ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 57 ข่าวน่าฟังที่ผู้คนทั่วหล้าชอบฟังที่สุด

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

หลินอวี้เสาออกฌานแล้ว และก่อนหน้านี้เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้แล้วเช่นกัน

หลินอวี้เสาจะมายังถังตะวันออก เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้มาก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน

แม้ว่าจะรู้สึกปวดศีรษะอยู่บ้างกับปัญหาที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งเอาไว้ให้ ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ได้ใส่ใจมากเท่าไร

ส่วนที่ว่าหลินอวี้เสามาเพราะได้ยินว่าเยี่ยจิ่งหายตัวไปในหุบเหวปราการมังกร หรือมาเพราะเยี่ยนจ้าวเกอ เขาเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรขนาดนั้น

ถึงกระนั้นสิ่งเดียวที่เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้คาดคิดก็คือ หลินอวี้เสาสิ้นชีพแล้ว

อีกทั้งจากที่ได้ยินจากผู้ติดตาม ก็คือนางไม่ได้สิ้นชีพเพราะอุบัติเหตุ ทว่าถูกคนสังหาร

เยี่ยนจ้าวเกออึ้งอยู่ครู่ใหญ่ ถึงได้สติกลับมา “ไม่ใช่เซียวเซิงหรือเฉาหยวนหลงใช่หรือไม่”

นี่คือปฏิกิริยาแรกหลังจากที่เยี่ยนจ้าวเกอได้ฟังข่าวนี้ ทว่าตอนที่จอมยุทธ์ชุดดำมารายงาน ก็ไม่ได้เอ่ยถึงสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ตอนแรก เช่นนั้นก็คงจะไม่ใช่

“…เจอโจรขืนใจอย่างนั้นหรือ?”

แม้จะดูเหลวไหลไปบ้าง ทว่านอกจากกลุ่มคนของเซียวเซิงแล้ว นี่เป็นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวที่เยี่ยนจ้าวเกอคิดได้จริงๆ

เพราะเท่าที่ตนเองรู้ หลินอวี้เสาไม่ได้มีคู่อาฆาตแค้นอะไร อย่างน้อยก็ไม่มีศัตรูที่หวังจะเอาชีวิต

ต่อให้เป็นเพราะเยี่ยนจ้าวเกอแล้วถูกพาลไปด้วย นอกจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็ไม่ได้มีความแค้นอื่นที่ใหญ่หลวงเป็นพิเศษ

ทว่าบริเวณเมืองใกล้ปราการและหุบเหวปราการมังกร มักมีคนหลากหลายประเภทเข้าไปผจญภัยที่หุบเหวปราการมังกรอยู่บ่อยครั้ง ในกลุ่มคนเหล่านั้นมีพวกที่โหดร้ายเลือดเย็น ไม่เกรงกลัวสิ่งใด

หลินอวี้เสาแม้จะเป็นศิษย์เขากว่างเฉิง ทว่าไม่แน่ว่าอาจจะพบเข้ากับคนร้ายจำพวกที่วันนี้มีเหล้าวันนี้เมา หาความสุขไปวันๆ ก็เป็นได้

ในเวลาเช่นนี้ทำได้แค่เพียงพึ่งความสามารถตนเองเท่านั้น

จอมยุทธ์ชุดดำคนนั้นส่ายหน้า แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ตามที่ได้ยินมา พบเพียงศพของแม่นางหลิน ไม่สามารถระบุตัวคนร้ายได้ชัดเจน และแม่นางหลินสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ไม่เหมือนกับสภาพคนที่ถูกขืนใจมาขอรับ”

เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย คิ้วค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน มีความคิดต่างๆ มากมายแล่นเข้ามาในสมองในชั่วพริบตา

แม้ว่าจะมีเรื่องยุ่งเหยิงกับเจ้าของร่างเดิมอยู่ไม่น้อย ทว่าหลังจากที่เยี่ยนจ้าวเกอข้ามมิติมายังยุคนี้ ก็ยังไม่เคยได้พบกับแม่นางหลินผู้นั้นเลย

