บทที่ 113: เป้าหมายเล็ก ๆ

โรเอลเคยได้ยินคำพูดหนึ่งในตอนที่อยู่โลกเดิมว่า ‘การศึกษาเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการยกระดับตัวเอง’ คำพูดเหล่านี้ค่อนข้างมีผลในโลกก่อนของเขา ซึ่งในทวีปเซียเองก็เช่นกัน

นี่เป็นยุคสมัยที่บุคคลผู้มีการศึกษาเป็นเพียงคนส่วนน้อย เพียงแค่รู้วิธีเขียนก็สามารถสร้างอาชีพได้ เนื่องจากเหล่าขุนนางผู้มีอำนาจจะเข้ามาจ้างวานพวกเขาให้คอยเขียนรวบรวมบันทึกประวัติศาสตร์ให้กับคนรุ่นหลังได้รู้จักบรรพบุรุษของพวกเขา

แน่นอนว่า นักเขียนเหล่านี้ไม่ได้ลงรายละเอียดมากสักเท่าไหร่ และคงไม่ได้บันทึกความชอบส่วนตัวของเหล่าบรรพบุรุษลงไปด้วยเช่นกัน ไม่เหมือนกับบันทึกของใครบางคน

อย่างน้อย ๆ หนังสือบันทึกต่าง ๆ ของที่นี่ก็น่าจะปลอดภัย เนื่องจากคงไม่มีใครเอาบันทึกที่น่ากลัวเช่นนั้นมาเก็บไว้ในหอสมุดหลวงแน่

ตามคำร้องขอของโรเอล บรรณารักษ์จึงได้เดินออกไปเรียกค้นบันทึกทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับวินสเตอร์ แอสคาร์ด และโร แอสคาร์ดมา โดยรวมแล้วพวกมันมีมากเกินพอที่จะเติมให้เต็มโต๊ะ ด้วยจำนวนอันน่าประหลาดใจนี้ ไม่มีทางเลยที่โรเอลจะสามารถอ่านพวกมันทั้งหมดได้ในวันเดียว ดังนั้นเขาจึงเปิดอ่านผ่าน ๆ และเลือกเฉพาะบันทึกที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาหาจริง ๆ เท่านั้น

หลังจากทำงานมาครึ่งวัน โรเอลก็ได้ข้อสรุปเช่นเดียวกันกับพอนเต้ ดูเหมือนว่าผู้นำตระกูลทั้งสองรุ่นก่อนของเขาจะมีความคล้ายคลึงกับตัวเอกในมังงะ[1] ที่กระตื้อรือร้นผิดปกติ รักการผจญภัย แม้กระทั่งหลังจากตอนที่ได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลแอสคาร์ด พวกเขายังคงเดินทางไปทั่วทวีปโดยไม่ลังเลที่ก้าวเข้าสู่การผจญภัยเพื่อสำรวจโบราณสถาน

โรเอลมีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในขณะที่เขาเห็นด้วยว่ามันอาจจะเป็นเบาะแสที่จะเปิดเผยความจริงเบื้องหลังคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎ แต่เขาก็ไม่คิดว่าการผจญภัยและการสำรวจโบราณสถานจะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาพลังของเขาในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ

ประการแรก แม้ว่าพวกเขากระโจนเข้าสู่การผจญภัยครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ในบางครั้งพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ภายในคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ด เนื่องจากหน้าที่ของพวกเขา อย่างไรก็ตามในช่วงเวลา ‘หยุดทำงาน’ เหล่านี้ พวกเขาก็แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ อยู่ดี

นอกจากนี้การต้องออกไปผจญภัยเพื่อพัฒนาความสามารถ ไม่ได้ต่างอะไรไปจากคำสาปสำหรับพวกชอบเก็บตัวอย่างโรเอลเลยสักนิด!

โรเอลพอใจกับชีวิตอันสะดวกสบายในปัจจุบันของเขามาก ที่ซึ่งเขาสามารถกินอิ่มและนอนหลับได้อย่างเต็มที่ โรและวินสเตอร์ หายตัวไปในขณะที่พวกเขาออกผจญภัย ดังนั้นอย่างน้อย ๆ สิ่งที่โรเอลควรจะทำก็คือเรียนรู้จากบทเรียนของพวกเขา และอย่าเดินไปเส้นทางเดียวกันกับพวกเขาทั้งสอง!

