เหยาฝูโซ่วรู้สึกลำบากใจ แต่ก็ยอมสารภาพความจริงในที่สุด
“ฝ่าบาทมาดูคุณหนูอวิ๋นบ้านรองเจ้ากรมกลาโหมพ่ะย่ะค่ะ”
อสุนีบาตฟาดพสุธา! มาดูนังหนูอวิ๋น? เจี่ยไทเฮากำผ้าเช็ดหน้าขณะจ้องมองเหยาฝูโซ่ว
จูซุ่นก็ตื่นตระหนก ฝ่าบาทยังไม่เคยพบหน้าคุณหนูอวิ๋นแท้ๆ แต่กลับลดตัว เสด็จมายังตำหนักฉือหนิงเพื่อมาดูคุณหนูอวิ๋น ขณะจะพูดอะไร เจี่ยไทเฮาก็ยกมือขึ้นปราม “เจ้ากลับไปเถิด”
เหยาฝูโซ่วขานรับ แล้วรีบถอยออก
จูซุ่นกลับสูดอากาศเย็นเข้าปอด จ้องมองไทเฮา “ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ นี่ฝ่าบาททรง…”
เขาพูดไม่ออก ด้วยไม่รู้จะพูดอย่างไรจริงๆ
เจี่ยไทเฮาย่อมคิดแบบเดียวกันกับขันทีคนสนิท ถ้าไม่ใช่เพราะได้ยินข่าวความโดดเด่นของอวิ๋นหว่านชิ่นในงานเลี้ยงสังสรรค์ ฝ่าบาทจะสนพระทัยหรือ
หนิงซีฮ่องเต้เป็นโอรสแท้ๆ ของเจี่ยไทเฮา แล้วนางใยไม่แจ่มแจ้งในอุปนิสัยของโอรสเล่า โอรสเป็นคนเจ้าชู้ประตูดินมาแต่วัยหนุ่ม ตอนนี้แม้อายุสี่สิบกว่า เขี้ยวเล็บก็ยังมิได้ลดน้อยถอยลง มีสาวงามในวังหลังมากมายก่ายกอง ซึ่งนอกจาก มาจากการคัดเลือกสนมนางในเข้าวังของทุกๆ ปีแล้ว หลายปีก่อน ตอนฮ่องเต้แต่งเป็นสามัญชนออกประพาสต้น ก็ยังพาคุณหนูจากทางใต้กลับมาคนหนึ่ง ปีก่อน ถูกใจนางในคนหนึ่งของที่นี่ ก็ยังจะขอไปอีกเหมือนกัน
พอคิดถึงตรงนี้ เจี่ยไทเฮาก็มั่นใจในความคิดเบื้องต้นของตน จึงรู้สึกดีใจอยู่บ้าง ถ้าฮ่องเต้ถูกใจนังหนูอวิ๋นจริงๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องดี ตนถูกชะตากับนาง ถ้านางได้เข้าวังจริงๆ ก็สามารถอยู่เป็นเพื่อนตนได้ทุกเมื่อ
เพียงไทเฮากระพริบตา จูซุ่นก็สามารถเดาออกทันทีว่าทรงคิดอะไรอยู่ ตอนนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น เขารู้ใจไทเฮา รู้ว่าไทเฮาต้องการอะไร จึงยิ้มพลางพูดเสียงต่ำ
“เสียดาย ที่คลาดกันเพียงนิดเดียว คุณหนูอวิ๋นเพิ่งก้าวออกไป ฝ่าบาทก็ก้าวเข้ามา จึงไม่ได้พบหน้ากัน! อีกทั้งการคัดเลือกสนมนางในของปีนี้ก็เพิ่งเสร็จสิ้นลง ไม่ทันการ ถ้าจะรอการคัดเลือกในปีหน้า ก็ต้องนับไปอีกสามเดือนหลังตรุษจีน ไปๆ มาๆ อย่างต่ำก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งปีเห็นจะได้ ยืดเวลาออก…”
เสียงจิ๊จ๊ะ เจี่ยไทเฮาใช้นิ้วชี้ที่เรียวยาวจิ้มไปที่ศีรษะของจูซุ่น
“เจ้านี่โง่จริงๆ ใครบอกว่าต้องผ่านการคัดเลือกสนมนางในถึงจะเข้าวังปรนนิบัติฮ่องเต้ได้ หาสักโอกาส ไม่ง่ายกว่ารึ! อย่างทำให้เป็นเรื่องบังเอิญ หรือพระราชทานอะไรสักอย่าง เยอะแยะไปหมด กลัวก็แต่เจ้าจะคิดไม่ออกนี่ล่ะ!
