บทที่ 112: ความคล้ายคลึงกันอันแปลกประหลาด

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 112: ความคล้ายคลึงกันอันแปลกประหลาด

“พวกเขามีเสน่ห์อย่างมากต่อเพศตรงข้าม ประสบปัญหาด้านความสัมพันธ์มากมายตลอดชีวิต นอกจากนี้ พวกเขาทั้งคู่ยังหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาหลังจากออกเดินทาง…”

เมื่ออ่านบันทึกเกี่ยวกับบรรพบุรุษทั้งสอง โรเอลก็รู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก

จากสิ่งที่เขาอ่านมาจนถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าทั้งวินสเตอร์ แอสคาร์ดและโร แอสคาร์ดต่างก็เป็นผู้ชายที่โดดเด่น เขาไม่รู้ว่าทั้งสองคนมีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ผู้หญิง

เมื่อพิจารณาถึงการเกิดในตระกูลอันสูงส่งและความแข็งแกร่งอันล้นหลาม ก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมสาว ๆ ถึงชอบพวกเขา สิ่งที่น่าแปลกเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือผู้หญิงที่พวกเขามีความสัมพันธ์ด้วยเองก็น่าเกรงขามมากเช่นกัน ตั้งแต่นายพลของจักรวรรดิออสทีนไปจนถึงนักวิชาการผู้มีชื่อเสียงในโบรเนล

ดังที่ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าฮาเร็มที่สงบสุขนั้นมีเพียงแค่ในนวนิยายเท่านั้น ทั้งวินสเตอร์ และโร ต่างก็ต้องปวดหัวเนื่องจากเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดจากหญิงสาวรอบ ๆ ตัวพวกเขาและการที่ทั้งคู่ หมั้นหมายกับคู่หมั้นที่มีจิตใจเข้มแข็งและมีภูมิหลังอันทรงอิทธิพลก็ไม่ได้ช่วยอะไรเช่นกัน

มันเหมือนกับการพยายามทำซุปหม้อหนึ่งที่เต็มไปด้วยส่วนผสมที่ไม่มีวันเข้ากันได้ มันจะเต็มไปด้วยรสชาติแปลกประหลาดและไม่ลงรอยกันมากมาย!

ทั้งสองคนไม่รู้จักควบคุมตัวเองให้ดีเลยหรือยังไง? ทำไมพวกเขาถึงได้เข้าไปยุ่งกับผู้หญิงมากมายให้ลำบาก แถมยังเป็นผู้หญิงที่มีอิทธิพลอำนาจมหาศาลในตอนนั้นอีกด้วย! สิ่งที่พวกเขาทำแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากการผลักตัวเองลงหน้าผาเลยด้วยซ้ำ!

โรเอลวางบันทึกที่เขากำลังอ่านลง พลางถอนหายใจด้วยความคร่ำครวญออกมา แต่ในทันใดนั้น เขาหวนนึกถึงเรื่องของตัวเองขึ้นมาได้

เดี๋ยวนะ!! สถานการณ์ของพวกเขามันก็ไม่ได้ …

“… มันแตกต่างไปจากของฉัน!”

โรเอลเริ่มตบมุขกับตัวเอง

นอร่าอยู่ในฐานะผู้พิทักษ์ของเขา มันจึงเป็นที่แน่นอนว่าเธอจะไม่มีวันทำร้ายเขา ส่วนอลิเซียเองก็ไม่ค่อยสนใจพลังเหนือธรรมชาติด้วยเช่นกัน ที่สำคัญที่สุดก็คือ…

“… ฉันไม่มีคู่หมั้นที่ทรงอิทธิพลหรือแข็งแกร่งเหมือนพวกเขา!”

