บทที่ 128 ทะลวงด่านพลังวิญญาณขั้นสวรรค์

ราชาซากศพ

บทที่ 128
ทะลวงด่านพลังวิญญาณขั้นสวรรค์

“นั่นนะสิ! เจ้าคิดว่าเราเป็นผู้เดียวที่มีความคิดนี้งั้นหรือ มีผู้ใดบ้างไม่ต้องการแก่นวิญญาณ?” สหายร่วมทางที่เหลือก็เริ่มตำหนิ ชายที่เสนอให้ปล้นชิงหลินเว่ย

“เอ่อ … “! ข้าเพียงพูดเล่นเท่านั้น….อย่าเอามาใส่ใจเลย “ ชายคนนั้นเห็นว่า ตนทำให้ฝูงชนขุ่นเคือง และรีบร้อนแก้ตัว

เนื่องจากความสัมพันธ์ของหลินเว่ย ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้รอบตัวเขา ต่างก็ได้รับความทุกข์ทรมานจากความอิจฉาตาร้อน แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ได้อยู่ในสายตาของหลินเว่ย ตราบใดที่พวกเขาไม่กระโดดออกมายื้อแย่งแก่นวิญญาณกับหลินเว่ยก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหา

หลังจากรวบรวมแก่นวิญญาณเสร็จสิ้นอย่างไรก็ตามหลินเว่ยคงไม่โง่พอที่จะดูดซับแก่นวิญญาณทันที
ภายใต้การจ้องมองของสายตานับไม่ถ้วน หลินเว่ยก้าวไปยังค่ายกลเคลื่อนย้าย โดยมีสัตว์โครงกระดูกที่ล้อมรอบเขาอยู่ตรงกลาง

จนกระทั่งหลินเว่ยก้าวเท้าเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้าย หลังจากผ่านไปไม่นานค่ายกลเคลื่อนย้ายกะพริบแสงถี่ ๆ ราวสิบกว่าครั้ง เมื่อแสงสลัวจางลงไป ร่างของหลินเว่ยหายไปจากค่ายกลเคลื่อนย้าย

หลังจากนั้นไม่นานผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่อยู่โดยรอบ ๆ ต่างก็ค่อย ๆ สาวเท้าออกมา เพื่อพูดคุยกัน เกี่ยวกับค่ายกลเคลื่อนย้ายที่หลินเว่ยใช้ ล้วนไม่มีใครกล้าตามเข้าไป เพราะวิญญาณที่ชั้นสามของหอคอยวิญญาณจักรพรรดิล้วนแข็งแกร่ง

หลินเว่ยใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายในวันนี้เป็นครั้งที่สาม ความรู้สึกอึดอัดไม่สบายของเขาเกิดขึ้นเล็กน้อย ทันทีที่หลินเว่ยสัมผัสได้ว่าตนเองได้เคลื่อนย้ายจากชั้นที่สองมายังชั้นที่สามแล้ว ร่างของหลินเว่ยที่ถูกห่อหุ้มด้วยอาวุธ และแม้แต่โล่ของเขาก็ถูกเก็บกลับไป เพื่อผ่อนคลายร่างกาย

หลังจากมองไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว หลินเว่ยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เขาก็ไม่ได้เลินเล่อ โครงกระดูกที่เหลืออีกเจ็ดตนก็ถูกเรียกออกมา และล้อมรอบเขาไว้ตรงกลางเพื่อปกป้องหลินเว่ย

เหตุผลที่หลินเว่ยเป็นเช่นนี้ เนื่องจากในตอนนี้เขาอยู่ที่ชั้นสามของหอคอยวิญญาณจักรพรรดิ และภูตวิญญาณที่เขาจะต้องพบ ล้วนเป็นภูตวิญญาณขั้นหกหรือขั้นเจ็ด จึงเปรียบได้กับราชาแห่งการต่อสู้ขั้นเจ็ดและขุนพลขั้นหก
ถ้าไม่ระวังเขาอาจจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่

