ตอนที่ 98 ไปฝ่าด่านกันเถอะ หลิวหลี (หนึ่ง)

แม่ครัวยอดเซียน

“บรรพชน ข้าจะไป” หลิวหลีกลัวว่าหลงนู่เทาจะไม่พอใจจริงๆ นางจะไปรู้ได้อย่างไรว่าหญ้าคืนวิญญาณนั้น จะไปโตอยู่ในสุสานบรรพบุรุษ

“นังหนู อย่างนี้แหละถูกแล้ว สุสานบรรพบุรุษเป็นสถานที่ที่ดี ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้าไปได้ มีเพียงแต่คนได้จุดกลมสีรุ้งเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปได้ หลายแสนปีมานี้เจ้าเป็นเพียงหนึ่งในสองคนที่ได้จุดกลมสีรุ้ง จะได้อะไรกลับมาก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าแล้ว” หลงนู่เทากล่าว

“ขอบคุณบรรพชนด้วย” ในคราวนี้หลิวหลีกล่าวคำขอบคุณด้วยความเต็มใจ ไม่ได้ทำเพื่ออะไร ก็เป็นไปเพื่อขอบคุณบรรพบุรุษที่บังเอิญบอกข่าวเรื่องหญ้าคืนวิญญาณ ท่านแม่มีทางรอดแล้ว นางจึงรู้สึกซาบซึ้งใจในเรื่องนี้

 “หลิวหลี หนทางหลังจากนี้ขึ้นอยู่ที่ตัวเจ้าแล้ว” หลงนู่เทาพูดจบก็โบกมือแล้วหลิวหลีก็ได้หายตัวไป

หลิวหลียังอยากจะพูดต่อ แต่ก็ถูกบรรพบุรุษส่งนางออกมา สถานที่อันมืดสนิทนี้คือสุสานบรรพบุรุษ เหมือนนางจะไม่ได้เก็บของอะไรมา ทำอย่างไรดี หลิวหลีไม่รู้ว่ามือไปโดนอะไร อยู่ ๆ ก็สว่างขึ้นมา

“สัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิต กำลังทำการตรวจสอบ อายุ 24 ปี พลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในช่วงแยกจิต ครอบครองเพลิงอัคคี 5 ชนิด ทำพันธสัญญากับมังกรโลหิตและกิเลนม่วง ระดับการประเมินสีรุ้ง ผ่าน ขอเชิญผู้ท้าประลองเดินตามแสงไฟ” เสียงอัตโนมัติที่ดังขึ้น ทำให้หลิวหลีรู้สึกเหมือนตัวเองมาถึงโลกอนาคตที่มนุษย์ได้วาดฝันกันเอาไว้ หรือว่าโลกอนาคตเป็นเพียงส่วนหนึ่งของโลกบำเพ็ญเท่านั้น

เดิมนางไม่ได้มีเป้าหมายอะไร หลิวหลีเดินไปตามแสงสว่าง ทันใดนั้นด้านหน้าก็ปรากฏแสงกระพริบปรากฏเป็นภาพของเต่าดำตัวใหญ่ตัวหนึ่งขึ้นที่กลางอากาศ

“ข้าคือเต่าดำในตำนาน หากสามารถผ่านด่านป้องกันของข้าไปได้ ก็จะสามารถเข้าสู่ด่านต่อไปได้” เสียงดังขึ้นโดยอัตโนมัติ

หลิวหลีอดบ่นไม่ได้ “นำเต่าดำที่ขึ้นชื่อว่ามีพลังป้องกันเยี่ยมยอดวางไว้ด้านนอก นี่คือวางแผนจะไม่ให้ลูกหลานมารบกวนหรือ ถ้าอย่างนั้นจะให้ลูกหลานเข้ามาในสุสานบรรพบุรุษทำไม” พอบ่นจบ หลิวหลีเหลือบมองผนังป้องกันที่ปรากฏขึ้นหลังจากที่เสียงนั้นสิ้นสุดลง หลิวหลีรวบรวมพลังเซียนและใช้พลังที่แข็งแกร่งที่สุดเข้าโจมตี แต่ผนังป้องกันนั้นก็ไม่ได้เกิดความเคลื่อนไหวใดๆแม้แต่น้อย ดูท่าแล้วจะใช้กำลังมาทำลายทิ้งทีเดียวคงไม่ได้