โรเอลตบหน้าอกของตน เขารู้สึกดีใจที่สังคมได้ก้าวหน้ามาไกลมาจากสมัยก่อน ถ้าเขาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแต่งงานทางการเมืองจริง ๆ คู่หมั้นของเขาจะต้องเป็นขุนนางที่มีชื่อเสียงแน่ ๆ และอาจจะเป็นถึงผู้สืบทอดของตระกูลเลยด้วยซ้ำ ถ้าเขาพยายามที่จะปฏิเสธการหมั้นล่ะก็ ตระกูลแอสคาร์ดจะต้องจ่ายค่าชดใช้หนักหนาสาหัส และอาจจะนำไปสู่ปัญหามากมายด้วยเช่นกัน

อ่า ขอบคุณเทพีเซีย ที่พ่อของเราเป็นผู้ศรัทธาในการแต่งงานด้วยความรักที่แท้จริง! ชีวิตแต่งงานรักแท้จงเจริญ!

โรเอลยิ้มให้กับตัวเองอย่างมีความสุข โดยไม่ได้สนใจความจริงที่ว่าพ่อของเขาได้ขายตนให้กับตระกูลเซไซต์ไปแล้วโดยไม่ได้ตั้งใจ

“เดี๋ยวนะ แบบนี้หมายความว่ากุญแจสำคัญในการพัฒนาพลังสายเลือดของเราคือการเป็นคนขี้โกง ที่มีส่วนร่วมกับความสัมพันธ์ทุกประเภทงั้นหรือ? นี่เราถูกกำหนดให้เป็นราชาฮาเร็มงั้นเหรอ? ไม่สิ นั่นมันเป็นไปไม่ได้หรอก ถ้านั่นคือสิ่งที่บรรพบุรุษของเราทำ พวกเขาก็สมควรที่จะต้องตายซ้ำ ๆ ไปสักพันครั้ง”

โรเอลส่ายหัวพลางคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎจะทำงานในลักษณะดังกล่าว เด็กชายจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการต้องหันความสนใจไปยังส่วนที่เขาไม่ต้องการจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยมากที่สุด นั่นก็คือการสำรวจซากโบราณสถานทางประวัติศาสตร์ นอกเหนือจากชีวิตรักอันยุ่งเหยิงของพวกเขาแล้ว ความคล้ายคลึงกันระหว่างวินสเตอร์กับโรก็คือพวกเขาทั้งคู่เป็นนักโบราณคดีที่มีชื่อเสียง

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ส่วนนี้คือสิ่งที่น่าสงสัยที่สุดในเรื่องราวของพวกเขา เพียงแต่ว่าบันทึกของตระกูลแอสคาร์ดนั้นได้รับความเสียหาย จึงไม่สมบูรณ์อีกต่อไป ดังนั้นปริมาณข้อมูลที่โรเอลได้รับมาจึงมีจำกัด โชคดีที่เด็กชายมีช่องทางอื่น ๆ ที่เขาสามารถไปหาข้อมูลได้

ไม่ได้มีแค่พวกแอสคาร์ดเท่านั้นที่ชอบเก็บบันทึก และตอนนี้โรเอลก็กำลังอยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย นี่ทำให้สิ่งต่าง ๆ ยิ่งสะดวกมากขึ้นไปอีก

ดังนั้นโรเอลจึงนำหนังสือที่เขากำลังอ่านอยู่ออกมาจากห้องเก็บเอกสารก่อนจะสั่งแอนนา

“เตรียมรถม้าให้ฉันที วันนี้เราจะไปที่หอสมุดหลวงกัน!”