จูซุ่นยิ้มยิงฟันพลางจับศีรษะตนเอง ยังคงเป็นไทเฮาที่ทรงพระปรีชา ขณะเดียวกันก็พลันคิดอะไรออก
“อ้อจริงสิพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทกำลังจะไปป่าฮู้หลงล้อมรั้วล่าสัตว์อยู่พอดี…”
การล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้ นอกจากเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์แล้ว ยังมีเหล่าขุนนางและลูกๆ ของ
พวกเขาไปด้วย ลูกชายมักขี่ม้าเป็นเพื่อนองค์ชาย ส่วนลูกสาวก็มักอยู่เป็นเพื่อนชายากับผู้ติดตาม เมื่อเวลานั้นมาถึง จะกลุ้มใจไปใยอีกว่าไม่มีโอกาส
ไทเฮายิ้มออกแล้ว ก่อนใช้ดวงตาอันลึกล้ำจ้องมองขันทีคนสนิท โดยไม่ต้องพูดอะไรมาก
ด้านอวิ๋นหว่านชิ่น พอเดินออกจากตำหนังฉือหนิง ก็นั่งเกี้ยวของวังหลวง มุ่งหน้าสู่ประตูเจิ้งหยาง
วันนี้อากาศไม่เลว เย็นสบาย แดดไม่แรง ลมไม่หนาว อีกสักประเดี๋ยวพอออกจากประตูเจิ้งหยาง ข้ามคลองคูวัง ก็จะถึงถนนย่านพระราชฐาน ที่กลับบ้านได้
พออวิ๋นหว่านชิ่นลงจากเกี้ยวหน้าประตูเจิ้งหยาง ก็เห็นรถม้าหลังคาเขียวเข้มที่คุ้นเคยของบ้าน จอดรออยู่อีกฝั่งของคลองคูวัง และเมี่ยวเอ๋อร์กำลังโบกมือไหวๆ อยู่ข้างรถ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงหันมาบอกคนในวัง
“คนที่บ้านข้ามารับน่ะ ไม่รบกวนรถม้าของวังไปส่งแล้ว”
มอมอจากตำหนักฉือหนิงซึ่งเจี่ยไทเฮามอบหมายให้มาส่งอวิ๋นหว่านชิ่นหันมองตาม ก่อนลังเลเล็กน้อย
“คุณหนูอวิ๋น รถม้าจวนรองเจ้ากรมที่มารับท่าน คันไหนกันแน่”
อวิ๋นหว่านชิ่นแปลกใจ จึงหันมองไปยังอีกฝั่งของคลองคูวังอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ไม่ทันสังเกต แต่พอมองดูดีๆ ด้านหลังรถม้าบ้านตน มีรถม้าจอดอยู่หลายคันจริงๆ คร่าวๆ ก็ราวสี่ถึงห้าคัน แต่ยังไม่ทันตอบ เด็กชายที่ท่าทางคล้ายบ่าวคนหนึ่ง ก็กระโดดลงจากรถม้าคันหนึ่ง พอเห็นอวิ๋นหว่านชิ่น ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองว่องไว ด้วยการวิ่งมาที่ป้อมหน้าคลองคูวัง แล้วโบกมืออย่างสุดแรงเกิด พลางตะโกน
“คุณหนูอวิ๋น คุณชายของบ่าวคือพระราชปนัดดาหยิ่นซื่อจื่อ เมื่อวานที่ตึกไจซิง บ่าวยังเคยคุยกับสาวใช้ของคุณหนูด้วย จำบ่าวได้ไหม ซื่อจื่อรู้ว่าเช้าวันนี้ คุณหนูอวิ๋นจะออกจากวัง จึงให้บ่าวขับรถม้ามาหน้าวัง รอส่งคุณหนูกลับจวนรองเจ้ากรม!”
บ่าวของรถม้าอีกคันก็ไม่น้อยหน้า วิ่งมายืนข้างบ่าวของพระราชปนัดดา แค่นเสียงเฮอะ ใส่ ก่อนตะโกน
“คุณหนูอวิ๋น บ่าวมาจากบ้านราชครูหยาง เมื่อวานคุณชายหยางของบ่าวก็เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ด้วย นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามท่านเยื้องไปทางซ้ายลำดับที่สาม คนที่หล่อสุดน่ะ! วันนี้คุณชายให้บ่าวมารับท่านกลับบ้าน!”
