความโชคดี มิใช่โชคร้าย! บวกกับฝ่าบาทได้สั่งให้ศาลสูงและกรมอาญา รื้อฟื้นคดีถังโจวขึ้นมาสอบสวนใหม่ พระมาตุลาเป็นพยานคนสำคัญ ต้องอยู่ช่วยเหลือ หมู่นี้คงไปไหนไม่ได้หรอก”

 

 

ดีจริง! อวิ๋นหว่านชิ่นดีใจ แต่ก็รีบกดความรู้สึกลง โชคดีที่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า แม้บอกว่าเจี่ยงยิ่นพักอยู่ในวัง ตนคงยากที่จะพานพบ แต่ขอเพียงเขายังอยู่ในเมืองหลวง ก็ยังพอมีหวัง

 

 

พุดคุยอีกสองสามประโยค พอเห็นว่าถึงแก่เวลาอันควร อวิ๋นหว่านชิ่นจึงถวายพระพรลา แล้วเดินตามมอมอคนหนึ่ง ออกจากตำหนักฉือหนิงไป

 

 

และหลังจากที่อวิ๋นหว่านชิ่นจากไปได้ไม่นาน คนในตำหนักฉือหนิงก็เปล่งเสียงยาวแจ้งว่า

 

 

“ฝ่าบาทเสด็จ…”

 

 

เจี่ยไทเฮาขมวดคิ้ว “เชิญ รีบเชิญ”

 

 

แปลก ตอนนี้เป็นเวลาประชุมท้องพระโรง ฝ่าบาททำไมถึงมีเวลามาที่นี่ได้

 

 

ยังไม่ทันไร บุรุษผู้สวมมงกุฎและชุดออกว่าราชการสีเหลืองทองก็เดินผ่านคนในวังมากมาย เข้ามาทำความเคารพพระมารดา

 

 

พอเจี่ยไทเฮาได้ยินเหยาฝูโซ่วว่าฮ่องเต้มาถวายพระพรตนในช่วงเช้า ก็ไม่คิดอะไรมาก บอกให้คนชงชาต้งติ่งอู่หลงมากาหนึ่ง

 

 

หนิงซีฮ่องเต้จิบชา พลางพูดโน่นนิดนี่หน่อย พยายามหาเรื่องคุยกับไทเฮา และทำทีเป็นกวาดตามองซ้ายมองขวาไปเรื่อย

 

 

เหยาฝูโซ่วย่อมรู้ว่านายกำลังมองหาอะไร จึงเดินออกไปดึงตัวขันทีของตำหนักฉือหนิงคนหนึ่งมาถาม ถึงได้รู้ว่าคุณหนูอวิ๋นเพิ่งออกจากตำหนักไปได้ไม่นาน จึงรีบเดินเข้าไปกระซิบข้างหูนาย

 

 

เดิมทีเจี่ยไทเฮาก็รู้สึกอยู่ว่าฝ่าบาทใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยิ่งเห็นว่า ขณะเหยาฝูโซ่วกระซิบ สีหน้าฮ่องเต้ก็ปรากฎความเสียดายให้เห็นอยู่บ้าง จึงเข้าใจในทันทีว่า ที่ฮ่องเต้มาที่นี่ เพราะมีจุดประสงค์อย่างอื่น

 

 

นั่งอยู่สักพัก หนิงซีฮ่องเต้ก็วางถ้วยชาลง แล้วขอลาไปท้องพระโรง

 

 

เจี่ยไทเฮาน้อมส่งฮ่องเต้ด้วยสายตา จากนั้นก็ฉวยโอกาสที่ฮ่องเต้ออกว่าราชการ บอกให้จูซุ่นไปเรียกเหยาฝูโซ่วมาพบโดยลำพัง

 

 

พอเหยาฝู่โซ่วมาถึง ไทเฮาก็ทรงเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้น พลางถามอย่างจริงจัง

 

 

“เมื่อครู่ฝ่าบาทมาตำหนักฉือหนิงทำไม”

 

 

เหยาฝูโซ่วอึ้ง เกาศีรษะพลางทำหน้ายิ้มๆ ก่อนหัวเราะกลบเกลื่อน “แหม ทูลกระหม่อมของบ่าว ฝ่าบาทจะเสด็จมาเพื่ออะไรไปได้ นอกจากถวายพระพรพระองค์”

 

 

“กระต่ายน้อยริอาจเล่นลิ้นต่อหน้าข้ารึ!” เจี่ยไทเฮาไหนเลยจะเชื่อลมปากของเหยาฝูโซ่ว

 

 

เหยาฝูโซ่วยิ้มเจื่อนๆ แต่ยังคงพยายามปกปิด “ก็ ก็ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ…”

 

 

เจี่ยไทเฮาจึงพูดอย่างเย็นชา “ทำไมล่ะ หรือต้องให้ข้านำตัวเจ้าไปสอบสวนที่สำนักพระราชวัง”

 

 

จูซุ่นยืนขำจนหน้าแดงอยู่ด้านข้าง “เหยากงกง ท่านก็พูดไปเถอะ ฝ่าบาทของเราสนิทกับไทเฮาอยู่แล้ว หรือท่านคิดว่า ดวงตาอันชาญฉลาดของผู้อาวุโสอย่างไทเฮา จะมองเงื่อนงำไม่ออก”