ตอนที่ 87-2 พัวพันในรถม้า กับ เรื่องมงคลในสกุลอวิ๋น

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ตอนนี้ สีหน้าของซย่าโหวซื่อถิงกลับคืนดังเดิมแล้ว 

 

 

แผลหายก็ลืมความเจ็บปวด เขากระชับวงแขน กอดนางให้แน่นขึ้น ซึมซับความรู้สึกที่มีนางนั่งอยู่บนตักแล้วใช้แขนคล้องคอเขาไว้ ทั้งหอมและนุ่มนิ่ม บวกกับการกระเพื่อมขึ้นลงของรถม้า ทำให้รู้สึกสบายตัว แต่ต้องพยายามไม่คิดฟุ้งซ่าน ร่างกายจะได้ไม่เกิดอาการอะไรมากมาย 

 

 

สักพัก เขาก็เหล่ตามองสาวน้อยบนตัก วันนี้นางเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ขับให้ใบหน้าดูสวยและอ่อนโยนดุจดอกท้อก็มิปาน ยิ่งนางดิ้นขัดขืนเมื่อครู่ ก็ยิ่งทำให้แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อ เหมือนผัดแป้งประทินผิวไว้อย่างไรอย่างนั้น 

 

 

“วันนี้ใช้อะไรน่ะ กลิ่นหอมไม่เหมือนครั้งก่อน” ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้ามาดมที่คอนาง 

 

 

องค์ชายอะไร ค่อยๆ ยื่นหน้ามาดมตน เหมือนสุนัขดมกลิ่นที่เจ้าหน้าที่กองปราบเลี้ยงไว้จับโจรไม่มีผิด อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ จึงผลักเขาออก 

 

 

“กลิ่นดอกส้ม” เมื่อคืนนางอาบน้ำในตำหนักฉือหนิง นี่ก็ผ่านมาหนึ่งวันแล้ว แต่หลังติ่งหูก็ยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ หลงเหลืออยู่ 

 

 

“ดอกส้มอะไร ขอดมดูหน่อย”  

 

 

น้ำเสียงไม่เชื่อเต็มที่ เหมือนเหยี่ยวหิวโซตัวหนึ่ง เขามุดศีรษะลงมาที่ซอกคอขาวๆ ของนาง 

 

 

แกล้งทำเป็นโง่ได้อีก อวิ๋นหว่านชิ่นหายใจเข้าทีหนึ่ง เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เขาพูดน้อย แต่การกระทำกลับไม่อ่อนด้อย แสดงออกมาตรงๆ!  

 

 

แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าคล้ายสุนัขที่อิ่มหมีพีมันแล้ว 

 

 

ดมกลิ่นแค่นี้ก็อิ่มแล้ว ไม่ได้เรื่องสักนิด พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเขาทำท่าชื่นใจ แผ่นหลังก็ร้อนระอุ เม็ดเหงื่อซึมออก รำคาญเล็กๆ คนผู้นี้ชอบทำอะไรปุบปับโดยไม่บอกไม่กล่าว ความเคยชินแบบนี้ เมื่อไหร่จะแก้ได้หือ  

 

 

มือเท้าถูกเขาจับไว้ ขยับไม่ได้ จึงใช้ร่างกายกระแทกไปทีหนึ่ง แล้วดิ้นอีกทีหนึ่ง แม้มือข้างหนึ่งถูกเขาจับไปพาดไว้ที่ท้ายทอย ขยับไม่ได้ ก็ใช้เล็บข่วนท้ายทอยเขา ก่อนเหล่ตาสวยมอง อย่างไรในรถก็ไม่มีคนนอก ไม่แผลงฤทธิ์ตอนนี้แล้วจะรอตอนไหน คำพูดข่มขู่จึงพรั่งพรูออกมา  

 

 

“ถ้ายังไม่ปล่อยข้าอีก ข้าข่วนเจ้าตายแน่…หรือถ้ายังไม่ปล่อยข้า ข้าจะกระโดดลงจากรถ ให้คนบนท้องถนนเห็นว่ารถม้าของจวนฉินอ๋องปล่อยให้คนหล่นลงมา ดูซิว่าเจ้าจะอธิบายกับฝ่าบาทและไทเฮาอย่างไร…” 