หลิวหลีเดินดูรอบๆ และมือขวาก็ปรากฏเพลิงสุวรรณพรางขึ้น เมื่อใช้เพลิงอัคคีโจมตี ทองที่แหลมคมบวกกับเพลิงอัคคี หลิวหลีทำการเผาไหม้อยู่นาน ก็ไม่มีปฏิกิริยาใด จึงเก็บเพลิงสุวรรณพรางกลับมา หลิวหลีทรุดตัวลงนั่งและใช้ความคิด

เห็นได้ชัดว่า นี่ไม่ใช่แนวป้องกันของเต่าดำที่แท้จริง น่าจะเป็นของลอกเลียนแบบขึ้นมา เช่นนั้นแล้วน่าจะต้องมีจุดอ่อนอยู่ และต้องหาจุดอ่อนนั้นให้เจอก่อน คราวนี้หลิวหลีนำเพลิงอัสนีครามออกมา และเผาทั้งหมดเหมือนเดิม หลิวหลีใช้ประสาทเซียนลองตรวจสอบดู จุดอ่อนที่สุดน่าจะเป็นตรงนั้น

“นายท่าน ที่นี่มีพลังเซียนที่บริสุทธิ์มากๆอยู่” โม่หรานที่ไม่ได้เคลื่อนไหวใด มานานก็ส่งเสียงบอกหลิวหลี

“โม่หราน ถึงแม้ว่าจะมี แต่ข้าก็จำเป็นต้องทำลายผนังป้องกันนี้ก่อน ข้ากำลังหาจุดอ่อนของมันอยู่ เจ้าไม่ต้องรีบร้อน รอข้าสักครู่” หลิวหลีปลอบโยน

“นายท่าน ข้าช่วยได้นะ” โม่หรานพูดลนลาน

 “เจ้าช่วยได้หรือ?” หลิวหลีประหลาดใจ โม่หรานใจกว้างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ นางไม่มีวันลืมว่าตอนแรกเขาผลาญทรัพยากรนางไปเท่าไหร่ ถ้าไม่ใช่เพราะเขานำพลังเซียนออกมาช่วยเหลือตน นางอยากจะให้มิตินี้หายไปด้วยซ้ำ ถึงนางจะต้องเก็บหินวิญญาณใหม่หมด เก็บวิญญาณทั้ง 5 ธาตุใหม่ ก็ไม่เอาเขา

“ใช่ ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้วิธีทำลายมันไหม” หลิวหลีถามต่อ

“เอ่อ ไม่รู้” โม่หรานนิ่งไปเมื่อถูกถาม แค่หาจุดอ่อนก็พอ นายท่านไม่ได้เป็นคนจะจัดการเองหรอกเหรอ

“เอาเถอะ บอกจุดอ่อนของมันให้กับข้า ที่เหลือข้าจะหาวิธีเอง” รู้แค่จุดอ่อนอยู่ที่ไหนก็ได้

“ด้านซ้ายมือประมาณ 1 ใน 10 ของหนึ่งนิ้ว” โม่หรานพูดไปพลางทำท่าไป บอกตำแหน่งคร่าวๆกับหลิวหลี

หลังจากหลิวหลีดูจนเข้าใจ ก็นำเพลิงอัคคีที่เหลือทั้งหมดย้ายไปตรงจุดนั้น หลิวหลีสูญเสียพลังเซียนไปเกือบครึ่ง แต่จุดอ่อนตรงนั้นก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว นางอดคิดไม่ได้ว่าสมแล้วที่เป็นเต่าดำผู้มีพลังในการป้องกันที่น่าเหลือเชื่อ

ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่ใช่วิธีที่ดีแน่

“นายท่าน ท่านสามารถเผาแค่นิดเดียวก็ได้ ขอแค่เผาจนเกิดรูเล็กๆ ผนังป้องกันนี้ก็จะแตกสลายลงมาเอง” โม่หรานส่งเสียงบอก

หลิวหลีเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ใช้จุดจุดเดียวทำลายทั้งหมด ง่ายขนาดนี้เองหรือ นางสู้อุตส่าห์สูญเสียพลังเซียนไปจำนวนมากเพื่อเผามันทั้งหมด ความฉลาดหายไปตอนไหนกัน เร็ว รีบกลับมาได้แล้ว

หลิวหลีผู้ที่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ก็รวมเพลิงอัคคีให้เหมือนเข็ม จากนั้นก็จ่อไปที่จุดเพียงจุดเดียว นางจ้องจุดนั้นราวเม็ดฝุ่น แล้วส่งพลังไปเต็มที่ ใช้เพลิงอัคคีทำการเผาไหม้ต่อไป

