บทที่ 122 พบเจอสิ่งมีชีวิต

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 122 พบเจอสิ่งมีชีวิต

หลังจากผ่านไปสิบนาที ในที่สุดเฉินเฉียงก็ขึ้นมาบนผิวน้ำทะเลได้สำเร็จ

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางสัมผัสกลิ่นของทะเลที่พุ่งเข้ามาได้อย่างเต็มปอด

อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่เขาโผล่พ้นผิวน้ำแล้วนั้น เขาก็ถึงกับต้องตกตะลึง

-ที่ไหนฟะ-

รอบตัวเขาในตอนนี้คือน้ำทะเลสุดลูกหูลูกตา

และในตอนที่เขากำลังจะร่วงหล่นลงไปในทะเลอีกครั้ง เพียงคิดออกมา ปีกคู่ก็ได้ปรากฏจากหลังของเฉินเฉียง และยกตัวเขาขึ้นอีกครั้ง

เทียบกับปีระดับสองของเจิ้งตี้ ปีกของเขานี้อยู่ในระดับสี่ย่อมเร็วกว่าอย่างแน่นอน

และสิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นที่สุด นั่นก็คือ ปีกคู่นี้ไม่ได้ทำให้เขาต้องใช้พลังงานใดๆทั้งสิ้น

และนี่ทำให้เขานั้นรู้ว่าเจิ้งตี้ในตอนนั้นมั่นใจในพลังไฟฟ้าชีวภาพนี้ ต่อให้เจิ้งตี้ต้องบินติดต่อกันเป็นปีก็ไม่ใช่ปัญหา

ในทำนองเดียวกัน ปีกคู่สีเงินของเขาคู่นี้ ตราบใดที่เขานั้นยังมีพลังสายเลือดที่ไหลเวียน เขาก็ยังสามารถรักษาการบินนี้เอาไว้ได้

ปีกคู่นี้ทรงพลังเหนือกว่าก้าวย่างสวรรค์ของเขาซะอีก

แต่ที่เขาเสียดายที่สุดคงหนีไม่พ้นการที่เขาใช้มันได้เฉพาะในเขตพื้นที่ทะเลนี้เท่านั้น หากเขากลับขึ้นฝั่งไปแล้วถูกพบเห็นโดยเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาคงจะถูกหาว่าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์และโดนสับเป็นชิ้นๆ

ตัวเขาเองนั้นโดนตัวนิ่มเกราะเหล็กไล่มาถึงห้าคืนสี่วันในรวดเดียว ตอนนี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเขานั้นอยู่ห่างจากแผ่นดินไปเท่าไหร่แล้ว

แต่หากนับดูจากความเร็วที่เขาใช้มานั้น เขาสมควรจะอยู่ห่างฝั่งอย่างน้อยๆเขาควรจะดำดินได้ประมาณสักวันละสี่พันไมล์ หรืออีกอย่างก็คือ เขาสมควรจะอยู่ห่างจากแนวชายฝั่งประมาณสักสองหมื่นไมล์

แต่ประเด็นสำคัญที่สุดของเขาในตอนนี้ก็คือ เขาไม่รู้ทิศทาง

ในเมื่อตอนนี้เขาทำอะไรได้ไม่มาก เขาจึงเลือกที่จะลองบินไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งตรงๆ

หลังจากผ่านไปสิบวัน เฉินเฉียงยังพบแต่ทะเลไร้ขอบเขตนี้ก็ได้ถอดถอนลมหายใจ เขาเริ่มเปลี่ยนทิศทางอีกครั้งด้วยความรู้สึกอนาถจิต

หลังจากผ่านไปเกือบห้าเดือน ในที่สุด เฉินเฉียงก็เริ่มยอมแพ้ที่จะบินต่อไปแล้ว

“เอาก็เอาวะ”

เฉินเฉียงได้เก็บปีกของตน ก่อนที่จะปล่อยร่างกายให้ดำดิ่งลงไปในทะเล ด้วยการที่เขานั้นบินอย่างต่อเนื่องมาเกือบครึ่งปี ทำให้เขานั้นเหนื่อยอ่อนทั้งกายและใจ

ที่ก้นทะเล หลังจากมองหาอยู่นาน ในที่สุด เฉินเฉียงก็ได้ตามเต่าทะเลแก่ๆตัวหนึ่งไป เขาก็ได้พบถ้ำยักษ์ที่ก้นทะเล เขานั่งลงที่นั่นและปิดเปลือกตาลง

หากดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เขานั้นไม่รู้ว่าตนเองจะกลับไปที่ราบภาคกลางได้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการกลับไปทันการประลองด้วยซ้ำ