ภูมิประเทศของชั้นสามนั้น ถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สถานที่ที่หลินเว่ยอยู่นั้น ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ไม่เหมือนสองชั้นแรก เป็นที่ราบที่มีทิวทัศน์กว้างไกล มีสถานที่ให้ผู้คนได้ซ่อนตัวและพักผ่อน

หลังจากพักผ่อนชั่วครู่ เขาก็เริ่มออกสำรวจบริเวณโดยรอบ หลินเว่ยก็กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ และพบกิ่งไม้ใหญ่ที่พอจะนั่งลงไปได้ เขานั่งขัดสมาธิและพร้อมที่จะดูดซับแก่นวิญญาณที่ได้รับมา
อย่างไรก็ตามอาวุธวิญญาณ และโครงกระดูกเหล่านั้น ร่องรอยความเสียหายยังคงไม่จางหายไป

เมื่อหลินเว่ยพร้อม หลินเว่ยก็แบมือขวาของเขา และปรากฏกระเป๋ามิติขึ้นบนฝ่ามือของเขา จากนั้นกลุ่มแสงสีแดงกลุ่มหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นบนมืออีกข้างของเขา ซึ่งมันคือแก่นวิญญาณของภูตวิญญาณขั้นสี่

เมื่อหลับตาลง อากาศเบาบางในร่างกายของหลินเว่ยพุ่งสูงขึ้น และเกิดแรงดูดออกมาจากฝ่ามือของเขา แก่นวิญญาณในมือของเขา เริ่มหมุนอย่างช้า ๆ และค่อย ๆ หดตัวลงด้วยความเร็ว ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ก่อนที่หลินเว่ยจะดูดซับแก่นวิญญาณของภูตวิญญาณ เขาพบว่า เมื่อเทียบกับแก่นวิญญาณของภูตวิญญาณที่หลินเว่ยดูดซับไปก่อนหน้านี้ มีความแตกต่างกันเล็กน้อย แก่นวิญญาณขั้นสี่นี้ แม้รูปร่างหน้าตาจะดูคล้ายคลึงกัน แต่ภายในนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังจิตวิญญาณ หลังจากดูดซับไปกว่าสิบนาที แต่แก่นวิญญาณในมือของหลินเว่ยนั้นเพียงแค่ลดขนาดลงไปเท่านั้น

เมื่อเวลาผ่านไปสักหนึ่ง แม้แต่หลินเว่ยเองก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เนื่องจากสภาพแวดล้อมของหอคอยวิญญาณจักรพรรดินนั้นคือภาพมายา โดยดวงอาทิตย์จะไม่ถูกแทนที่ด้วยดวงจันทร์ ดังนั้นหอคอยวิญญาณจักรพรรดิจะมี ทั้งกลางวันและกลางคืนเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม

ในเวลานี้ หลินเว่ยดูดซับพลังจนมาถึงช่วงของการทะลวงด่าน หลังจากที่ดูดซับแก่นวิญญาณชั้นสี่หลายร้อยชิ้นและแก่นวิญญาณขั้นห้า ตามที่หลินเว่ยคาดไว้ พลังจิตของเขาได้ทะลวงด่านใกล้เข้าสู่ขั้นสวรรค์ได้สำเร็จ ในตอนนี้หลินเว่ยอยู่ห่างจากขั้นสวรรค์เพียงเล็กน้อย

และสถานการณ์ปัจจุบันของเขา ที่สามารถรวบรวมแก่นวิญญาณได้มากมายขนาดนี้ ก็ย่อมสูญเสียไปมากมายไม่น้อย แก่นวิญญาณนับร้อย การรวมกันของพลังวิญญาณขนาดใหญ่ หากการดูดซับลงไปทันที ก็จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นสวรรค์

เพื่อฟื้นฟูและเพิ่มประสิทธิภาพของร่างกายได้ หลินเว่ยกำลังจะเตรียมตัวทะลวงด่าน แต่ในตอนนี้พลังของเขาเป็นเพียงเปลือกนอกที่กลวงโบ๋ หลังจากการเลื่อนระดับของจิตวิญญาณของหลินเว่ย มันจะกลายเป็นเศษเสี้ยววิญญาณ