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ นานจนถึงตอนที่หลิวหลีคิดว่าจำเป็นต้องนำพลังเซียนออกมาจากมิติเพื่อเพิ่มพลังให้ตนเอง ทันใดนั้นเองก็มีพลังเซียนที่หนาแน่นลอยเข้าร่างนาง และถึงตรงนี้จะมีจุดอ่อนเพียงเล็กน้อย หลิวหลีไม่ค่อยแน่ใจว่าตรงนี้ที่ไม่ได้มีพลังเซียนที่หนาแน่นนั่นแปลว่าผนังป้องกันนี้กำลังจะแตกแล้ว หลิวหลีใช้พลังถึงขีดสุด เข็มที่ทำมาจากเพลิงอัคคีใช้ความแหลมคมของมันแทงทะลุกำแพง แล้วมีเสียง ‘เปรี๊ยะ’ ดังขึ้น ผนังป้องกันปรากฏรอยทะลุรูเท่าเข็ม จากนั้นผนังป้องกันทั้งหมดก็ถล่มลงมา หลิวหลีเก็บเพลิงอัคคี แล้วก็ประหลาดใจกับความหนาแน่นของพลังเซียนที่อยู่ด้านหลังผนังป้องกัน

              “เป็นพลังเซียนที่เข้มข้นจริงๆ” หลิวหลีสูดเข้าไปเพียงหนึ่งเฮือก ก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของพลังเซียนในร่างกาย

“ยินดีด้วย ผ่านด่านแล้ว” เสียงระบบอัตโนมัติดังขึ้น

“โม่หรานเจ้าสามารถดูดซึมพลังงานเซียนจากที่นี่ได้หรือไม่” หลิวหลีถามขึ้น ไม่เช่นนั้นนางจะต้องสร้างแนวเขตป้องกันจึงจะสามารถเดินไปต่อ บางครั้งพลังเซียนเยอะเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี เหมือนคนที่กินอิ่มแล้วยังคงกินต่อไป ราวกับว่าถ้าไม่กินจนสะอาดเกลี้ยงคือบาปกรรม ผลจากเรื่องนี้คือทำให้กระเพาะของตัวเองระเบิด และความเข้มข้นของพลังเซียนที่มากเกินไป หากนางดูดซึมทั้งหมด นางก็อาจต้องไปพบยมบาล

“ได้” โม่หรานกล่าวอย่างรำราญใจ

“ข้าจะต้องทำอย่างไร?” เอาไปใช้ได้ก็ดีแล้ว

 “นายท่าน ท่านค่อยๆเดินก็พอ ความเร็วประมาณหนึ่งก้าวต่อหนึ่งวินาทีก็พอ” โม่หรานกล่าว

“ได้” ขอเพียงแค่ดูดซึมได้ก็พอ เวลาอะไรพวกนั้น นางสามารถค่อยเป็นค่อยไปได้

โม่หรานอยู่ในมิติมองดูพลังเซียนที่พรั่งพรูเข้ามา จากนั้นก็ชักจูงมันเข้าไปในสระน้ำวิญญาณด้านใน สลายมันให้กลายเป็นของเหลวที่มีความเข้มข้นสูง โม่หรานรู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นมาก ดีมากจริงๆ ในที่สุดก็สามารถสละพลังที่ต้องใช้กระแสจิต จนแทบไม่เหลืออะไรแล้ว

หลิวหลีค้นพบว่า หลังจากความหนาแน่นของพลังเซียนเริ่มลดลง ภาพภายในก็เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น หลังจากนั้น

“โม่หราน เจ้าเก็บพืชศักดิ์สิทธิ์ได้ไหม” ตาหลิวหลีเป็นประกายรูปหัวใจ พืชศักดิ์สิทธิ์ราคาสูงทั้งนั้นเลย

 “ได้ แต่ว่าจำเป็นต้องให้เจ้าเป็นคนไปสัมผัส”

“ไม่มีปัญหา” ในที่สุดมิติที่ไร้ประโยชน์นี้ก็มีประโยชน์ขึ้นมาแล้ว

หลิวหลีเคลื่อนไหวไม่หยุดราวกับผึ้งน้อยที่ขยัน รวยแล้วรวยแล้ว

หลังจากเก็บเสร็จหมดแล้ว หลิวหลีก็เกิดผิดหวังขึ้นมาน้อยๆ “ไม่มีหญ้าคืนวิญญาณ” ทำได้เพียงเดินหน้าต่อไป