เมื่อได้ยินข่าวว่าอีกฝ่ายเสียชีวิตแล้ว แม้ว่าจะไม่รู้สึกเศร้าเสียใจ ทว่าก็รู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย

อย่างไรเสียหนึ่งชีวิตที่ยังอายุน้อยก็โรยราไปทั้งอย่างนี้

หลังจากนั้นชั่วครู่ใหญ่ เยี่ยนจ้าวเกอก็ถอนหายใจยาวออกมา “กลับไปค่อยว่ากัน”

ทุกคนเดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ค่อยๆ ออกจากเทือกเขามฤคลับตาไป

เมื่อถึงพื้นที่ชายแดนของเทือกเขามฤคลับตา บนทางที่เชื่อมต่อไปยังเมืองใกล้ปราการ ก็เห็นจอมยุทธ์เขากว่างเฉิงกำลังเดินตรงเข้ามา

ปรมาจารย์ที่เป็นผู้นำเมื่อเห็นเยี่ยนจ้าวเกอ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปลงอย่างอดไม่ได้ “ศิษย์หลานเยี่ยน”

เยี่ยนจ้าวเกอจำได้ว่าเขาคือผู้อยู่ใต้บัญชาการของสวีชวน จึงผงกศีรษะ “มีเรื่องจะคุยกับข้าหรือขอรับ”

อีกฝ่ายกดเสียงต่ำ “ท่านผู้อาวุโสสวีขอให้เจ้าอย่าเพิ่งเข้าเมือง เชิญให้ไปพบกันที่ศาลาโบราณที่อยู่นอกเมืองสิบลี้”

ชายหนุ่มสีหน้าท่าทางสุขุม “ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เชิญท่านอาวุโสสวีมาที่นี่ก็ได้ ระหว่างทางสนทนาไปเดินไป ข้าต้องรีบไปที่เมืองหลวงอาณาจักรถังตะวันออกขอรับ”

จอมยุทธ์วัยกลางคนผู้นั้นลังเลไปครู่หนึ่ง ทว่าก็ผงกศีรษะแล้วจากไป

สายตาเยี่ยนจ้าวเกอทอดมองออกไปไกล ก็พบว่ามีกลุ่มคนคอยสังเกตการณ์ตนอยู่ เมื่อเห็นว่าตนออกมาจากเทือกเขามฤคลับตาแล้วก็หันหลังกลับออกไปทันที

เห็นได้ชัดว่ากลับไปรายงานข่าวให้กับคนอีกฝ่ายหนึ่ง

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ขัดขวางเอาไว้ ทว่ารีบเดินทางต่อ

กลุ่มคนของจ้าวซื่อเลี่ยและจ้าวหยวนที่ร่วมเดินทางมาด้วย ค่อยๆ สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรถังตะวันออก น้อยนักที่จะปิดบังเรื่องที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินถังตะวันออกจากพวกเขาได้

ส่งคนไปสืบสักหน่อย ไม่ช้าก็มีข่าวกลับมารายงาน ทำเอาสีหน้าของทุกคนแปลกไปในทันที

จ้าวซื่อเลี่ยดูเหมือนจะสงบนิ่ง ทว่าก็ลูบจับหนวดเคราไม่หยุด จ้าวเฉิงมีท่าทีเหมือนกับจะได้ดูละครขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนใบหน้าของจ้าวหยวนเผยให้เห็นถึงความวิตกกังวล

จ้าวฮ่าวกลับมีท่าทีว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน เพียงแต่สังเกตการณ์อยู่ข้างๆ ด้วยแววตาที่เย็นชา

ไม่นานนัก สวีชวนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวลก็ออกจากเมืองใกล้ปราการด้วยตนเอง แล้วมาพบกับกลุ่มของเยี่ยนจ้าวเกอที่กลางทาง

“ศิษย์หลานเยี่ยนกลับมาแล้ว ยังมีท่านจิ่นอ๋อง องค์ชายใหญ่ องค์ชายสาม และองค์ชายสิบหก ไม่ได้พบกันนานเลยนะพะยะค่ะ”