เนื่องจากหลินเว่ยนั้น ยังไม่สามารถสร้างรากฐานของจุดฝังวิญญาณได้ เพราะถ้าเขาไม่มีจุดฝังวิญญาณ แม้ว่าเขาจะดูดซับพลังวิญญาณมากขึ้น มันก็จะค่อย ๆ สลายไป ตราบใดที่สามารถสร้างจุดฝังวิญญาณสำเร็จ หลินเว่ยสามารถดูดซับพลังได้อย่างอิสระ

โดยสามารถรวบรวมพลังจากอากาศ สะสมพลังวิญญาณ และยกระดับพลังวิญญาณได้

เมื่อเทียบกับพลังวิญญาณ มันยากมากที่จะควบแน่นจนสร้างจุดฝังวิญญาณได้ เนื่องจากหลินเว่ยไม่มีจุดฝังวิญญาณ ดังนั้นพลังวิญญาณที่เข้าสู่ร่างกายของหลินเว่ย จึงเคลื่อนที่ไปทุกหนทุกแห่งภายในร่าง และหลินเว่ยควบคุมไม่ได้ โชคดีที่ทะเลลมปราณของเขา นั้นมาจากพื้นที่มิติซึ่งมันแข็งแกร่งมาก และมีอันตรายน้อยกว่า ไม่เช่นนั้นหลินเว่ยคงจะธาตุไฟแตกซ่าน
ในตอนนี้ หลินเว่ยทำตามวิธีการที่เขาเรียนรู้มาจาก จงหมิงโดยใช้พลังปราณในจุดชี่ห่าย ห่อหุ้มพลังวิญญาณจำนวนเล็กน้อย และกลั่นมันแล้วค่อย ๆ ผสมผสานมันจนกลายเป็นกลุ่มก้อน

หลังจากที่พลังวิญญาณทั้งหมดถูกทำให้รวมตัวกัน จำนวนพลังวิญญาณทั้งหมดในร่างที่ไหลไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ในร่างแบบไร้ทิศทางก็น้อยลงกว่าเดิมมาก โชคดีที่พลังวิญญาณที่เหลืออยู่ถูกห่อหุ้มด้วยพลังปราณของหลินเว่ย

ดังนั้นมันจึงไม่ลดน้อยลงไป อย่างไรก็ตามพลังปราณในทะเลลมปราณของหลินเว่ยค่อย ๆ ลดลง ด้วยเหตุนี้หลินเว่ยจึงต้องกินยาเพิ่มลมปราณเป็นครั้งคราว และดูดซับหินหยวนไว้ในมือ ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่หลินเว่ยจะสามารถควบคุมให้พลังสมดุลภายในร่าง

เขากินยาระดับสี่หลายสิบเม็ดติดต่อกัน และดูดซับหินหยวนนับไม่ถ้วน หลินเว่ยไม่รู้ว่ามีหินหยวนทั้งหมดกี่ก้อน เพราะพลังปราณที่เขาดูดซับมา คือหินหยวนชั้นยอดหนึ่งร้อยชิ้นที่ซางกวนฮ่าวหยางมอบให้เขา เนื่องจากหินหยวนระดับล่าง
และระดับกลางมีสิ่งสกปรกมากกว่า ผลการดูดซับจึงช้าเกินไป ดังนั้นหลินเว่ยจึงต้องแบกรับความเจ็บปวด เพื่อเอาหินหยวนชั้นยอดออกมาดูดซับแทน

เมื่อพลังวิญญาณทั้งหมดถูกบีบจนกลายเป็นลูกบอลขนาดเท่าผลวอลนัท ไม่ว่าหลินเว่ยจะออกแรงอย่างไร มันก็ไม่สามารถหดตัวได้อีก หลินเว่ยรู้ว่าลูกบอลพลังวิญญาณในตอนนี้ถูกบีบอัดจนสุดความสามารถ และอาจเป็นไปได้ที่จะไม่สามารถบีบอัดต่อไป