เด็กชายยังคงเปิดดูบันทึกประวัติศาสตร์ต่อไป แต่แล้วโดยที่ไม่คาดคิด คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด มงกุฎก็เริ่มตอบสนอง

แม้มันเป็นความรู้สึกเพียงเล็กน้อยและคลุมเครือ แต่โรเอลก็สามารถสัมผัสได้ว่าเขากำลังดูดซับพลังเวทจำนวนมากจากสภาพแวดล้อม พลังเวทค่อย ๆ ผลักดันระดับความเข้ากันกับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด ค่อย ๆ เสริมความแข็งแกร่งให้กับพลังของเขา

จังหวะนี้เอง ในที่สุดโรเอลก็ตระหนักได้ว่าทำไมทั้ง โรและวินสเตอร์ ถึงได้หลงใหลในโบราณคดีมาก ปรากฏ​ว่าการเปิดเผยอดีตเป็นหนึ่งในวิธีที่คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎ จะสามารถเติบโตได้นั่นเอง!

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าบันทึกทางประวัติศาสตร์บางประเภทจะไม่ได้เพิ่มพลังของคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎของเขา ก่อนหน้านี้โรเอลได้อ่านบันทึกกองใหญ่ที่พอนเต้ทิ้งเอาไว้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์รูปแบบหนึ่งเช่นกัน แต่มันกลับไม่ได้ทำให้เกิดปฏิกิริยาใด ๆ ขึ้นเลย

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นล่ะ? เพื่อจะได้เหมาะสมกับทุกเพศทุกวัยงั้นเหรอ?

โรเอลสลัดความคิดแปลกประหลาดที่ลอยอยู่ในหัว ก่อนจะเริ่มวิเคราะห์อย่างระมัดระวัง บางทีเขาอาจต้องเปิดเผยข้อมูลทางประวัติศาสตร์บางอย่างเพื่อกระตุ้นคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎ ตามชื่อของมันที่เรียกว่า ‘มงกุฎ’ บางทีเขาอาจต้องเปิดเผยความจริงที่เกี่ยวข้องกับ จักรพรรดิหรือผู้นำ เพื่อให้มันใช้งานได้

ขณะนี้ยังมีความเป็นไปได้อีกมากมายที่โรเอล ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ แต่เขาก็ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตระกูลแอสคาร์ดมีบันทึกอยู่มากมาย ซึ่งก็มีแนวโน้มว่าทั้ง วินสเตอร์และโร เคยได้ใช้บันทึกพวกนั้นมาก่อนด้วยเช่นกัน แต่ที่แย่ก็คือ เขาจะต้องลองผิดลองถูกไปเรื่อย ๆ เพื่อทำให้ขอบเขตในการสันนิษฐานแคบลงไป ไม่ว่าในกรณีใดโรเอลก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบเบาะแสอันน่าเชื่อถือในการพัฒนาความสามารถเหนือธรรมชาติของเขา

โรเอลตัดสินใจดำดิ่งลงไปในการฝึกฝนโดยไม่ลังเล เขาเริ่มอ่านประวัติศาสตร์ว่าอาณาจักรต่าง ๆ ของมนุษยชาติ อพยพไปทางทิศตะวันตกได้อย่างไร หลังจากหายนะเสียงเพรียกแห่งวิญญาณ ขณะที่เด็กชายอ่านบันทึกประวัติศาสตร์ไปเรื่อย ๆ เขาเริ่มรู้สึกสนุกที่ได้เรียนรู้รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งเคยเกิดขึ้นในอดีต

ในโลกของเขา โรเอลเคยเป็นนักศึกษาสาขาศิลปกรรมมาก่อน โดยเขาเชี่ยวชาญเรื่องภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์เป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นประวัติศาสตร์ในโลกนี้นั้น มีความน่าสนใจมากกว่าประวัติศาสตร์ในอดีตชาติของโรเอลมาก เนื่องจากมันเต็มไปด้วยเรื่องราวเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ และเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ เอาไว้ด้วยกัน ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังอ่านนวนิยายอยู่

คนส่วนใหญ่รู้กันดีว่า หายนะเสียงเพรียกแห่งวิญญาณที่เกิดขึ้นในปีสุดท้ายของยุคที่สอง เป็นตัวกระตุ้นให้พวกเขาต้องอพยพมาทางทิศตะวันตก เพื่อค้นหาดินแดนแห่งสันติภาพ แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือดินแดนนี้ช่างห่างไกลจากคำว่าสงบสุข เพราะนอกจากสภาพแวดล้อมจะดิบเถื่อนแล้ว ดินแดนแห่งนี้ยังเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าดุร้ายอีกด้วย