ในห้องที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงาม โรเอลหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ ขณะเปิดดูบันทึกเอกสารโบราณในมือ ที่นี่เงียบสงบมากจนความกังวลในใจของเขาเหมือนจะระเหยกลายเป็นอากาศไปเลย

หอสมุดหลวงของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์

นี่เป็นอาคารที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในลอเรน ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าร้อยปีอยู่เบื้องหลัง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาลงทุนลงแรงไปเป็นอย่างมากในการบูรณะมันขึ้นมาใหม่ แม้ว่ามันจะไม่ได้สวยงามรุ่งโรจน์เหมือนโบสถ์เซนต์ฟารอน แต่มันให้บรรยากาศอันสง่างามแบบเดียวกันกับที่มักจะมีอยู่รอบ ๆ ตัวพวกนักวิชาการ

ส่วนสาเหตุที่มันได้ชื่อว่าหอสมุดหลวง ไม่ได้หมายความว่าห้องสมุดนี้เป็นของเฉพาะราชวงศ์แต่อย่างใด เพียงแต่ตระกูลเซไซต์นั้นเป็นผู้ที่หาเงินมาสร้างห้องสมุดแห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคาดหวังเอาไว้สูงกับห้องสมุดแห่งนี้ ซึ่งการลงทุนของพวกเขาก็ได้รับผลตอบแทนที่ดีกลับมาเช่นกัน ในปัจจุบันหอสมุดหลวงเป็นหนึ่งในหอสมุดที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของทวีปเซีย นับตั้งแต่ที่มีการก่อสร้างมันขึ้นมา ห้องสมุดแห่งนี้ก็ได้รับความชื่นชมยินดีมาโดยตลอด

หอสมุดหลวงของจักรวรรดิเซนต์เมซิท คลังเกียรติยศล้านปีของจักรวรรดิออสทีน และ หอประชุมนานาชาติแห่งปัญญาอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนล สถานที่เหล่านี้คือหอสมุดสามแห่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของทวีปเซีย

โดยรวมแล้วทั้งสามแห่งมีบันทึกทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติรวมอยู่อย่างน้อย ๆ ก็ 60% ว่ากันว่าสถานที่ทั้งสามแห่งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมทั้งหมดในทวีปเซีย

หอสมุดหลวงของจักรวรรดิเซนต์เมซิทก่อตั้งขึ้นเป็นหอสมุดแห่งสุดท้ายในบรรดาหอสมุดทั้งสามแห่ง ซึ่งแท้จริงแล้วหอสมุดแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นมาด้วยความโกรธแค้น โดยผู้ที่สั่งให้สร้างหอสมุดนี้ขึ้นก็คือพระสังฆราชลูคัส บิดาของพระสังฆราชจอห์น​ ถ้าสิ่งที่นอร่าพูดเป็นความจริงล่ะก็ ลูคัสก็คือลูกชายของเวตและเป็นลูกบุญธรรมของวิกตอเรีย

พระสังฆราชลูคัส เป็นหนึ่งในผู้ปกครองที่ยอดเยี่ยมของจักรวรรดิเซนต์เมซิท อาจเป็นเพราะเขาสืบเชื้อสายมาจากเวตผู้มีความทะเยอทะยาน หรือไม่ก็เพราะ วิกตอเรียได้มอบความรู้สึกผิดของเธอที่มีต่อเขาให้กับลูคัส ลูคัสจึงกลายเป็นผู้ปกครองที่จองหองเป็นอย่างยิ่ง เขาเป็นคนประเภทที่ไม่สามารถทนต่อความอัปยศได้เลยแม้แต่น้อย

ปกติแล้วสิ่งนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหามากนัก เนื่องจากลูคัสมาจากตระกูลเซไซต์อันทรงพลัง จึงแทบจะไม่มีใครในโลกนี้ที่กล้าทำให้เขาขุ่นเคือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในจักรวรรดิเซนต์เมซิทด้วยแล้ว อย่างไรก็ตามไม่มีใครสามารถหนีจากความคับข้องใจของสังคมได้อย่างแท้จริง พระสังฆราชลูคัสเองก็ด้วยเช่นกัน

ข้อตกลงแนวร่วมการปกป้องชายแดนตะวันออกของทวีปเซีย

นี่เป็นข้อตกลงสำคัญที่ให้สัตยาบันในทุก ๆ 30 ปี เพื่อยืนยันพื้นที่รอบพรมแดนของมนุษยชาติที่แต่ละอาณาจักรจะปกป้อง เช่นเดียวกับกองกำลังทหารที่พวกเขาจะส่งไปประจำการที่นั่น

