ตอนที่ 189 เครื่องประดับที่เต็มไปด้วยรังสี

อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด

ตอนที่ 189 เครื่องประดับที่เต็มไปด้วยรังสี

เธอโมโหก่อนจะเดินออกไปข้างถนนเพื่อเรียกแท็กซี่กลับบ้าน

อันโหรวและจิ่งเป่ยเฉินตอนนี้ได้กลับมาที่บริษัทเพื่อที่จะทำงานต่อ ก่อนที่จะทำงานในโลกอินเทอร์เน็ตก็ได้มีการเปิดเผยว่าเครื่องประดับของสกุลฮั่วเต็มไปด้วยรังสี ก่อนจะเริ่มตรวจสอบเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์พวกนั้นจนพบอีกหลายรายการ สุดท้ายเลยทำให้ราคาหุ้นของสกุลฮั่วตกต่ำมาสักระยะหนึ่งแล้ว

ส่งผลให้ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทจิ่งได้เตรียมพร้อมสำหรับการซื้อกิจการของสกุลฮั่ว พร้อมกับแผนพัฒนาต่าง ๆ ในอนาคตต่างก็ถูกบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมในทันที

ขณะที่ชงชาให้กับจิ่งเป่ยเฉินอยู่นั้น เธอก็ได้เอ่ยคำถามขึ้นมา “โอวหยางลี่เขาจะไม่ลงมือกับสกุลฮั่วใช่ไหม?”

ตอนนี้กลุ่มโอวหยางกรุ๊ปเป็นผู้นำด้านเครื่องประดับหยกของเมือง A ราคาหุ้นของสกุลฮั่วตกต่ำลงก็ย่อมมีนักลงทุนบางส่วนที่ขายหุ้นพวกนั้นทิ้งไป โอวหยางลี่เป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน เขาย่อมไม่ปล่อยโอกาสพวกนี้หลุดมือไปแน่

จิ่งเป่ยเฉินยกถ้วยชาที่อยู่ตรงหน้าขึ้นและเงยหน้ามองเธอ “ไม่หรอก กลุ่มโอวหยางกรุ๊ปมีความน่าเชื่อถือที่ดี เขาไม่มีทางยอมเข้าซื้อกิจการสกุลฮั่วหรอก มันไม่คุ้มต่อรายได้ที่เขาจะได้รับ อีกทั้งยังเป็นการทำลายชื่อเสียงของกลุ่มโอวหยางเองด้วย อีกอย่างสกุลฮั่วเองก็มีความสำคัญเพียงเล็กน้อยสำหรับบริษัทของเขา ตอนนี้เขามีบริษัทที่คล้ายกับสกุลฮั่วอยู่ แต่บริษัทจิ่งไม่มี”

“เข้าใจแล้ว งั้นฉันขอตัวก่อนนะ!” เธอเตรียมจะเดินออกไป แต่ในขณะที่เธอกำลังจะหันหลังกลับก็เห็นจิ่งเป่ยเฉินวางถ้วยชาลง

เธอเอียงศีรษะเล็กน้อย ทั้งสองคนสบตากัน เธอกลอกตามองไปทางอื่น ก่อนจะดันแว่นตากรอบทองขึ้นและพูดว่า “ประธานจิ่งมีอะไรเหรอคะ?”

จิ่งเป่ยเฉินเอนหลังและเอานิ้วกวักเรียกเธอมา “เหนื่อยแล้ว ต้องการพลังงาน ช่วยจูบฉันทีสิ”

อันโหรวที่ยืนมองดูใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาอยู่ใช้นิ้วชี้ไปยังถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะ ก่อนจะพูดว่า “ดื่มชาย่อมได้พลังงานมากกว่า”

เขาหรี่ตาและพูดเบา ๆ ว่า “ฉันจะของีบหน่อยนะ”

“ได้ แค่จูบนะ” เธอหันหลังกลับและเดินเข้าไปหาเขา เธอไม่คิดอยากจะใช้เวลาทั้งวันอยู่กับเขาบนเตียงหรอกนะ

จิ่งเป่ยเฉินยิ้มและมองดูเธอเข้ามา อันที่จริงแล้วเขาไม่คิดจะงีบหลับหรอก

อันโหรวมองไปยังใบหน้าที่ยิ้มจาง ๆ ของเขา เสียงรองเท้าส้นสูงที่ดังขึ้นภายในห้องเงียบ ๆ เธอที่กำลังเดินเข้าไปใกล้เขา พลันก็ถูกเขาดึงเข้ามาใกล้

“เดี๋ยวก่อน”

จิ่งเป่ยเฉินเงยหน้ามองเธอ “เดี๋ยวอะไร?”