จนกว่าความสำเร็จของเขาจะเลื่อนระดับขึ้น

ในเวลานี้ความแข็งแกร่งของในตอนนี้ของหลินเว่ยนั้นสูงกว่าของปรมาจารย์วิญญาณทั่วไป อย่างไรก็ตามหลินเว่ยไม่สามารถคาดคะเนได้ว่าสูงกว่าในระดับใด อย่างไรก็ตาม การเลื่อนระดับในช่วงแรกนั้น ค่อนข้างง่ายดายมาก

ขั้นแรกคือการดูดซับพลัง และขั้นตอนที่สองคือการกลั่นพลัง และขั้นตอนที่สามคือการตระหนักรู้
ตราบใดที่สามารถสร้างจุดฝังวิญญาณได้ ขั้นแรกมันจะดูดซับพลังจากจักรวาล และใช้พลังเหล่านี้ทำความสะอาดจุดฝังวิญญาณอย่างต่อเนื่อง

จนกว่าจุดฝังวิญญาณจะเต็มไปด้วยพลังและสร้างพลังวิญญาณ ที่ไม่สามารถสลายไปได้ ถ้ามันสลายไป ก็หมายความว่าการควบแน่นของจุดฝังจิตวิญญาณนั้นล้มเหลว

หากต้องการทำให้จุดฝังจิตวิญญาณนั้นปลอดโปร่ง สิ่งแรกคือการสลายพลังปราณที่ล้อมรอบ จุดฝังวิญญาณออกไป ในขั้นตอนนี้มีคนหลายคนที่พยายามที่จะทำขั้นตอนนี้ มีผู้คนเก่งกาจมากมาย แต่คนที่สามารถทำได้จริงนั้นมีน้อยนิด

เนื่องจากจุดฝังวิญญาณของพวกนั้นนั้นไม่แข็งแกร่งเบาบาง เมื่อพลังปราณที่ล้อมรอบมันนั้นถูกขจัดออกไป มีโอกาสสูงมากที่จุดฝังจิตวิญญาณในร่างกายของผู้ฝึกฝน จะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมภายนอกและธาตุไฟเข้าแทรก

โชคดีที่ความแข็งแกร่งของจุดฝังจิตวิญญาณของ หลินเว่ยไม่เลว ในความคิดของหลินเว่ย ยังคงมีความเป็นไปได้สูงที่หลินเว่ยจะรอดชีวิตจากขั้นตอนนี้ได้

หลินเว่ยไร้ซึ่งความลังเลใด ๆ เขาค่อย ๆ สลายพลังปราณที่ถูกห่อหุ้มจุดฝังวิญญาณออกไป ในที่สุดเมื่อเหลือเพียงชั้นบาง ๆ หลินเว่ยก็หยุดมือ หลังจากหายใจไม่กี่ครั้ง ดวงตาของหลินเว่ยก็ฉายแววแห่งความมุ่งมั่น จากนั้นเขาก็เห็นว่า ปราการสุดท้ายของพลังปราณสลายไป จากช่องว่างเล็ก ๆ

ในเวลานี้ความสนใจของหลินเว่ยมุ่งเน้นกับขั้นตอนนี้อย่างมาก และเขาจับตาดูจุดฝังวิญญาณอย่างใกล้ชิด

ผ่านไปเพียงสองครั้ง ก่อนที่พลังปราณที่เพิ่งจะเริ่มควบแน่นสั่นไหว จากนั้นรอยแตกเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของจุดฝังวิญญาณที่รวมตัวกันเป็นก้อนพลังกลม ๆ จากนั้นรอยแตกร้าวก็เริ่มปริแตก ออกเป็นสองส่วน ราวกับไข่ที่แตกร้าว
“ล้มเหลวงั้นหรือ?” เมื่อเห็นรอยแตกบนพื้นผิวของพลังปราณที่ขยายตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ หัวใจของหลินเว่ยก็หนักอึ้ง ดวงตาของเขาสลัวและดูหดหู่
เมื่อหลินเว่ยคิดว่าความพยายามในครั้งนี้คือ การชะลอการสั่นไหวของพลัง รอยแตกบนพื้นผิวจุดฝังวิญญาณ