จุดประสงค์ของข้อตกลงนี้ก็เพื่อการปกป้องมนุษยชาติจากภัยคุกคามของพวกกลายพันธุ์ เพื่อนำมาซึ่งความสงบสุข เจริญรุ่งเรือง

สาเหตุที่ข้อตกลงนี้มีระยะเวลาเพียง 30 ปี ในแต่ละรอบ จริง ๆ แล้วมันเป็นเหตุผลที่มีประโยชน์มาก นั่นก็เพราะอาณาจักรเล็ก ๆ ส่วนใหญ่มักจะมีอายุขัยสั้น พวกเขามีการเมืองภายในที่ไม่ค่อยมั่นคงและมีการจลาจลเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ภายในดังกล่าว จักรพรรดิของพวกเขาจึงมักจะมีแนวโน้มที่จะ ‘สลาย’ อาณาจักรของพวกเขา และหนีหายไปจากข้อตกลงด้านการป้องกันระหว่างอาณาจักร ทำให้พวกเขาสามารถส่งกองกำลังที่ประจำการอยู่ที่ชายแดนตะวันออกกลับมายังอาณาจักรเพื่อจัดการกับพวกกบฏได้ เหตุการณ์ดังกล่าวมักจะเกิดขึ้นในทุก ๆ ทศวรรษหรืออาจมากกว่านั้น

ดังที่กล่าวไปแล้ว การจัดการประชุมระหว่างอาณาจักรเพื่อต่ออายุข้อตกลงป้องกันชายแดนภาคตะวันออกทุก ๆ ทศวรรษค่อนข้างจะไม่สะดวกเท่าไหร่ เนื่องจากนี่เป็นโลกที่การเดินทางขนส่งไม่สะดวกและขาดประสิทธิภาพ การเดินทางจากจักรวรรดิเซนต์เมซิทไปยังจักรวรรดิออสทีน อาจใช้เวลาหลายเดือน ยิ่งไปกว่านั้น การเจรจาข้อตกลงก็ยิ่งทำให้เหนื่อยมากขึ้นไปอีก ในที่สุดมหาอำนาจต่าง ๆ จึงได้บรรลุข้อตกลงการต่ออายุด้านการป้องกันชายแดนในทุก ๆ 30 ปีแทน

การประชุมระหว่างอาณาจักรเพื่อการต่ออายุข้อตกลงด้านการป้องกันชายแดนในช่วงรัชสมัยของ พระสังฆราชลูคัสนั้นได้จัดขึ้นที่เมืองหลวงของจักรวรรดิออสทีน เซียอัส การประชุมระดับนานาชาติครั้งนั้นรุนแรงกว่าปกติมาก และความขัดแย้งระหว่างอาณาจักรหลัก ๆ เองก็ปะทุรุนแรงมากขึ้นกว่าปกติเช่นกัน

แน่นอนว่าจักรวรรดิออสทีน ซึ่งเป็นศัตรูเก่าของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ไม่ได้ทำให้ลูคัสมีช่วงเวลาที่ดีเท่าไหร่นัก

การประชุมระดับนานาชาติระหว่างผู้นำของอาณาจักรต่าง ๆ นั้นไม่เหมือนการประชุมของบริษัท ที่ทุกคนถูกขังรวมอยู่ในห้องที่ปิดและถูกบังคับให้พูดคุยกันจนกว่าจะได้ข้อสรุป

การเจรจาของพวกเขาจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในทุก ๆ 10 ถึง 15 วัน ตัวแทนจากอาณาจักรต่าง ๆ จึงมักจะใช้เวลาระหว่างนั้นไปเยี่ยมเยียนกันเพื่อสร้างความสัมพันธ์หรือไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ ที่อาณาจักรเจ้าภาพวางแผนไว้สำหรับพวกเขา