“เอ๊ะ ข้าว่าเจ้านี่…รู้หรือเปล่าว่าใครมาก่อนมาหลังน่ะ!” บ่าวคนแรกพับแขนเสื้อ
“ใครมาก่อนมาหลังอะไร? ข้ารู้แต่ว่าใครมาถึงที่นี่ก่อน ก็ควรได้ก่อน!” บ่าวคนที่สองโต้กลับเสียงกร่าง
ขณะโต้ตอบกันไปมา บ่าวคนอื่นๆ ซึ่งปฏิกิริยาช้ากว่า ก็วิ่งมาถึงกันหมด แล้วเริ่มตะโกนข้ามคลองคูวัง ประกาศศักดาบ้านนายของตนจนโกลาหลไปหมด
พอมอมอเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ก็หัวร่องอหาย “ที่แท้ก็เหล่าคุณชายผู้สูงศักดิ์ในงานเลี้ยงสังสรรค์เมื่อวานนี้นี่เอง ตอนนี้กลับมาหมอบราบคาบแก้วอยู่ใต้กระโปรงสีทับทิมของคุณหนูอวิ๋น เช่นนั้น คุณหนูอวิ๋นก็ต้องเลือกรถม้าเอาเองสักคันแล้วล่ะ”
กระโปรงสีทับทิมอะไรกัน อวิ๋นหว่านชิ่นอยากจะโยนกระโปรงสีทับทิมหลายๆ ตัวไป แล้วจับพวกเขามัด
ไว้ด้วยกัน โทษฐานที่ทำให้คลองคูวังอีกฝั่งวุ่นวาย กีดขวางทางของตน
ก่อนหน้านี้ เมี่ยวเอ๋อร์ไม่รู้ว่ารถม้าที่วิ่งตามมาด้านหลัง จะมารับคุณหนู ตอนนี้พอมองดู และกำลังจะก้าวเข้าไปขับไล่พวกเขา กลับมีร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งเดินอ้อมพวกเขาไป ก่อนเดินตรงไปข้างหน้า
ชายหนุ่มแสดงป้ายคำสั่ง พอยามประจำป้อมเห็นป้าย ก็ประสานมือคารวะ ชายหนุ่มจึงเดินตรงไปที่หน้าประตูเจิ้งหยาง พูดกับอวิ๋นหว่านชิ่น
“คุณหนูอวิ๋น นายท่านเตรียมรถม้าไว้แล้ว ให้บ่าวมาส่งท่านกลับจวน”
เป็นซือเหยาอัน ฉินอ๋องก็มาร่วมป่วนกับเขาด้วยหรือ อวิ๋นหว่านชิ่นทำปากยื่น
“ขอบคุณใต้เท้าซือมาก แต่บ้านข้าส่งคนมารับแล้ว”
ซือเหยาอันชะงักเล็กน้อย แต่ก็ยังยิ้มบางๆ ไม่เปลี่ยน เพียงก้าวเข้าใกล้ “ที่ไหนมี ไม่เห็นนี่ ทำไมคุณหนูอวิ๋นถึงไม่นั่งรถม้าของจวนฉินอ๋องล่ะ หรืออยากจะนั่งรถม้าของผู้ที่ไม่รู้จัก”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นมอมอที่อยู่ด้านข้าง มองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น จึงไม่ยากเวิ่นเว้ออีก เอาล่ะ ก็แค่นั่งรถม้าของจวนเขา ต้องให้เกียรติเขาหน่อย จึงเดินตามซือเหยาอัน ข้ามคลองคูวัง ออกจากวังหลวง
บ่าวของคุณชายผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายรู้จักซือเหยาอันดี และรู้ว่านายของเขาคือใคร หรือต่อให้ไม่รู้จัก พอเห็นป้ายคำสั่งเข้าออกวังหลวงในมือเขาเมื่อครู่ ก็รู้แล้วว่าภูมิหลังนายของเขาต้องไม่ธรรมดา ไหนเลยจะยังทะเลาะกันต่อ ต่างคนต่างยืนอึ้งอยู่กับที่
“คุณหนูใหญ่…” พอเมี่ยวเอ๋อร์เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นเดินไปขึ้นรถม้าของจวนฉินอ๋อง ก็รีบก้าวเข้าหา
อวิ๋นหว่านชิ่นว่า “ไม่เป็นไร เจ้ากับคนขับรถม้า ตามอยู่ด้านหลังของข้าก็พอ อย่างไรใต้เท้าซือก็ต้องส่งข้ากลับจวนอยู่ เราก็แค่กลับจวนก่อนหลังตามกันเท่านั้น”
แล้วเมี่ยวเอ๋อร์ก็เดินกลับไปขึ้นรถม้าของบ้านสกุลอวิ๋น
ซือเหยาอันเลิกผ้าม่านขึ้น วางบันไดลง อวิ๋นหว่านชิ่นจับคานรถ แล้วก้าวขึ้นรถม้าไป
เพิ่งมุดศีรษะเข้าไป ก็รู้สึกว่าบรรยากาศไม่ถูกต้อง ในตัวรถม้ามีคน พอเงยหน้าขึ้น ก็ต้องเผชิญกับลูกตาที่ดำขลับและลึกล้ำคู่หนึ่ง