ตามตำนานของทวีปเซีย เทพีผู้สร้างเซียเป็นมารดาของสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาทั้งหมด การจำแนกประเภทของ ‘สิ่งมีชีวิตทรงปัญญา’ ในที่นี้ไม่ได้รวมสัตว์ธรรมชาติที่เชื่อฟังสัญชาตญาณดั้งเดิมของพวกมันเอาไว้ด้วย มิฉะนั้นมนุษยชาติทั้งหมดอาจจะต้องกลายเป็นสัตว์กินพืช เพื่อเอาชีวิตรอด

แน่นอน คำว่า’ทรงปัญญา’ เป็นเรื่องเฉพาะเผ่าพันธุ์ สัตว์ส่วนใหญ่ในป่าใช้สัญชาตญาณดั้งเดิมในการชิงไหวพริบกับเหยื่อ นอกจากนี้พวกมันบางตัวยังสามารถเข้าใจกลวิธีการต่อสู้พื้นฐานบางอย่างได้ ความแตกต่างของพวกมันขึ้นอยู่กับความสามารถในการพิชิตสัญชาตญาณดั้งเดิม ว่าพวกมันจะสามารถเอาชนะข้อจำกัดตามธรรมชาติของตัวเองได้มีมากแค่ไหน

ดังที่กล่าวไว้ มันไม่ใช่เรื่องฉลาดเท่าไหร่ที่จะดูถูกสัตว์อสูรกลายพันธุ์เพียงเพราะว่าพวกเขามันอยู่ในเกณฑ์ ‘ไม่ฉลาด’ ตัวอย่างเช่น กวางบลัดฮอร์น ที่คาร์เตอร์ล่ากลับมายังตระกูลแอสคาร์ดจากเทศกาลล่าสัตว์ฤดูหนาว หากไม่ใช่เพราะคาร์เตอร์ปราบมันลง มันอาจจะออกไปสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างก็ได้

มีวิธีที่สะดวกกว่ามากในการจำแนก ‘สิ่งมีชีวิตทรงปัญญา’ ออกจากสัตว์ร้ายตามธรรมชาติ นั่นก็คือความสามารถในการรับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดนั่นเอง ในขณะที่สัตว์อสูรมีพลังอย่างน่าประหลาดใจ แต่พวกมันก็ไม่มีคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด และแน่นอนว่าบนโลกนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดที่มีลักษณะตรงข้ามกับสัตว์อสูรอยู่ เช่นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเทพีเซีย ซึ่งพวกมันจะมีคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด

ต่างจากสัตว์ป่าตามธรรมชาติ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้มักถูกมองเปรียบเสมือนนักปราชญ์ในตำนาน พวกมันมีบทบาทสนับสนุนในสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ บางตัวก็สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งระดับและพาเผ่าพันธุ์ของตนเองไปสู่ดินแดนแห่งใหม่และพัฒนาอารยธรรม ยิ่งพวกเขาเลือกที่จะรับตำแหน่งผู้นำประเภทที่ปรึกษามากขึ้นเท่าไหร่ ความสามารถในการต่อสู้ของพวกมันก็มักจะอ่อนแอลงเท่านั้น แต่ก็คงจะถือเป็นเรื่องโง่เขลาที่จะมองว่าพวกมันอ่อนแอ

แม้ว่าจะไม่มีบันทึกโดยละเอียด แต่ก็มีตำนานว่าจักรวรรดิออสทีนโบราณในยุคที่สองมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ คล้ายกับที่ยักษ์และทูตสวรรค์โบราณที่ได้หายตัวไปในช่วงเวลาของประวัติศาสตร์อย่างถาวร ทว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลับหายตัวไปจากพื้นโลกเพียงชั่วเวลาเป็นครั้งคราวเท่านั้น

เมื่อผู้บุกเบิกนำการอพยพไปทางทิศตะวันตกเป็นครั้งแรก พวกเขาพบสัตว์อสูรที่น่ากลัวยิ่งกว่ากวางบลัดฮอร์นมาก โชคดีที่สัตว์เหล่านี้บางตัวฉลาดพอที่จะทำให้เชื่องได้ และพวกมันก็ชื่นชอบการมาถึงของมนุษย์อย่างน่าประหลาดเช่นกัน ดูเหมือนว่าพวกมันจะเบื่อเพื่อน ๆ ที่ไม่ฉลาดของตัวเอง การอยู่กับมนุษย์จึงมีความสุขมากกว่า พวกมันจึงยอมเชื่องให้กับมนุษย์