สวีชวนทักทายตามธรรมเนียมก่อน ทว่าไม่นานนักก็ใช้ปราณจิตราผูกเป็นเสียง ส่งกระแสจิตไปยังหูของเยี่ยนจ้าวเกอ ‘นายน้อยเยี่ยนขอรับ ศิษย์หลานหลิน หลินอวี้เสาถูกสังหาร ท่านทราบหรือไม่’

แววตาของเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้มีท่าทีตกใจ ทว่าใบหน้ากลับแสดงสีหน้าเสียใจเล็กน้อยอย่างจงใจ แล้วจึงผงกศีรษะช้าๆ ‘ข้าได้ยินมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนลงมือทำ’

สีหน้าของสวีชวนเจื่อนลงเล็กน้อย ‘มีข่าวลือมาว่าเป็นนายน้อยเยี่ยน ท่าน…’

คิ้วของเยี่ยนจ้าวเกอพลันขมวดกันเป็นปมทันที ‘จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ใครเป็นคนพูดจาเหลวไหล’

‘มีข่าวลือว่า ศิษย์หลานหลินเข้าฌานเป็นเวลานาน ความรู้สึกที่ท่านมีต่อนางก็จืดจางลงแล้ว’ สวีชวนพูดอ้อมๆ เพราะข่าวลือจริงย่อมแย่ยิ่งกว่านี้ ซึ่งก็คือเยี่ยนจ้าวเกอเล่นกับหลินอวี้เสาจนเบื่อแล้ว เขาจึงไม่กล้าพูดเช่นนี้กับชายหนุ่มตรงๆ แน่นอน

‘ข่าวลือบอกว่าการมายังถังตะวันออกครั้งนี้ นายน้อยเยี่ยนยังหันไปชอบพอกับศิษย์หลานซือคงที่ร่วมเดินทางมาด้วย’

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้นก็ทั้งโกรธทั้งขำ ‘ภาพลักษณ์ของข้าเป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ’

สวีชวนเหลือบมองด้านหลังเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง มองเฟิงอวิ๋นเซิงที่กำลังแหย่เล่นกับสุนัขสีดำ

ฉับพลันนั้น เยี่ยนจ้าวเกอถึงกับกุมขมับ

ท่าทางของชายหนุ่มทำให้สวีชวนไม่กล้าพูดกระตุ้นต่อมประสาทของเขาต่อ จึงพูดแห้งๆ ว่า ‘ข่าวลือบอกว่า หลังจากที่ศิษย์หลานหลินออกฌาน เมื่อได้ยินเรื่องของนายน้อยเยี่ยนกับศิษย์หลานซือคงจิง กังวลว่าจะเสียคนรักไป จึงรีบตามมาที่ถังตะวันออก’

‘หลังจากที่พวกท่านพบกันก็เกิดโต้เถียงกันขึ้น ท่านถูกศิษย์หลานหลินก่อกวนจนรำคาญ ผลจึง…’

สวีชวนกล่าวต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าดำเป็นก้นหม้อแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า ‘ข่าวลือที่ไม่มีที่มาที่ไปเช่นนี้ ก็ยังมีคนเชื่ออีกหรือ’

ผู้บอกข่าวลือหัวเราะแห้งๆ ‘เพียงแต่ข่าวลือบอกว่า ศิษย์หลานหลินสิ้นชีพด้วยวิชาฝ่ามือดุสิต…’

ม่านตาดำของเยี่ยนจ้าวเกอหดเล็กลงอย่างฉับพลัน ‘ฝ่ามือดุสิตหรือ?’

สวีชวนผงกศีรษะอย่างหนักแน่น ‘ศพถูกพบครั้งแรกโดยคนของท่านผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออก บัดนี้ศพอยู่ในความดูแลของพวกเขา จึงยากนักที่จะเข้าใกล้เพื่อตรวจสอบได้ในเวลาอันสั้น’

‘แต่ว่าเท่าที่รู้มา ที่บริเวณทรวงอกของนางมีบาดแผลขนาดใหญ่ ถูกเผาจนไหม้เกรียม อย่างน้อยๆ ก็เป็นบาดแผลที่เกิดจากวรยุทธ์ที่มีปราณเพลิงอยู่ด้วยอย่างแน่นอน’

