ชายหนุ่มนั่งเงียบๆ อยู่ฝั่งตรงข้าม
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเข้าก็ตกใจ ยืนก้มค้างอยู่กลางตัวรถ จะเข้าไปก็ไม่ดี จะถอยออกก็ไม่ได้
ทำไมเขาต้อง…มารับตนด้วยตัวเอง
ส่งรถมาก็พอ มาทำลิงอะไร
ขณะเบะปาก ซือเหยาอันก็กระโดดขึ้นรถม้า มือหนึ่งกุมบังเ**ยน มือหนึ่งเงื้อแส้ขึ้นแล้ว “ฮู้” ฟาดลง
พอม้าสีน้ำตาลแดงถูกแส้ ก็ยกขาหน้าขึ้น ตะกุยกลางอากาศสองที แล้วเซถอยหลัง อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ทันยึดจับอะไรไว้ พลันพุ่งเข้าไปในตัวรถ
ชายหนุ่มจึงยื่นแขนออก รวบเอวนางเข้ามา
‘ฟึ่บ’ อวิ๋นหว่านชิ่นนั่งลงบนตักของเขา พอรู้สึกตัวว่านั่งทับของแข็ง! ก็รีบดีดตัวลุกขึ้นยืน แต่ตัวรถเตี้ย ศีรษะจึงชนเข้ากับเพดานรถอย่างจัง ‘กึก’ รู้สึกเจ็บจนต้องหดศีรษะลง ซย่าโหวซื่อถิงจึงรีบดึงนางลงนั่งบนตักของตนเองอีกครั้ง ก่อนพูดยิ้มๆ เสียงต่ำ
“อยู่ไม่สุก ซนยังกะลิง มึนไหม”
ว่าแล้วก็ยื่นมือยาวๆ ออกตามสัญชาติญาณ ลูบๆ คลำๆ ตรงศีรษะนาง ดูว่าหัวโนหรือเปล่า เพราะเสียงชนดังมาก
“ทำไมท่านอ๋องต้องมาด้วยตัวเองล่ะ” อวิ๋นหว่านชิ่นหายใจเข้าลึกๆ ก่อนป้องปัดมือของเขาออก
กล้าทำอะไรในรถโดยไม่กลัวผู้อื่นสงสัย ไม่ต้องส่องคันฉ่อง ก็รู้ว่าสถานการณ์ขณะนี้คลุมเครือและอิหลักอิเหรื่อแค่ไหน…นั่งอยู่บนตักขององค์ชายผู้สูงศักดิ์ แล้วถูกเขาลูบศีรษะ ตนไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของพวกผู้ดีมีสกุลสักหน่อย
“เบื่อๆ เซ็งๆ น่ะ” น้ำเสียงสบายๆ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นตักเตือน “ยังจะเรียกว่าท่านอ๋องอีก”
จริงสิ ออกจากวังแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นส่งเสียงเอ่ออ่าในลำคอ “อ้อ เช่นนั้นท่านสามก็ปล่อยข้าลงเถิด ข้างๆ ยังมีที่ว่างมิใช่หรือ เสียที่เปล่าๆ…”
สิ้นเสียง รถม้าก็วิ่งเร็วขึ้น ควบอยู่บนถนนย่านพระราชฐาน แล้วหักเลี้ยวอย่างรวดเร็ว ร่างนางเอียง เลยต้องคว้าตัวชายหนุ่มไว้ ชายหนุ่มจึงไม่เกรงใจอีก จับข้อมือนางมาพาดไว้กับท้ายทอยตน
นี่มันสมรู้ร่วมคิดชัดๆ บังคับรถม้าประสาอะไร
ชายหนุ่มกล้าแกร่ง มือเท้าแข็งแรง แม้มีโรคประจำตัว แต่เรี่ยวแรงที่ควรมี ก็ยังมี อีกทั้งร่างกายก็ครบสามสิบสองประการ ใช้แรงเพียงสามส่วนก็สามารถจับหญิงสาวมาไว้ในอ้อมอกจนอยู่หมัด พร้อมสีหน้านิ่งเรียบอย่างเป็นธรรมชาติ แสดงให้เห็นว่านี่เป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม
อวิ๋นหว่านชิ่นดิ้นแรงๆ ด้วยความโมโหไปสองครั้ง จนรถสั่นไหวไปมา แต่สุดท้ายก็ดิ้นไม่หลุด จึงได้แต่ปล่อยวาง
ไหนบอกว่าป่วยไง ดูจากภายนอก ก็สูงใหญ่บึกบึนดีนี่ ล้มวัวทั้งตัวยังได้
หลังจากพบเจอกันในวัง ครั้งนี้พอพบเจอกันอีก…ชายผู้นี้ คล้ายมีความรู้สึกร้อนแรงขึ้นกว่าเดิม กระทั่งยิ่งมาก็ยิ่งไม่สนใจกฏเกณฑ์ ไม่สนใจมารยาทอีก
ส่วนซือเหยาอันที่กุมบังเ**ยนอยู่ข้างหน้า เพียงรู้สึกว่าตัวรถด้านหลังสั่นไหวไปมา หน้าจึงแดง ท่านสามกับคุณหนูอวิ๋นนี่ จริงๆ เลย…เล่นเอารถสะเทือนกันเลยทีเดียว อะไรจะปรารถนาแรงกล้าถึงปานนี้
บนถนนลมแรง บางครั้งก็พัดเอาม่านผืนเล็กๆ ปลิวขึ้นสูงราวหนึ่งศอก ทำให้ใจของอวิ๋นหว่านชิ่นเต้นแรงตาม ด้วยเกรงว่าจะถูกคนเดินถนนพบเห็นฉากแนบเนื้อเช่นนี้เข้า แต่อย่างไรแรงตนก็มีไม่มากเท่าเขา
ตีอกชกหัวสิ ไม่ได้ ที่แคบ มือไม้ติดไปหมด ด่าสิ ไม่ได้อีก เขาเป็นคนหน้าหนา อาจแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน จึงได้แต่ทำตัวอ่อนแอ ปั้นหน้าให้เศร้าเข้าไว้ จับคอปกเสื้อปักลายมังกรทะยานเมฆของเขาให้แน่น แล้วเขย่าแรงๆ ดูเหมือนกำลังร้องขอ แต่จริงๆ แล้วต้องการเขย่าให้เขาตาเหลือก
“เห็นข้าเตี้ยแบบนี้ อันที่จริงข้าหนักมากเลย! กระดูกท่านสามยิ่งไม่ค่อยดีอยู่ ให้ข้าทับไว้แบบนี้ ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา จะแย่กันหมด…”
“อย่าขยับ” เสียงชายหนุ่มเริ่มดุ แกะแขนเล็กๆ ที่จับปกเสื้อของตนออก
ตอนสัมผัสแนบชิดนาง หัวใจเขาเต้นเร็วมาก กระดูกชาเล็กน้อย ความจริงแล้ว คืนนั้นที่หมู่บ้านสกุลเกา เขาก็มีปฏิกิริยาเช่นนี้ เพียงแต่ตอนนั้นเขาดื่มสุราไผ่เขียว จึงแยกไม่ออกว่า ที่ทำให้เลือดลมสูบฉีด เป็นเพราะนางหรือเป็นเพราะสุรากันแน่
นี่ก็แปลก ตอนอยู่ในจวนอ๋อง เขากับหรุ่ยจือ ก็ถือว่าใกล้ชิดกันพอควร แต่พิษก็ไม่เห็นกำเริบแต่อย่างใด ทว่าเวลาทำอะไรบางอย่างใกล้ๆ นาง ใจมักเต้นแรง เลือดลมกระฉูดทุกครั้ง
อีกทั้ง ยังมีปฏิกิริยารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
แม้เป็นเช่นนี้ แต่ก็ยังไม่อยากปล่อยนางออก ยอมปล่อยให้ความไม่สบายในร่างกายค่อยๆ ก่อกวนและขยายวงกว้างมากขึ้น