อย่างไรก็ตาม สัตว์ร้ายตัวอื่น ๆ ที่ไม่สามารถทำให้เชื่องหรือสื่อสารด้วยได้ ก็กลายมาเป็นฝันร้ายของมนุษยชาติ

ตามบันทึก อาณาจักรของมนุษยชาติที่เพิ่งตั้งรกรากเป็นครั้งแรกในสมัยนั้นยังอ่อนแอมาก พวกเขาไม่สามารถจัดการกับสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่าและครอบครองดินแดนอันอุดมสมบูรณ์อยู่ได้ ภารกิจปราบปรามพวกมันมักจะต้องการให้ทั้งอาณาจักรระดมทรัพยากรทุกอย่างเพื่อโค่นศัตรู แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าพวกเขาจะได้รับชัยชนะ มีบางอาณาจักรที่พ่ายแพ้และจบลงด้วยการถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิงเช่นกัน

นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ห้าตระกูลขุนนางผู้มีชื่อเสียงเลือกที่จะต่อสู้เคียงข้างกับตระกูลเซไซต์อย่างเหนียวแน่นที่สุดเพื่อสร้างจักรวรรดิเซนต์เมซิทในปัจจุบันขึ้นมา และกลายเป็นที่เคารพนับถืออย่างสูงจากผู้คน รากฐานที่มั่นคงนี้ทำให้ตระกูลของพวกเขาเจริญรุ่งเรืองในจักรวรรดิเซนต์เมซิทมาหลายชั่วอายุคนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

มนุษย์ก้าวหน้าไปทีละขั้นตลอดระยะเวลา 200 ปี กำจัดสัตว์อสูรที่มีอำนาจเหนือกว่า นำความสงบสุขและความมั่นคงมาสู่ภูมิภาค แต่ก็ยังมีมนุษย์และอาณาจักรจำนวนมากที่ตกเป็นเหยื่อของสัตว์อสูรในช่วงเวลานั้นเช่นกัน ไม่มีทางที่จะนับจำนวนผู้เสียชีวิตที่แท้จริงได้ ซึ่งนักประวัติศาสตร์เรียกคนเหล่านี้ว่านักรบแห่งยุคบุกเบิก

โรเอลพบว่าตัวเองมีความคิดมากมายในใจหลังจากอ่านมาถึงจุดนี้

การพัฒนาอารยธรรมมนุษย์มักจะเกิดจากการทำสงครามกับธรรมชาติอยู่เสมอ มนุษย์พยายามเอาชนะความโหดร้ายของธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นความหวังว่าฤดูร้อนจะเย็นลงหรือฤดูหนาวจะอบอุ่นขึ้น นั่นคือแรงจูงใจพื้นฐานที่สุดที่อยู่เบื้องหลังสาเหตุที่มนุษย์หลายชั่วอายุคนอุทิศชีวิตเพื่อปรับสภาพแวดล้อมของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการหว่านเมล็ดพืชในดินแดนอันแห้งแล้ง หรือการประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อพิชิตท้องฟ้า จิตวิญญาณของพวกเขานั้นแน่วแน่ ทำให้พวกเขาสามารถเอาชนะข้อจำกัดตามธรรมชาติต่าง ๆ ได้

“ตอนนี้พอมาคิด ๆ ดูแล้ว พัฒนาการของเขตการปกครองแอสคาร์ดของเรานี่ต่ำอย่างเหลือเชื่อเลย”

จู่ ๆ โรเอลก็นึกถึงรายงานที่เขาอ่านที่คฤหาสน์ ตระกูลแอสคาร์ดได้รับอาณาเขตขนาดใหญ่มาตั้งแต่ในสมัยที่มีการก่อตั้งจักรวรรดิเซนต์เมซิท ทำให้เกือบจะเป็นผู้นำโดยพฤตินัยของห้าตระกูลขุนนางชั้นสูง ทว่าในช่วงสองสามศตวรรษที่ผ่านมา ตระกูลแอสคาร์ดไม่เคยขึ้นไปถึงจุดสูงสุดมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว เหตุผลนั้นง่ายมาก นั่นก็คือพื้นที่ส่วนใหญ่ของเขตการปกครองแอสคาร์ดยังไม่ได้รับการพัฒนานั่นเอง

ตระกูลเอลริกสามารถขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่เมื่อ 200 ปีที่แล้วได้อย่างไรงั้นเหรอ?