ก็ไม่กระจายตัวอีกต่อไป กว่าจุดฝังวิญญาณจะสงบลง รอยแตกบนพื้นผิวของมัน ได้ปกคลุมไปแล้วครึ่งหนึ่งของตัวมันเอง

“นี่เรียกว่าประสบความสำเร็จหรือไม่?” เมื่อเห็นว่าจุดฝังจิตวิญญาณที่ควบแน่น…ไม่ได้พังทลายลงไป หัวใจของหลินเว่ยเต็มไปด้วยความสุข และใบหน้าของเขาก็แสดงรอยยิ้ม

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นรอยแตกบนพื้นผิวของจุดฝังวิญญาณ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายไปทันที และดูเศร้าบนใบหน้าของเขา หลินเว่ยสงสัยว่าจุดฝังวิญญาณยังคงสามารถใช้งานได้หรือไม่?

แต่เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว หลินเว่ยก็อยากจะลองดู ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น…ก็คงไม่มีอะไรเลวร้ายมากไปกว่านี้
ขั้นตอนต่อไป คือการตระหนักรู้ เป็นเรื่องที่ยากมาก หลินเว่ยต้องรับรู้การมีอยู่ของรัศมีพลังเหล่านั้นในอากาศ
หลินเว่ยจึงทำใจให้สงบ และใช้จิตสำนึกครอบคลุมจุดฝังวิญญาณ และลองใช้มันเริ่มสัมผัสกับรัศมีพลังในอากาศ

ตอนแรกสิ่งที่หลินเว่ยรับรู้คือพลังปราณ หลังจากนั้นไม่นาน เขารู้สึกคลุมเครือว่า มีร่องรอยของพลังงานที่แตกต่างไปจากพลังปราณ แต่เขาไม่สามารถรับรู้ตำแหน่งที่ชัดเจนได้ ถึงกระนั้นสภาพจิตใจของหลินเว่ยก็ตื่นเต้นมาก

เมื่อเวลาผ่านไป หลังจากการรับรู้อย่างต่อเนื่อง รัศมีพลังในอากาศจะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น นี่คือการบรรจบกันของช่องว่าง ระหว่างการรับรู้จากรัศมีพลังที่จุดฝังวิญญาณดูดซับพลังมา และพลังธรรมชาติที่มีมาแต่กำเนิด เมื่อใดก็ตาม ที่มีการรับรู้พลังที่ดูดซับพลังจากจุดฝังวิญญาณ มันจะสามารถตระหนักรู้ ถึงคุณสมบัติของสิ่งที่ได้รับมา

หลังจากพยายามหลายครั้ง ในที่สุดหลินเว่ยก็สามารถตรวจจับร่องรอยของพลังที่มาจากจุดฝังวิญญาณก็ดูดซับมันเข้าไป แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าเล็กน้อยในการรู้แจ้ง แต่ความเร็วในการรู้แจ้ง และดูดซับพลังก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก หลินเว่ยใช้เวลานาน ในการรู้แจ้งถึงพลังที่ดูดซับมา
อย่างไรก็ตามหลินเว่ยไม่มีที่จะก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด เขาจึงทำได้เพียงค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น ในทางกลับกันเขาสามารถเคลื่อนย้ายพลังที่ถูกดูดซับมาด้วยตนเองตามใจปรารถนา พลังนั้นไหลเอื่อยอยู่ในจุดฝังวิญญาณ แต่เมื่อมันมาถึงรอยแตกเหล่านั้น หลินเว่ยก็รู้สึกหงุดหงิดและอึดอัด