สถานที่ที่จักรวรรดิออสทีนเลือกพาลูคัสไปชมก็คือคลังเกียรติยศล้านปีที่พวกเขาภาคภูมิใจ ในขณะที่ชื่อของมันฟังดูค่อนข้างเสแสร้ง ทว่าตัวหอสมุดนั้นก็ยิ่งใหญ่ตระการตาสมกับชื่อของมัน โดยเต็มไปด้วยมรดกวัฒนธรรมจากจักรวรรดิออสทีนโบราณในยุคที่สอง

จักรวรรดิออสทีนได้ใช้ระบบที่ค่อนข้างน่าสนใจในการจัดระเบียบหนังสือในห้องสมุดนี้ พวกเขาจัดเรียงบันทึกประวัติศาสตร์นับพันปีของทวีปเซียตามลำดับเวลา นอกจากนี้เพื่อสร้างความโดดเด่น ชั้นปีที่ จักรวรรดิเซนต์เมซิทก่อตั้งขึ้นถูกวางไว้บนหิ้งที่เขียนว่า ประวัติศาสตร์อันมืดมนเบื้องหลังการก่อตั้งจักรวรรดิเซนต์เมซิท ซึ่งอธิบายอย่างละเอียดผ่านการวิเคราะห์โดยนักวิชาการของจักรวรรดิออสทีน

พวกเราจะปล่อยให้ประวัติศาสตร์อันล้ำค่าของพวกท่านหายไปจากโลกนี้ได้อย่างไร? พวกเราจำได้ว่าท่านไม่มีหอสมุดใหญ่ ๆ ที่จักรวรรดิเซนต์เมซิทใช่ไหม? ไม่มีปัญหา! พวกเราเป็นคนใจกว้าง ดังนั้นพวกเราจะเก็บบันทึกประวัติศาสตร์ของพวกท่านให้เอง!

อา แต่ต่อจากนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวกับจักรวรรดิเซนต์เมซิทบนชั้นหนังสือหรอกนะ ชั้นวางต่อจากนี้เป็นต้นไป ทั้งหมดเป็นประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิออสทีน มันคงจะไม่มีความหมายเท่าไหร่สำหรับพวกท่านที่จะมาดูประวัติศาสตร์ของพวกเรา งั้นวันนี้พวกเราพอแค่นี้กันก่อนดีไหม?

การโอ้อวดและเย้ยหยันทั้งหมดเบื้องหน้าลูคัส ทำให้เขาโกรธมากจนบางคนบอกว่าเขาเกือบจะถูกส่งไปอยู่ในอ้อมกอดของเทพีเซียในวันนั้นเสียแล้ว ที่เลวร้ายกว่านั้น แม้จะรู้สึกท้อแท้เพียงใด เขาก็ไม่สามารถหักล้างคำพูดเหล่านั้นของพวกออสทีนได้ ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกัดฟันและอดทนเก็บความอัปยศครั้งนี้ไว้

ลูคัสไม่เคยต้องรู้สึกอับอายขนาดนี้มาก่อน

หลังจากกลับจากการประชุมนานาชาติครั้งนั้น ลูคัสก็ยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ดังนั้นในปีต่อมา เขาจึงได้ออกคำสั่งให้รวบรวมสถาปนิก นักวิชาการ และนักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงทั้งหมด สั่งให้พวกเขาสร้างห้องสมุดอันทรงเกียรติ ที่เหนือกว่าคลังเกียรติยศล้านปีของจักรวรรดิออสทีน หลังจากการก่อสร้างเสร็จ เขาก็ได้ยัดเยียดประวัติศาสตร์อันมืดมิดของจักรวรรดิออสทีนทั้งหมดเข้าไปข้างใน และทำให้แน่ใจว่าเขาได้เชิญผู้นำระดับสูงของทุกอาณาจักรเข้ามาดู