นั่นเป็นเพราะอาณาเขตของตระกูลเอลริกส่วนใหญ่เป็นที่ราบจึงเหมาะมากสำหรับการเกษตร แม้ว่าอาณาเขตของพวกเขาจะมีน้อยกว่าตระกูลแอสคาร์ด แต่มันก็ง่ายต่อการพัฒนา หากจะให้เปรียบเทียบแล้ว ตระกูลเบลฟาสต์ตั้งอยู่ติดกับทะเลเหนือ ตระกูลลูซีนมีป่าขนาดใหญ่ และตระกูลไวส์มีภูเขามากมาย

อย่างไรก็ตาม ไม่มีเขตการปกครองใดจะยุ่งยากได้เท่ากับเขตการปกครองของตระกูลแอสคาร์ด ซึ่งประกอบด้วยภูมิประเทศที่เป็นภูเขาที่เต็มไปด้วยป่าไม้อันกว้างใหญ่อีกที มันเป็นฝันร้ายอย่างแท้จริงสำหรับการพัฒนา

แม้ว่าตระกูลเซไซต์จะมีเจตนาที่ดีในตอนที่พวกเขามอบที่ดินผืนนี้ให้กับตระกูลแอสคาร์ด แต่สภาพของที่ดินนั้นก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตามบริเวณ​ที่กว้างใหญ่ของมันหมายความว่ามันมีศักยภาพสูง ตราบใดที่ตระกูลแอสคาร์ดพัฒนามันอย่างขยันขันแข็ง พวกเขาก็จะสามารถกอบโกยผลประโยชน์จากมันจนเจริญรุ่งเรืองได้

ทว่าตามความเป็นจริงในปัจจุบัน พวกเขาประเมินตระกูลแอสคาร์ดสูงเกินไป

ในแต่ละรุ่นที่ผ่าน ๆ มาของตระกูลแอสคาร์ด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะลงทุนน้อยลงไปเรื่อย ๆ ในการพัฒนาเขตการปกครองของพวกเขา โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาโยนงานทั้งหมดให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาและปล่อยให้เขตการปกครองทำงานด้วยตัวเองในช่วงพันปีที่ผ่านมา กิจกรรมทางเศรษฐกิจของเขตการปกครองแอสคาร์ด ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่บริเวณที่ราบของพวกเขาเท่านั้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียง 30% ของพื้นที่ทั้งหมด ส่วนอีก 70% แทบไม่มีอะไรเลย

อีก 70% นั้นเป็นภูมิประเทศที่เป็นภูเขาและป่าไม้ มีสัตว์อสูรจำนวนมากซุ่มซ่อนอยู่ในพื้นที่เหล่านั้น มันจึงไม่ง่ายเลยที่จะกำจัดพวกมันออกเพื่อการพัฒนาพื้นที่ แต่ถ้าทำได้ล่ะก็…

โรเอลมองดูเลขศูนย์จำนวนมากในยอดเงินคงเหลือของระบบ และทันใดนั้นเขาก็รู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อยกับหนี้จำนวนมหาศาลที่เขามีอยู่ ถ้าเขาประสงค์จะจ่ายหนี้ให้เรียบร้อยก่อนถึงเส้นตาย เขาคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องบุกเบิกเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจของเขตการปกครองแอสคาร์ดขึ้น

เด็กชายได้พูดคุยกับมาร์ควิสคาร์เตอร์เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อสองสามวันก่อน และบิดาของเขาก็ไม่มีปัญหาอะไรที่จะทิ้งเรื่องทั้งหมดให้เขาจัดการ ตราบใดที่ไม่มีอะไรร้าย ๆ เกิดขึ้น คาร์เตอร์ก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำ

“มันไม่ได้มีแค่เรื่องของนอร่าและคนอื่น ๆ เท่านั้น การล่มสลายของตระกูลแอสคาร์ดเองก็เป็นเดธแฟล็กได้เช่นกัน ตระกูลเอลริกกำลังจับตาดูเราอยู่ พวกเราไม่สามารถแสดงสัญญาณของความอ่อนแอให้พวกเขาเห็นได้ ฝั่งตรงข้ามของเทือกเขาในเขตการปกครองแอสคาร์ดคือที่ตั้งของสมาคมพ่อค้าโรซ่า ถ้าเราสามารถปูทางและพัฒนาการค้าในพื้นที่ได้ล่ะก็…”

โรเอลพึมพำกับตัวเองด้วยแววตาอันเฉียบแหลม

[1] มังงะ Manga เป็นคำที่ใช้เรียกหนังสือการ์ตูนเฉพาะในรูปแบบของประเทศญี่ปุ่น