เธอชี้ไปยังถ้วยชา ก่อนจะมองเขาด้วยรอยยิ้ม “ถ้านายไม่คิดถึงเรื่องนี้ อันที่จริงดื่มชาก็ช่วยให้สดชื่นขึ้นจริง ๆ นะ”

ทันทีที่เธอพูดจบ จิ่งเป่ยเฉินก็ใช้การกระทำจริง ๆ บอกกับเธอว่าเขาไม่จำเป็นต้องคิดอะไร

ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาขยับเข้ามาใกล้ใบหน้าของเธอมากขึ้น มือใหญ่จับท้ายทอยของเธอไว้

“ประธานจิ่ง……” ฉีเซิงเทียนยืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง เขามองดูทั้งสองคน ทันทีที่เห็นก็รีบถอยหลังอย่างรวดเร็ว “พวกคุณทำต่อกันเลย ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น!”

ปัง! เสียงปิดประตูห้องดังขึ้น อันโหรวรีบผลักเขาออกทันที เพียงแต่ขณะที่กำลังจะดันตัวเขาออกก็ถูกเขาจับไว้แน่น

เธอจ้องมองไปที่เขา ก่อนจะไม่พูดอะไร แต่ความหมายนั้นก็ชัดเจนมากพอแล้วว่าเธอคิดอยากจะออกไป

“เขาบอกให้ทำต่อเลย” น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นมาฟังดูไม่แยแสอะไรทั้งสิ้น

“ไม่ได้!” เธอใช้มือข้างหนึ่งดันอกของเขาไว้ “ฉันมีงานต้องทำอีกเยอะ!”

“ไม่ต้องรีบหรอก ฉัน…..” ก่อนที่เขาจะพูดต่อนั้น ประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง

ตอนนี้อันโหรวรู้สึกอายมากจริง ๆ หลังจากที่ได้เห็นหน้าของฉีเซิงเทียนอีกรอบ

การที่ถูกรบกวนแบบนั้น จิ่งเป่ยเฉินเริ่มมีสีหน้าที่หงุดหงิด ยิ่งเมื่อเห็นฉีเซิงเทียนอีกครั้ง สายตาที่เขามองไปยังฉีเซิงเทียนมันตีความนัย ๆ ได้ว่าสมควรตายนัก!

“ประธานจิ่ง ฉันเข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะบอกว่าป้าจิ่งมาที่นี่ ตอนนี้อยู่ที่ลิฟต์แล้วด้วย!” ฉีเซิงเทียนพูดออกไปโดยไม่ต้องรอให้ทั้งสองคนตอบกลับ เขาก็รีบออกจากห้องไปทันที

ทันทีที่ฉีเซิงเทียนออกไป อันโหรวก็รีบดันตัวเขาออก ก่อนจะไม่เหลือบสายตาไปมองที่เขาอีก เธอเปิดประตูและออกนอกห้องไปโดยไม่รอให้จิ่งเป่ยเฉินพูดอะไร ทันทีที่เปิดประตูออกมาก็เห็นซูรั่วหยากำลังจะเคาะประตูห้อง

เธอเบี่ยงตัวไปด้านข้างทันที ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “คุณนายจิ่ง ประธานจิ่งกำลังรอคุณอยู่ข้างในค่ะ”

ซูรั่วหยามองไปที่เธออยู่สองสามรอบ เมื่อครู่ที่ได้ยินเสียงแหบแห้งของเธอก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและเอ่ยปากถาม “วันนั้นเป็นเธอหรือเปล่า เลขาคนใหม่ที่รับโทรศัพท์ของฉัน?”

“ใช่ค่ะ” เธอตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา ดูใสซื่อบริสุทธิ์

“งั้นเธอก็ต้องสุดยอดมากแน่ ๆ!” ไม่งั้นแล้วจะมีผู้หญิงคนไหนที่หน้าด้านหน้าทนอยู่ได้แบบนี้!

เมื่อมองดูซูรั่วหยาเดินเข้าไปข้างใน เธอก็แอบสงสัยอยู่เล็กน้อยว่าเมื่อครู่นี้เป็นคำชมหรือเปล่า

ซูรั่วหยาปกติแล้วน้อยครั้งนักที่จะมาบริษัทด้วยตัวเอง ในขณะนั้นจิ่งเป่ยเฉินกำลังนั่งตัวตรง ไม่เหมือนกับเมื่อครู่ ทำตัวเหมือนเพิ่งคุยเรื่องงานเสร็จ

“เฉินเอ๋อร์ เลขาคนเก่าของลูกไปไหนแล้ว?” แน่นอนว่าเธอรู้ดีว่าลูกชายของเธอใช้คนเป็น ถ้าหากคิดอยากจะหาคนที่ดูแล้วสบายตาก็ย่อมสามารถหาได้