แต่ถึงจะดูเลื่อนลอยไปหน่อย แต่ยังไงซะเขาก็ต้องยกระดับการบ่มเพาะอยู่ดี

ยังไงซะ เขาเองก็ยังมีแก่นคริสตัลระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางอยู่อีกหลายก้อน น่าจะเพียงพอให้เขาบ่มเพาะได้อีกสองปี

เขาได้นำแก่นคริสตัลออกมาจากแหวนมิติในมือซ้าย ก่อนที่จะเริ่มใช้เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ หลอมเลือดทำลายล้างในทันที คลื่นพลังงานสายเลือดจากแก่นคริสตัลได้ไหลบ่าเขาสู่จุดชีพจรของเขา หลังจากผ่านการแปรเปลี่ยนพลังงานโดยเคล็ดวิชาหลอมเลือดทำลายล้างแล้วทำให้เขานั้นได้รับพลังงานจากแก่นคริสตัลเหล่านี้ได้ในชั่วพริบตา หลังจากเต็มแล้วก็ไล่ไปยังจุดถัดไป

ก่อนหน้านี้เขาได้เปิดจุดหยวนกงและฮัวไกซึ่งเป็นจุดลับสองจุด พลังงานสายเลือดที่ร่างกายของเขาเก็บไว้ได้ก็ได้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึงสองเท่า และนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสามารถดำดินมาได้ถึงห้าวันในคราวเดียว

หลังจากผ่านไปสี่ชั่วโมง เฉินเฉียงได้นำแก่นคริสตัลออกมาอีกก้อน ก่อนที่จะเริ่มทะลวงจุดลับที่อยู่บริเวณปอดของเขา

ด้วยการที่เขานั้นไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมพิเศษอย่างห้องบ่มเพาะของสำนัก หลังจากเสียเวลาไปสามเดือนเต็ม ในที่สุดเขาก็เปิดจุดลับที่ปอดของเขาได้สำเร็จ

“ไอ๊หย่า……ถ้าข้ายังอยู่ที่สำนักล่ะก็ ป่านนี้ควรจะเปิดจุดได้แล้วอย่างน้อยๆก็จุดที่ห้าแล้วนะเนี่ย”

หลังจากทะลวงจุดที่สามไปแล้ว เฉินเฉียงได้ดูดซับแก่นคริสตัลไปอีกยี่สิบก้อน ในที่สุดก็เติมเต็มจะจุดชีพจรลับที่สามนี้ได้จนเต็ม

ในเรื่องการเติมเต็มจุดชีพจรนี้ เฉินเฉียงจดจำในสิ่งที่อาจารย์ของเขา ฮู่ต้าไฮ่พูดเอาไว้ได้เป็นอย่างดีว่าก่อนที่จะเปิดจุดลับจุดถัดไปในทุกๆครั้ง เขาสมควรที่จะต้องเติมเต็มจุดชีพจรลับที่เปิดด้วยพลังงานสายเลือดให้เต็มซะก่อนที่จะทะลวงจุดต่อไป สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะเปิดจุดลับจุดถัดไปได้ในอนาคต

“นี่ก็เกือบสี่เดือนแล้ว คงต้องออกไปดูสักหน่อยแหะ”

หลังจากออกมาที่ผิวทะเลแล้ว เฉินเฉียงเองก็ทำได้เพียงส่ายหัวไปมาอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ว่ายังไงก็ตามเขาก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต แต่ในตอนนี้เขาจะทำอะไรได้กัน

เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินเฉียงก็ได้นำเตกิลาออกมา ก่อนที่จะเลือกทิศทาง และบินไปอย่างช้าๆ

เขาจำได้ว่าเขานั้นมีสัญญาที่ต้องเข้าร่วมการประลองสี่สำนัก แต่ดูเหมือนว่าเขาคงต้องผิดสัญญาซะแล้ว

ระหว่างที่เขากำลังถอดถอนหัวใจอยู่นี้ ระหว่างนี้เองเขาก็ได้ปลดปล่อยพลังจิตตรวจสอบพื้นที่ไปด้วย และเป็นตอนนี้เขาได้รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่บินมาจากด้านหลัง

เมื่อหันกลับไปดู เขาก็เห็นเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ ชายคนนี้มีระดับนักรบเหนือมนุษย์ขั้นกลาง

เฉินเฉียงได้จับดาบดั้นเมฆของตนในทันที แต่ก็กลับเห็นว่ามนุษย์กลายพันธุ์คนนี้กลับทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม

“นายท่าน ท่านเองก็จะกลับไปยังเกาะเทียนลี่เช่นนั้นหรือ”

-เกาะเทียนลี่…เหรอ-

เฉินเฉียงรีบปล่อยมือจากด้ามดาบดั้นเมฆในทันที เขาลืมไปว่ารูปลักษณ์ของเขาในตอนนี้เหมือนกับมนุษย์กลายพันธุ์เสียมากกว่า จะเห็นได้จากการที่ชายคนนี้ให้ความเคารพเขาแล้ว ดีไม่ได้เขาอาจจะหาทางกลับไปที่ราบภาคกลางผ่านมนุษย์กลายพันธุ์คนนี้ก็ได้

“อื้ม ว่าแต่ เจ้าเป็นใครกัน แล้วทำไมเจ้าอยู่ที่นี่”

หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้ส่งเตกิลาในมือให้

แต่เขากลับนึกไม่ถึงว่านักรบเหนือมนุษย์ผู้นี้จะยกมือปฏิเสธก่อนที่จะพูดออกมา “นายท่าน ข้าเป็นเพียงนักรบซากศพเท่านั้น สิ่งนี้ไม่ได้มีผลอันใดกับข้า เป็นไปได้ว่านายท่านสมควรจะได้ฝังแผ่นชีวิตไปใช่หรือไม่”

“หื้ม” เฉินเฉียงนิ่งอึ้งไป เขาไม่เข้าใจว่ามนุษย์กลายพันธุ์ผู้นี้กล่าวถึงสิ่งใด อย่างไรก็ตาม เมื่อมนุษย์กลายพันธุ์เห็นสีหน้าสงสัยของเฉินเฉียง กับนึกไปว่าเฉินเฉียงนึกไปอีกอย่างหนึ่ง

“โปรดอภัยให้ข้าด้วย ข้าไม่ได้มีความตั้งใจที่จะถามถึงสถานะของท่าน”

เมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวของมนุษย์กลายพันธุ์คนนี้ เฉินเฉียงก็ได้ผ่อนคลายท่าทางและพูดออกมา “เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าเจ้าเป็นใครและมาที่นี่ทำไม”

“ข้าพึ่งจะกลับมาจากสนามรบในเขตตึกจอมพลฮัวจ้ง หน่วยพันหน้าของข้านั้นพ่ายแพ้และสูญเสียอย่างหนักในศึกครั้งนี้ สมาชิกหน่วยเกือบร้อยนายตกตายจนเกือบหมด มีเพียงข้าที่โชคดีหลุดรอดมาได้ จึงมีความตั้งใจจะกลับไปรายงานผลการรบที่เกาะเทียนลี่”

-ฮัวจ้ง….นั่นมันตึกของผู้บัญชาการอันดับหนึ่งในเขตภาคกลางไม่ใช่รึ-

เฉินเฉียงในตอนนี้ใจเต้นระรัวเมื่อได้ยิน หากเขาอยู่บนพื้นดินเขาคงกระโดดโลดเต้นไปแล้ว

ดูเหมือนว่าหลังจากติดอยู่ในทะเลกว่าเก้าเดือน เขาก็ได้มีโอกาสกลับไปสักที

“รีบๆพูดออกมาว่าสถานการณ์ที่นั่นเป็นยังไง แล้วระยะทางที่นั่นห่างจากนี่แค่ไหน”

เฉินเฉียงได้จับคอเสื้อของมนุษย์กลายพันธุ์คนนี้และถามออกมาด้วยน้ำเสียงอันโหดร้าย

“อึ้ก…นายท่าน”

เฉินเฉียงในตอนนี้เห็นแล้วว่าตัวเขานั้นลุกลี้ลุกลนเกินไป และนี่เกือบจะทำให้ตัวเขานั้นเผยตัวเองออกมา เขารีบปล่อยมือและพูดออกมา

“ข้านั้นลอยอยู่กลางทะเลเกินไปและหลงทิศทาง นี่จึงทำให้ข้าตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้น หากข้าทำให้เจ้ากลัวต้องขอโทษด้วย เอาล่ะ บอกเรื่องที่ข้าถามเจ้าได้แล้ว”

“หลงทาง….เหรอ” มนุษย์กลายพันธุ์ได้มองเฉินเฉียงตั้งแต่หัวจรดเท้า เฉินเฉียงเองรู้สึกอึดอัดในทันทีเมื่อเห็นแบบนี้ แล้วมนุษย์กลายพันธุ์ก็ได้เอ่ยถามออกมาเบาๆ “นายท่าน เครื่องบอกทิศทางของท่านไปไหนกันล่ะ”