อย่างไรก็ตาม เมื่อจำนวนของพลังจักรวาลเพิ่มขึ้นทีละนิด และจำนวนการทำความสะอาดจุดฝังวิญญาณเพิ่มขึ้น รอยแตกบนพื้นผิวของจุดฝังวิญญาณก็เริ่มได้รับการฟื้นฟูทีละน้อย

อย่างไรก็ตาม ความเร็วนี้ช้ามาก และการฟื้นฟูรอยแตกร้าวก็ใช้พลังวิญญาณจำนวนมากเช่นกัน เป็นการยากที่จะดูดซับเพียงพลังจักรวาลภายนอกจำนวนหนึ่งและเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณ มีเพียงรอยแตกเล็ก ๆ เท่านั้น ที่สามารถฟื้นฟูได้

อย่างไรก็ตาม หลินเว่ยไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องให้เวลากับมัน โชคดีที่มีโครงกระดูกและสัตว์ร้ายอยู่รอบตัวเขา และสามารถรับประกันความปลอดภัย น่าเสียดายที่คะแนนสะสมเหล่านั้นจะถูกหักออกจากป้ายประจำตัวของหลินเว่ย เนื่องจากจำนวนชั่วโมงที่หลินเว่ยอยู่ในหอคอยวิญญาณจักรพรรดิชั้นที่สาม หลินเว่ยไม่รู้ตัวว่า ตนเองอยู่ที่นี่นานแค่ไหน แต่ครั้งนี้ย่อมใช้เวลาไม่น้อยเกินไป ซึ่งคะแนนสะสมย่อมต้องหดหายไปเป็นจำนวนมาก

เมื่อรอยแตกค่อย ๆ ผสานกัน ความเร็วในการดูดซับพลังวิญญาณของหลินเว่ย ก็ค่อย ๆ เร็วขึ้นเช่นกัน เมื่อรอยร้าวสุดท้ายจางหายไป ความรู้สึกอึดอัดไม่สบาย กลับกลายเป็นราบรื่นมาก

หลังจากรอยแตกร้าวทั้งหมดหายไป หลินเว่ยก็ดูดซับและเปลี่ยนพลังวิญญาณไม่ได้อีกต่อไป เขาจึงเริ่มสะสมพลังทีละนิด และทำความสะอาดจุดฝังวิญญาณอีกครั้ง

เมื่อเวลาผ่านไปแสงจาง ๆ จะส่องตรงจุดฝังวิญญาณ และไม่ได้กระจายแสงอยู่เพียงจุดเดียว แต่สว่างขึ้นและกระจายไปทั่วทั้งบริเวณของจุดฝังวิญญาณ จนในที่สุดลูกบอลขนาดเท่าวอลนัท ก็ให้แสงสว่างที่นุ่มนวล

แต่เดิมมันคือลูกบอลสีดำสนิท ตอนนี้กลายเป็นเปล่งเสียงสว่างสดใส มันเต็มไปด้วยแสงแห่งชีวิตชีวา และค่อยๆหมุนราวกับมีชีวิต ร่องรอยของพลังวิญญาณไหลออกมาจากจุดฝังวิญญาณไล่ไปตามจุดชีพจรต่าง ๆ ภายในร่างกาย

จากนั้นกลับไปที่จุดฝังวิญญาณอีกครั้ง
เมื่อรู้สึกถึงเหตุการณ์นี้ หลินเว่ยก็นึกถึงข้อมูลที่จงหมิงบอกเขาได้ อย่างรวดเร็ว หลังจากยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างกายของหลินเว่ยก็ผ่อนคลายลงทันที ราวกับว่าเขาเอายกก้อนหิน หนัก ๆ ออกไปจากอก

หลินเว่ยประสบความสำเร็จในการกลั่นจุดฝังวิญญาณในครั้งนี้ ตอนนี้เขากลายเป็นปรมาจารย์หยูหลิงตัวจริงแล้ว อย่างไรก็ตาม เขาเพิ่งเสร็จสิ้นการควบแน่นของจุดฝังวิญญาณ และเขาไม่รู้ว่าตนเองเป็นปรมาจารย์หยูหลิงฉีแบบใด?