แม้ว่าจุดประสงค์เบื้องหลังการกระทำของลูคัสคือการล้างแค้น แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการสร้างหอสมุดหลวงได้มีส่วนอย่างมากในการสืบสานวัฒนธรรมของจักรวรรดิเซนต์เมซิท

โรเอลลูบบันทึกโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีในมือ เขาอดไม่ได้ที่จะไตร่ตรองถึงความจำเป็นของห้องสมุดที่มีต่อมนุษยชาติ

หอสมุดหลวงนี้เปิดให้ทุกคนเข้ามาศึกษาได้ โดยไม่คำนึงถึงสถานะทางสังคม นั่นอาจจะไม่สำคัญมากเท่าไหร่นักสำหรับโรเอล เนื่องจากภูมิหลังที่เป็นชนชั้นอภิสิทธิ์ของเขา แต่สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาแต่ไม่มีเงินซื้อหนังสือ หอสมุดแห่งนี้ไม่ต่างอะไรไปจากดินแดนแห่งขุมทรัพย์

อย่างไรก็ตามขุนนางอย่างโรเอลก็ยังคงได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมในสถานที่สาธารณะเช่นนี้ เมื่อเทียบกับสามัญชน เขาไม่ต้องจ่ายเงินมัดจำเพื่อยืมหนังสือ และเขาสามารถเข้าถึงบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 300 ปีได้อย่างอิสระ ซึ่งปกติแล้วจะไม่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้าชม ยิ่งไปกว่านั้น หัวหน้าบรรณารักษ์ยังทักทายเขาเป็นการส่วนตัวอีกด้วย

“นายน้อยโรเอล ส่วนรับรองแขกกิตติมศักดิ์ของพวกเราเป็นอย่างไรบ้างขอรับ? ถ้ามันยังกว้างไม่พอ ท่านสามารถตรงมาที่ส่วนรับรองของผมได้ ผมเชื่อว่ามันจะต้องเป็นสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายสำหรับการอ่านหนังสือของท่านแน่”

“ขอบคุณสำหรับการต้อนรับที่ดี ท่านหัวหน้าบรรณารักษ์ ฉันชอบสภาพแวดล้อมของส่วนรับรองแขกกิตติมศักดิ์ มันสะดวกสบายและเงียบสงบ แค่นั้นก็ดีมากแล้ว… ถ้าฉันจำไม่ผิด ตรงนี้ควรจะเป็นของราชวงศ์โดยเฉพาะไม่ใช่เหรอ?”

โรเอลสูดกลิ่นหอม ดื่มด่ำกับพรมนุ่ม ๆ ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา เก้าอี้ไม้ที่เขานั่งอยู่นั้นทำมาจากวัสดุคุณภาพสูง ทำให้นั่งได้อย่างมั่นคงแต่ก็สบาย มันเป็นห้องรับรองที่มีขนาดใหญ่ไม่ถึง 20 ตร.ม. แต่ความหรูหราฟุ่มเฟือยของห้องนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนธรรมดาทั่วไปต้องตกตะลึง

อันที่จริงแล้วโรเอลนั้นกำลังอยู่ในพื้นที่ที่หรูหราที่สุดของหอสมุด ซึ่งเป็นพื้นที่พิเศษเฉพาะสำหรับสมาชิกของราชวงศ์เท่านั้น ซึ่งขุนนางชั้นสูงก็สามารถเข้ามาที่นี่ได้เช่นกันหากพวกเขาได้รับอนุญาตจากสมาชิกราชวงศ์ โรเอลไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีอยู่จริงที่นี่ อันที่จริงแล้วเขาได้รับเชิญจากพื้นที่อ่านหนังสือธรรมดาให้ขึ้นมาที่นี่

“ท่านหัวหน้าบรรณารักษ์ ไม่สิ ท่านคาร์เมน ฉันลืมขออนุญาตก่อนที่จะเข้ามาห้องอ่านหนังสือนี้ ฉันคงทำให้ท่านลำบากไม่น้อยเลยใช่ไหม?”