สาวน้อยในอ้อมอกคล้ายผงห้าศิลาอย่างไรอย่างนั้น ทำให้เขาเจ็บปวด แต่มีความสุข
ลำคอของเขาขยับ พยายามสงบสติอารมณ์ จับมือนางมาเกี่ยวไว้ที่ท้ายทอยใหม่
“จับดีๆ” น้ำเสียงอ่อนโยนลง “ช่วยข้าปลดกระดุมคอเสื้อหน่อย”
ถ้าได้ตากลมเย็น ปกติแล้วอาการจะดีขึ้น
อวิ๋นหว่านชิ่นมองความผิดปกติของเขาออก ตอนหรุ่ยจือเล่าอาการของเขาเวลาพิษกำเริบให้ฟังนั้น เดิมทีนางไม่ค่อยเชื่อ แต่พอเห็นท่าทางของเขาในตอนนี้ ก็เชื่อแล้ว
นี่มิใช่รนหาที่เองหรอกหรือ นางปลดกระดุมคอเสื้อให้เขา เผยให้เห็นกล้ามเนื้อหน้าอกสีแทนนิดหน่อย คลับคล้ายมีแผลเป็นเล็กๆ ด้วย พอเห็นเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากของเขา นางจึงล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมา ค่อยๆ ซับเหงื่อให้
หรุ่ยจือบอกว่า เขาไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับเรื่องบนเตียงก่อนอายุยี่สิบห้า ซึ่งจริงๆ แล้วโรคภัยในใต้หล้ามี
ข้อห้ามที่ไร้สาระเช่นนี้ด้วยหรือ
อวิ๋นหว่านชิ่นเดาว่า น่าจะเป็นเพราะพิษที่อยู่ในร่างของเขา ไม่ทนต่อแรงกระตุ้น พอถูกกระตุ้น จึงเกิดอาการ ทว่า หลังแต่งงานเข้าหอ ย่อมหนีไม่พ้นความปรารถนาต่อเรื่องบนเตียง แล้วถ้าเกิดความรู้สึกขึ้นมา ย่อมส่งผลต่ออวัยวะตันทั้งห้า อวัยวะกลวงทั้งหก และเส้นประสาทต่างๆ ทำให้พิษกำเริบเสิบสาน ดังนั้นหมอถึงได้ห้ามไม่ให้เขามีแรงปรารถนาอยู่หลายปี
ซึ่งนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาพลอยมีนิสัยเคร่งขรึมจริงจังไปด้วย ไม่เหมือนเว่ยอ๋องที่บ้าบิ่น ไม่เหมือนรัชทายาทที่ทำตามอำเภอใจ ต่อให้เป็นคนร่าเริงอย่างไร ถ้าถูกพิษชนิดนี้ ก็ต้องพยายามระงับอารมณ์ให้อยู่!
น่าสงสารอยู่เหมือนกัน
เพียงแต่ทำไมต้องอายุยี่สิบห้า ไม่ช้าไม่เร็วไปกว่านี้ด้วย
อวิ๋นหว่านชิ่นนึกถึงอดีตชาติ ปีที่ตนลาโลกไปนั้น คล้ายกับว่าเขาเพิ่งขึ้นครองราชย์ได้มากกว่าครึ่งปี ตอนนั้นเขายังไม่ถึงยี่สิบห้านี่…ถ้าเป็นจริงตามนี้ หรือหลังจากฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นนั่งบัลลังก์ สาวงามมากมายในวังหลังต้องวางตัวเป็นม่ายมากกว่าครึ่งปี? ไม่น่าจะเป็นเช่นนี้นา…หรืออาจรักษาหายนานแล้ว แต่ทำไม ไม่เห็นเคยได้ยินว่ามีหมอหลวงชื่อดังหรือสมุนไพรชื่อดังเลย!