หลังจากที่เขาออกไปทดสอบเท่านั้น….เขาจึงจะรู้ได้

เมื่อผ่อนคลาย หลินเว่ยก็รู้สึกงุนง่วง อาจกล่าวได้ว่าเขาเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ต่อสู้ แต่เขาก็มีจิตใจที่กระตือรือร้นเป็นเวลานานและเพ่งสมาธิ นอกจากนี้เขากินยาจำนวนมาก และสะสมพิษไว้ในร่างกายมานาน
และเป็นเวลาหลายวันแล้วที่หลินเว่ยไม่ได้ดื่มน้ำเต็มปาก และไม่มีข้าวตกถึงท้อง สภาพของหลินเว่ยราวกับการต่อสู้กับคนอื่น ๆ ตลอดสามวันสามคืน และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะอ่อนล้า

ดังนั้นสถานะของหลินเว่ย ไม่เหมาะสมที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงเก็บโครงกระดูกและสัตว์ร้ายทั้งหมดเข้าไปในพื้นที่มิติ จากนั้นหยิบป้ายหยกประจำตัวออกมาจากแขนเสื้อของเขา และเหลือบมองมันเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ใส่ป้ายหยกประจำตัว ลงในกระเป๋ามิติลงไป อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะใส่ป้ายหยกลงไป รายละเอียดที่ปรากฏอยู่บนป้ายหยกทำให้หลินเว่ยขนหัวลุก

จากเดิมมีคะแนนสะสม 1,000 แต้ม ในป้ายหยกประจำตัว แต่ในเวลานี้มีคะแนนสะสมเพียงเก้าแต้ม บนป้ายหยกประจำตัวภายในเวลาไม่ถึงสามชั่วโมง แม้หลินเว่ยจะไม่ต้องการออกไปจากที่นี่ แต่เขาจะถูกส่งตัวออกไปอย่างแน่นอน

เป็นดังที่ตระกูลหมิงกล่าว ทันทีที่ป้ายหยกของเขาถูกใส่ลงไปในกระเป๋ามิติ แต่หลังจากผ่านไปสิบกว่าวินาที ครั้งนี้หลินเว่ยก็รู้สึกว่าเขาถูกบางสิ่งบางอย่างกักขังเอาไว้อยู่ จากนั้นเขาก็ตกอยู่ในความมืด เมื่อเขาลืมตาขึ้น

เขาพบว่าตัวเองยืนอยู่ข้างนอกหอวิญญาณจักรพรรดิ

ในเวลานี้ท้องฟ้าภายนอกเป็นเวลากลางคืนแล้ว แต่จำนวนผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่เข้าและออกจากหอวิญญาณของจักรพรรดิไม่ได้ลดลงมากนัก ท้ายที่สุดมันไม่สำคัญกับการเร่งการฝึกฝน โดยไม่ได้หลับไม่ได้นอนเป็นเวลานาน เป็นการทรมานสังขารจนเกินไป

จากนั้นหลินเว่ยตัดสินใจที่จะกลับไปยังที่พักของตนเอง มีคนที่ถูกอาวุธของหลินเว่ยดึงดูดใจ ทำได้เพียงลอบมองด้วยความสนใจ

หลินเว่ยจึงไม่ต้องการยืนอยู่ที่นี่ และถูกมองว่าเป็นสัตว์ ดังนั้นเขาจึงเก็บอาวุธทั้งหมดของเขา จากนั้นเขาก็หันไปและไปยังบ้านพักที่ซางกวนฮ่าวหยางมอบให้เขา

หลังจากออกจากหอคอยวิญญาณจักรพรรดิ หลินเว่ยพบกับผู้คนจำนวนสองสามคนตลอดทาง เนื่องจากสภาพอากาศ พอกลับมาที่ลานกว้าง ๆ ปรากฏความเงียบเหงามาก หลินเว่ยไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาตรงไปที่ประตูห้อง