“ไม่ ๆ มันไม่ใช่ปัญหาเลย นายน้อยโรเอล ท่านจะต้องได้รับอนุญาตจากทางราชวงศ์อยู่แล้ว หากท่านร้องขอ ห้องนี้มักถูกใช้โดยฝ่าบาทนอร่า ดังนั้นจึงไม่มีใครเหมาะสมที่จะยืมใช้ห้องนี้มากไปกว่าท่านอีกแล้ว!”

“หืม นอร่างั้นเหรอ?”

โรเอลที่ตกใจจนเผลอโพล่งชื่อของนอร่าออกมาตรง ๆ ซึ่งทำให้รอยยิ้มของบรรณารักษ์คาร์เมนเผยออกมา

ห้องนี้เป็นห้องสำหรับสมาชิกภายในราชวงศ์เท่านั้น? แล้วทำไมถึงจะมีปัญหาล่ะ?

ไปถามทั่วเมืองได้เลย ไม่มีใครหรอกที่ไม่รู้ว่าลูกชายคนเดียวของตระกูลแอสคาร์ด อย่างนายน้อยโรเอลถือเป็นสมาชิกของราชวงศ์ไปแล้วครึ่งตัว! มีคนมากมายที่อยากจะพบเขา แต่ตระกูลแอสคาร์ดปฏิเสธคำขอของพวกเขามาโดยตลอด อ้างว่าเขายังคงไม่ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

คาร์เมนคุ้นเคยกับการเมืองในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างดี ทันทีที่เขาได้ยินว่านายน้อยโรเอลได้เข้ามาเยี่ยมชมหอสมุดหลวง ร่างกายของเขาจึงสั่นสะท้านในทันที นี่เป็นการเผชิญหน้าที่เจ้าหน้าที่และขุนนางจำนวนนับไม่ถ้วนปรารถนา แต่เขากลับบังเอิญโชคดีได้เจออีกฝ่ายตรง ๆ ไม่มีทางที่เขาจะไม่มีความสุขกับสิ่งนี้!

หัวหน้าบรรณารักษ์ของหอสมุดหลวงนั้นได้รับมอบหมายโดยตรงจากทางราชวงศ์ ทำให้มันถือเป็นตำแหน่งทางราชการ

เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน คาร์เมนได้แต่คิดทบทวนถึงความถูกต้องของข่าวลือ เนื่องจากในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มักจะมีข่าวลือเท็จอยู่เสมอ ๆ

อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่วันก่อน มีข่าวกระจายไปทั่วเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ว่าผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของราชวงศ์ องค์หญิงนอร่า กำลังจะกลายเป็นผู้พิทักษ์ของนายน้อยแห่งตระกูลแอสคาร์ด และพิธีจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันต่อมา นี่ทำให้เกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่ทั่วทั้งเมืองหลวงในทันที แม้แต่คนโง่ก็ยังสามารถเข้าใจได้ในทันที ว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองแน่!

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมีโอกาสอันดีที่นายน้อยโรเอล จะกลายมาเป็นพระสวามีขององค์หญิงนอร่าในอนาคตอันใกล้ ทำให้คาร์เมนสนใจมาก ถ้าเขาสามารถสร้างความประทับใจให้กับนายน้อยโรเอลได้ในตอนนี้ ล่ะก็ ตำแหน่งของเขาคงจะปลอดภัยไปอีกนาน!

“ถ้าห้องนี้สงวนไว้สำหรับการใช้งานของฝ่าบาทนอร่า ฉันก็น่าจะใช้ห้องนี้ไปพลาง ๆ ก่อนได้สินะ ฉันจะปฏิบัติตามขั้นตอนการร้องขอที่เหมาะสมในภายหลังก็แล้วกัน”

“ท่านสุภาพเกินไปแล้วขอรับ ไม่จำเป็นสำหรับสิ่งนั้นหรอก มันคงจะยุ่งยากเกินไป… หืม?”