‘ทว่าบัดนี้มีข่าวลือแพร่กระจายออกมาว่าศิษย์หลานหลินสิ้นชีพด้วยวิชาฝ่ามือดุสิต’

เขามองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความกังวลอยู่บ้าง

จอมยุทธ์เขากว่างเฉิงที่ใช้วิชาฝ่ามือดุสิตได้ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีแค่เยี่ยนจ้าวเกอคนเดียว ในถังตะวันออกก็ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวเช่นกัน

ถึงกระนั้นคนที่มีแรงจูงใจก็เหลือเพียงแค่เยี่ยนจ้าวเกอเท่านั้น

แม้ว่าแรงจูงใจนั้นจะเล็กน้อยอยู่บ้าง

ทว่าความเป็นจริงที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยก็คือ ข่าวการฆ่าฟันด้วยเรื่องรักใคร่เสน่หาเช่นนี้ แพร่กระจายออกไปได้ง่ายที่สุด

ท่ามกลางการบอกเล่าปากต่อปาก ข้อความข่าวสารถูกบิดเบือนมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นธรรมดา ยากจะหลีกเลี่ยงการใส่สีตีไข่ให้สนุกปาก ภาพลักษณ์ของเยี่ยนจ้าวเกอจะดูไม่ดีอยู่บ้างก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้

ถ้าแค่ข่าวซุบซิบนินทาลับหลังก็แล้วไป ผู้คนส่วนมากยังคงชอบเรื่องเล่าความรักของหญิงงามกับวีรบุรุษ ทว่าฆ่าฟันด้วยเรื่องรักๆ ใคร่ๆ นั้นเป็นคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวลือเช่นนี้ ต่อให้ความจริงกระจ่างแล้ว ก็ใช่ว่าประชาชนจะปักใจเชื่อ

เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลงเล็กน้อย

จุดประสงค์ของผู้ที่แพร่กระจายข่าวลือ เกรงว่าคงไม่ใช่แค่เพียงทำลายชื่อเสียงง่ายๆ เช่นนี้

ชายหนุ่มสังหรณ์ใจว่า นี่เหมือนกับการปูเรื่องราวอะไรสักอย่าง…

หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอก็ส่ายหน้าไปมา ‘ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้าจริงๆ ความจริงที่ศิษย์น้องหลินถูกฆาตกรรมต้องตรวจสอบให้ละเอียดแน่อยู่แล้ว’

‘แต่ตอนนี้ข้ายังมีเรื่องเร่งด่วนต้องไปที่เมืองหลวงแห่งอาณาจักรถังตะวันออก เป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวพันกับรากฐานของเขากว่างเฉิงของข้า การจากไปของศิษย์น้องหลิน ข้าเองก็เศร้าเสียใจ แต่ตอนนี้ทำได้เพียงคิดถึงเรื่องส่วนรวมก่อนเรื่องส่วนตัว’

‘ท่านผู้อาวุโสเกาะตะวันออกกำลังรีบเร่งมาที่เมืองหลวงอาณาจักรถังตะวันออก ข้าเองก็จะไปเจอกับเขาที่นั่นเช่นกัน’

สวีชวนอึ้งไป เดิมทีคิดว่าเยี่ยนจ้าวเกอมีใจคิดเพียงแค่ต้องการหลีกหนี ทว่าในเมื่อท่านผู้อาวุโสเกาะตะวันออกมาด้วย เช่นนั้นคงต้องเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ แน่

‘ท่านผู้อาวุโสเหยียนอยู่ที่เมืองใกล้ปราการ เขาสั่งว่าข้าหากพบท่าน ให้นำท่านไปพบเขา ศพของศิษย์หลานหลินก็อยู่ในเมืองเช่นกัน’ หลังจากสวีชวนลังเลอยู่ชั่วครู่ เขาก็กล่าวเสียงเบา

เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก ‘คนแก่หลงลืมง่าย เขาลืมแล้วหรือว่าตอนนี้ข้าไม่ได้อยู่ใต้การดูแลของเขาแล้ว’

‘หากเขามีเรื่อง ก็ให้เขาตามไปที่เมืองหลวงอาณาจักรถังตะวันออกเถิด’

…………….