“ถ้าแม่คิดอยากจะพูดคุยกับเธอละก็ อยู่ข้างล่างนั่นแหละ ไปสิ!” เขาเกือบจะเอ่ยออกมาแล้วว่าแม่มาทำอะไรที่นี่

“แน่นอน แม่ไม่ได้หาเธอหรอกนะ แม่มาหาลูกต่างหาก” ซูรั่วหยากวาดสายตาไปบนโต๊ะของเขา ก่อนจะไม่พบอะไรผิดปกติ

“คุณนายตระกูลถังโทรมาหาฉัน บอกมาว่าซือเถียนอยากจะเป็นเลขาให้ลูก” เธอคิดถึงช่วงเวลาที่รับโทรศัพท์ก็ลังเลที่จะเอ่ยประโยคพวกนี้ออกมาให้ลูกชายฟัง

จิ่งเป่ยเฉินเผยท่าทีเย็นชามากขึ้นและพูดว่า “แล้วแม่เห็นด้วย?”

“แม่จะเห็นด้วยได้ยังไง ไม่ใช่ว่าแม่ไม่รู้จักลูกนะ แม่บอกไปว่าไม่ได้สนใจเรื่องงานบริษัท อีกอย่างแม่ไม่ได้มาที่นี่เพราะเรื่องนี้ด้วย” เธอยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเขา ก่อนจะมองลงไปที่เขา ถ้วยน้ำชาบนโต๊ะถูกยื่นไปให้เขา “ฉันรู้ว่าแกไม่ชอบนัดบอด เพราะคุณภาพพวกนั้นล้วนต่ำจนเกินไป แต่เมื่อคืนฉันช่วยจัดแจงให้แล้วกว่าสิบสองคน เป็นคนที่ดีเลิศทั้งนั้น ลูกช่วยเลือกสักคนจะได้ไหม?”

เขายิ้มอย่างเฉยเมยและเอ่ยถามไปว่า “ทำไมไม่เป็นสิบสองนักษัตรไปเลย”

“สิบสองนักษัตรอะไรกัน? ถ้าหากลูกชอบละก็ แม่จะได้ยอมรับเรื่องพวกนี้ เด็ก ๆ พวกนี้อายุก็สิบแปดปีแล้ว ก็โอเคนะ!” ดวงตาของซูรั่วหยาพลันเป็นประกายขึ้นมาทันที “เฉินเอ๋อร์ ถ้าหากว่าคืนนี้เด็กทั้งสิบสองคนนั้นลูกไม่ชอบ พรุ่งนี้แม่จะจัดแจงพวกสิบสองนักษัตรให้เลยเป็นยังไง!”

จิ่งเป่ยเฉินหยุดมือที่กำลังจะยกถ้วยชาทันที ใบหน้าอันเฉยเมยของเขาในตอนนี้คุมไม่ไหวแล้ว

เขาแค่เอ่ยปากพูดเล่นไปแบบนั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจริงจังถึงขนาดจะจัดแจงให้จริง ๆ

ซูรั่วหยาเบิกตากว้างมองไปที่เขาด้วยท่าทีที่คาดหวัง ไม่รู้คำพูดนั้นเขาจะตอบรับไหม

ทันใดนั้นมือของเขาก็หยุดลง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ด้านข้างและกดโทรออก เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่ค่อนข้างเย็นชา เพื่อให้แม่มองดูตน “เข้ามานี่ที!”

ซูรั่วหยามองท่าทางของเขาแล้วก็เกิดความสงสัย ก่อนจะยิ้มและเอ่ยถามออกมาว่า “ลูกจะทำอะไร สรุปจะไปหรือไม่ไป?”

“วันนี้งานผมยุ่งมากเลย” เขาเอ่ยประโยคนี้ทิ้งท้ายไว้ ก่อนจะดื่มชาเพื่อเรียกสติตัวเองกลับมาอีกครั้ง

อันโหรวเคาะประตูห้องทำงานและเดินเข้าไปอย่างไม่อ่อนน้อมถ่อมตน เธอสงสัยว่าเวลานี้จะเรียกเธอเข้ามาทำไมกัน หรือว่ามีเรื่องอะไรจะพูด หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?

เมื่อเห็นท่าทางของซูรั่วหยาแล้วดูเหมือนจะพอเดาอะไรบางอย่างได้ ในใจเธอสงบนิ่ง และยืนอยู่ที่ด้านหลังซูรั่วหยาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยคำพูดขึ้น “ค่ะ ประธานจิ่ง!”

“คืนนี้…….”

เขายังไม่ทันพูดจบก็ถูกซูรั่วหยาที่อยู่ด้านข้างแย่งพูดก่อนว่า “คุณเลขา คืนนี้ช่วยจัดแจงงานต่าง ๆ ไปไว้พรุ่งนี้ทีสิ พอดีฉันจะให้บอสของพวกเธอไปนัดบอด!”