ผลักประตูเข้าไป จากนั้นปิดประตู นอนลงบนเตียงและหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า

เมื่อตื่นมา หลินเว่ยก็รู้สึกร่างกายเบาขึ้น เขาอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายเรียบร้อยแล้ว หลินเว่ยก็เปิดประตู และวางแผนที่จะไปรับคะแนนสะสม ตอนนี้เขามีคะแนนสะสมเพียงเก้าแต้ม ไม่ต้องพูดถึงการเข้าสู่หอคอยวิญญาณจักรพรรดิอีกต่อไป

“เหตุใด การฝึกฝนจิตวิญญาณของเจ้า? … ”
ทันทีที่หลินเว่ยผลักประตูออกมาและกำลังปิดประตูลงไป เสียงของซางกวนฮ่าวหยางก็ดังขึ้น เขาหันหน้าไปพบว่าซางกวนฮ่าวหยางนั่งอยู่บนเนินหิน หน้าบ้านพักของเขา
“โชคดีจริงๆ วันนี้ แต่อาจารย์ ท่านมาที่นี่….มีเรื่องอะไรให้ศิษย์ช่วยงั้นหรือ?” แม้ว่าซางกวนฮ่าวหยางจะยังพูดไม่จบ แต่หลินเว่ยก็เข้าใจความหมายของคำพูดของเขา คิดว่าชายคนนี้เป็นอาจารย์ของเขาจริง ๆ ดังนั้นหลินเว่ยไม่ได้ปกปิดมัน

เขาพยักหน้ายอมรับตามตรง แล้วแสดงความสงสัย
“ก้าวหน้าจริง ๆ หรือ?” หลังจากได้ยินคำตอบของหลินเว่ย ซางกวนฮ่าวหยางก็ตกใจ ร่างของเขาหายไปจากกองหินในพริบตา และปรากฏตัวต่อหน้าหลินเว่ย ซางกวนฮ่าวหยางยกนิ้วมือ และแตะที่หว่างคิ้วของหลินเว่ย จากนั้นก็อ้าปากพูดว่า “ตั้งสมาธิ…อย่าฝืนร่างกาย”

ซางกวนฮ่าวหยางที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ ทำให้หลินเว่ยแอบกังวล เกี่ยวกับความลับของร่างกายของตนเอง

“ดี! เจ้าเลื่อนระดับไปยังขั้นสวรรค์แล้ว เพียงแค่ออกไปข้างนอกมาสิบวัน และได้นอนหลับไปสองวัน ไม่คาดคิดพลังวิญญาณของเจ้าจะทะลวงไปถึงขั้นสวรรค์ ในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้?” เมื่อหลินเว่ยเป็นกังวล ซางกวนฮ่าวหยางก็ดึงนิ้วของเขากลับมา

และถามด้วยความประหลาดใจ
เมื่อได้ยินคำพูดของซางกวนฮ่าวหยาง หลินเว่ยพบว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่พบสิ่งผิดปกติในตัวเขา ด้วยเหตุนี้หัวใจของหลินเว่ยจึงโล่งอก เขากล่าวด้วยใบหน้าที่เคารพ: “ครั้งนี้ศิษย์ไปที่หอคอยวิญญาณจักรพรรดิ และความแข็งแกร่งทางจิตของข้า

มาจากการดูดซับแก่นวิญญาณของภูตวิญญาณ”
“เจ้าไปหอคอยนั่นมาหรือ?” ซางกวนฮ่าวหยางถามด้วย ความประหลาดใจ

“ใช่ หลินเว่ยพยักหน้าและกล่าวยอมรับ
“ข้าคิดว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่เจ้าจะทะลวงขั้นสวรรค์ได้ในเวลาอันสั้น ข้าเดาว่าเจ้าน่าจะขึ้นไปที่ชั้นสองใช่หรือไม่?” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย ใบหน้าของซางกวนฮ่าวหยางก็แสดงท่าทางสง่างาม และกล่าวด้วยรอยยิ้ม