 

 

ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่ฝืนนางแล้ว คลายมือออก ปล่อยให้นางกลับไปนั่งบนเก้าอี้ฟูกฝั่งตรงข้าม แต่มิใช่เพราะถูกนางขู่จนตกใจกลัว  

 

 

การแสดงออกของสาวน้อยก้าวหน้าขึ้นมาก ตอนอยู่ที่หมู่บ้านสกุลเกา นางยังเอาน้ำมาราดตนแล้วทำท่าจะตบตนอยู่ ตอนนี้แม้เหมือนแมวที่กางกรงเล็บขู่ฟ่อๆ แต่ก็อ่อนลงไปมาก อย่างน้อย ก็มิได้ทำท่าเกรงใจตน หรือเคารพนบนอบตนแล้ว ยังด่ามาคำสองคำด้วย 

 

 

ในขั้นนี้ เขามิได้ต้องการอะไรจากนาง เพียงอยากให้นางเห็นเขาเป็นคนธรรมดาที่มีเลือดมีเนื้อก็พอ 

 

 

แค่ค่อยๆ ละลายพฤติกรรมนางไป มีอะไรจะเสียไม่ได้บ้าง 

 

 

มุมปากเขาปรากฏรอยยิ้ม ยอมคลายมือออกแต่โดยดี แต่…เขาขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นจับต้นคอ แอบส่งเสียงซี๊ด ท้ายทอยถูกเล็บนางข่วนจนเจ็บแสบจริงๆ 

 

 

หลังจากหอบหายใจไปสองที จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยื่นหน้าออกนอกหน้าต่าง สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด พอสูดเสร็จ เดิมทีไม่คิดจะสนใจเขาอีก แต่กลับสะกิดใจขึ้นมา ไม่ได้ ตอนนี้ยังไม่สนใจไม่ได้ ยังต้องใช้งานเขาอยู่ 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงนึกว่าขณะที่รถยังไปไม่ถึงจวนรองเจ้ากรม นางจะไม่พูดกับเขาเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าสาวน้อยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกลับหันใบหน้ารูปไข่มาอย่างเขินๆ มือทั้งสองข้างยันเก้าอี้ไว้ พลางว่า 

 

 

“เรื่องเกี่ยวกับท่านแม่ข้า ที่ไหว้วานท่านสามก่อนหน้านี้ ยังสืบไม่พบอะไรแม้แต่น้อยหรือ” 

 

 

สีหน้าชายหนุ่มเรียบนิ่ง คิดไม่ถึงว่านางจะจริงจังกับเรื่องนี้ถึงเพียงนี้ ตามถามอย่างไม่ลดละ ชนิดไม่ได้คำตอบไม่เลิกรา  

 

 

“ก็คนที่ตั้งใจเปิดเผยเรื่องนี้ ถูกเจ้าทำให้ตายไปแล้ว เจ้ายังอยากจะรู้ไปอีกทำไม ถึงสืบรู้ เจ้าจะทำอะไรได้” 

 

 

คำพูดนี้พอหลุดออกจากปาก อวิ๋นหว่านชิ่นก็แน่ใจแล้วว่าเขาสืบพบอะไรบางอย่างแปดถึงเก้าในสิบส่วนจึงโน้มตัวเข้าหาอย่างระมัดระวัง 

 

 

“…คนที่ท่านสามสืบพบว่า มาจวนรองเจ้ากรมยามค่ำคืนของฤดูหนาว เป็นใครกัน” 

 

 

ลมหายใจของซย่าโหวซื่อถิงสม่ำเสมอ ไม่ว้าวุ่นแต่อย่างใด  

 

 

“สืบไม่พบอะไร และไม่คิดที่จะสืบต่อด้วย เรื่องที่ไร้ประโยชน์ ข้าไม่ทำอยู่แล้ว เจ้าก็อย่าได้ทุ่มเทให้กับเรื่องที่ไร้ประโยชน์เลย” 

 

 

ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาสมองกลับตั้งแต่เมื่อไหร่! ตอนแรกไม่ได้พูดแบบนี้นี่ ถ้าไม่อยากเสียเวลา แล้วทำไมไม่ปฏิเสธเสียแต่แรก ตอนนี้เพิ่งมาบอกว่าไร้ประโยชน์! เอาแต่อารมณ์แบบนี้ ยังมาอ้างเหตุผลอีก 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นพูดไม่ออกไปครึ่งค่อนวัน 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางหน้าบึ้ง โกรธจนทรวงอกกระเพื่อมขึ้นลง เพราะในรถคับแคบ จึงเตะตาอย่างเห็นได้ชัด บวกกับม้ากำลังวิ่งเร็ว จึงดูคล้ายกระต่ายซุกซนสองตัวถูกมัดไว้แน่นกำลังกระโดดขึ้นลง จมูกพลันแดงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นัยน์ตานิ่ง ลืมขยับไปชั่วขณะ 

 

 

ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เขายังมาทำมองบนแบบพวกอันธพาลอีก อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องมองเขา พลางพูดออกมาตรงๆ “ใช่พระมาตุลาหรือไม่” 

 

 

แววตาชายหนุ่มมืดมนลง ไม่คิดว่านางจะเดาเป็นเจี่ยงยิ่น 

 

 

พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเขาไม่ตอบ กลับไม่มีสีหน้าตกใจอะไร ยิ่งแน่ใจด้วยซ้ำว่าเป็นเจี่ยงยิ่น จึงทำนิ่งเฉยแล้วหันหน้าไปทางอื่น 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเดาความคิดของนางออก จึงนั่งไม่ติดอยู่บ้าง “เจ้าคิดจะไปถามเจี่ยงยิ่นหรือ” 

 

 

แล้วจะให้ทำอย่างไรได้ เมื่อรู้แล้ว ก็ต้องถามให้แน่ชัดสิ อยากให้ตนอกแตกตายหรือไง 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงหรี่ตา “เจ้าไม่มีทางได้พบพระมาตุลาหรอก” 

 

 

หึ คอยดูความสามารถของตนก็แล้วกัน เจ้าว่าไม่มีทางได้พบ ก็จะไม่ได้พบหรือ 

 

 

ทุกคำถามของซย่าโหวซื่อถิง นอกจากนางจะยิ้มเจ้าเลห์ตอบแล้ว ยังมีท่าทางเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันที่หาดูได้ยากด้วย สมองจึงแล่น พอนึกอะไรขึ้นได้ ก็จับหมับเข้าที่ข้อมือขาวๆ ของสาวน้อย พลางพูดอย่างคันปาก 

 

 

“ทำไม คิดจะไปหารัชทายาทให้ช่วยล่ะสิ”  

 

 

คิดเข้าหาพระมาตุลา โดยใช้รัชทายาทเป็นสะพาน นางสนิทกับรัชทายาทนี่ 

 

 

เมื่อไปหาเจ้าให้ช่วยได้ ทำไมจะไปหารัชทายาทให้ช่วยไม่ได้ มีเส้นสายเอาไว้ ก็เพื่อใช้เมื่อถึงคราวจำเป็น ถ้าไม่ใช้ จะรอให้ขึ้นราหรือ อวิ๋นหว่านชิ่นสะบัดมือออกจากเขา พร้อมค้อนให้หนึ่งควับ 

 

 

ค้อนนี้ ในสายตาของชายหนุ่ม ไม่ต่างอะไรกับปรายตามอง ซย่าโหวซื่อถิงจึงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงท่าทางของนางตอนอยู่กับรัชทายาทในงานเลี้ยง แล้วแอบส่งสายตาไปๆ มาๆ จึงรู้สึกไม่สบอารมณ์ การที่นางไม่สนใจตน เดิมทีตนก็ทนไม่ไหวอยู่ ตอนนี้ในหัวยังมีภาพเหล่านี้ผุดขึ้นมาอีก จึงอดใจไม่ได้ พลันคว้าข้อมือนาง แล้วดึงให้เข้ามานั่งบนตักของตนใหม่ พลางว่า 

 

 

“บอกแล้วไงว่า อย่าไปมาหาสู่กับรัชทายาท! และต่อไปก็อย่าแม้แต่จะคิดด้วย!” 

 

 

นางย่อมไม่ทำตามและไม่พัวพันด้วย ยื่นมือออก ใช้เล็บข่วนสู้กับเขา