เมื่อกล่าวไปได้ครึ่งทางคำพูดของคาร์เมนก็หยุดลง เขาเบิกตากว้างทันทีเมื่อตระหนักว่ามีอะไรแปลกไปในประโยคที่เขาเพิ่งได้ยิน

ถ้านายน้อยโรเอลตั้งใจที่จะปฏิบัติตามขั้นตอนการร้องขอ เขาจะต้องไปที่พระราชวัง… นั่นหมายความว่า เขาจะเข้าไปพบกับฝ่าบาทนอร่า ใช่รึเปล่า?

อา ข้าเข้าใจแล้ว! มิน่าทำไมจู่ ๆ นายน้อยโรเอลถึงมาเยี่ยมหอสมุดของเราในวันนี้อย่างกะทันหัน ที่แท้เขาก็มีแผนอื่นอยู่ในใจนี่เอง! ด้วยเหตุผลดังกล่าว เขาก็จะมีเหตุผลอันสมควรที่จะเข้าไปยังพระราชวังเพื่อนัดพบอย่างลับ ๆ กับฝ่าบาทนอร่า

โอ้ เทพีเซียผู้ยิ่งใหญ่ ช่างเฉลียวฉลาดอะไรเช่นนี้! ตามที่คาดไว้ว่าเขาคู่ควรที่จะเป็นพระสวามีขององค์หญิงจริง ๆ!

(แต้มความสนใจ +100 !)

แสงสีเขียวส่องออกมาจากศีรษะของคาร์เมน ในขณะที่ความเคารพของเขาที่มีต่อโรเอลกำลังพุ่งสูงขึ้น โรเอลหันไปมองอีกฝ่ายอย่างสับสน จากนั้นจึงเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็วแล้วพูดต่อ

“นายน้อยโรเอล ผมเข้าใจดี โปรดดำเนินการตามขั้นตอนที่ร้องขอตามสะดวกต่อไปได้เลยขอรับ ผมจะเตรียมเอกสารให้พร้อมสำหรับทุกครั้งที่ท่านแวะมาที่นี่ ดังนั้นท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น มาบ่อย ๆ ตามความจำเป็นที่จะต้องเข้าพบกับฝ่าบาทนอร่าได้เลยขอรับ!”

“หา? ไม่ ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น…”

“นายน้อยโรเอล ท่านไม่จำเป็นต้องอธิบายไปมากกว่านี้ ผมเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว ไม่ต้องกังวลไป ผมทนรับแรงกดดันจากเบื้องบนได้ ดังนั้นโปรดทำตามที่ท่านต้องการเถอะขอรับ!”

???

หมอนี่เข้าใจอะไรของเขากัน? รู้สึกว่าสิ่งที่เขาได้ยินจะแตกต่างจากสิ่งที่เราพูดสุด ๆ เลยนะ

คาร์เมนตบหน้าอกของเขา ราวกับสหายที่ไว้ใจได้ ผู้ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้คู่รักสองคนได้เจอกันอีกครั้ง เมื่อเห็นสิ่งนี้ โรเอลก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

เด็กชายรู้สึกว่าตนจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันกับตอนนี้อีกมากในอนาคต ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะพยายามอธิบายอีกต่อไป

เออ ช่างมันเถอะ ตอนนี้เราควรจะมุ่งความสนใจไปที่การอ่านบันทึกของบรรพบุรุษ! วันพิธีการปกป้องคุ้มครองใกล้เข้ามาแล้ว มั่นใจเลยว่ามันจะต้องเต็มไปด้วยเรื่องชวนปวดหัวแน่ ๆ ฉะนั้นเราควรจะทุ่มเทรีบหาเบาะแสตั้งแต่ตอนนี้!

โรเอลส่ายหัวขณะที่เขาโยนเรื่องนี้ไปที่ด้านหลังของจิตใจ