หลิวหลีปรบมือ ร่ายมนตร์ขจัดฝุนละออง แล้วเดินหน้าต่อไป

นางเดินไปตามแสงสว่างจนไม่รู้ว่าไกลเท่าไหร่ พลันมีเสือตัวใหญ่ปรากฏตัวขึ้น อีกทั้งมีเสียงอัตโนมัติดังขึ้นอีกเช่นกัน

“ข้าคือพยัคฆ์ขาวในตำนาน ขอเชิญผู้ท้าประลองเข้าร่วมการทดสอบ ผ่านด่านนี้สามารถเข้าสู่ด่านต่อไปได้”

หลิวหลีมองดูเสือขาวตัวน้อยที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ด่านนี้ทดสอบดูแลเสือน้อยหรือ เมื่อเห็นเสือขาวตัวน้อยพุ่งเข้ามา ว่าแต่ทำไมไม่เหมือนมาเพื่อให้ป้อนอาหารอย่างเป็นมิตรล่ะ พอเห็นเสือขาวตัวน้อยพุ่งเข้ามา หลิวหลีคิดยังไม่ทันได้คิดก็ปล่อยหมัดออกไป เสือขาวตัวน้อยแตกละเอียด จากนั้น หลิวหลีก็เห็นเสือขาวตัวน้อยอีกสองตัวพุ่งเข้ามา อันนี้คือเล่นอะไรกัน จากนั้นก็มาเพิ่มแบบเท่าตัว จนกระทั่งเมื่อเสือขาว 16 ตัวถูกโจมตีไป หลิวหลียังไม่ทันได้หายใจ ก็มีเสือขาวที่มีขนาดใหญ่กว่าเมื่อสักครู่สองเท่าปรากฏขึ้นมาสองตัว อันนี้เมื่อไหร่มันจะจบ จนกระทั่งหลิวหลีหลบการตะปบของเสือขาว กลิ้งหลบไปอยู่ข้าง ๆ พอเสือขาวมีขนาดใหญ่กว่าหลิวหลีถึงสองเท่า หลิวหลีเริ่มใช้เพลิงอัคคีโจมตี หลิวหลีลองคำนวนดูแล้ว เสือตัวนี้มีพลังเซียนเทียบเท่ากับช่วงรวมกายา หลิวหลีรู้สึกเสียแรงค่อนข้างมาก หลิวหลีหอบหายใจอย่างแรง การเคลื่อนไหวก็ช้าลงตามไป ถ้าไม่ใช่เพราะมีมิติคอยส่งพลังเซียนบริสุทธิ์ให้ใช้ตลอด นางคาดว่าก่อนจะได้ใช้เพลิงอัคคี ก็คงโดนเสือตะปบจนเละเป็นซอสไปก่อนแล้ว

ดวงตาของหลิวหลีเริ่มอ่อนล้าลง ภายในร่างกายมีการใช้พลังเกินขีดจำกัด ทำให้หลิวหลีเกิดความรู้สึกมึนงง ไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปอันตรายแน่ นางยังหาหญ้าคืนวิญญาณไม่เจอเลย เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น หลิวหลีรวมเพลิงอัคคีทั้ง 5 ให้กลายเป็นเข็มงดงามหนึ่งกำ ปล่อยมันออกไปที่เสือโดยตรง เข้าไปสู่ภายในร่างกายของเสือ ‘ตูม’ เมื่อเพลิงอัคคีระเบิด เสือก็หายไป หลิวหลีนอนหมดแรงที่พื้น แม้แต่นิ้วหลิวหลียังขยับไม่ได้ หลิวหลีตัดสินใจว่าถ้ามีเสือยักษ์มาอีก นางจะเข้าไปอยู่ในมิติ และซ่อนตัว

“ยินดีด้วย ผ่านด่านแล้ว” เสียงอัตโนมัติดังลอยเข้ามา

ความเคร่งเครียดของหลิวหลีผ่อนคลายลง ตัวนางหมดสติไปพร้อมกับความสุข แต่ก็ไม่ลืมใช้เพลิงอัคคีครอบคลุมเพื่อป้องกันตัวเองจากทั้ง 4 ด้าน พลังเซียนที่อยู่ด้านนอกหลั่งไหลเข้าสู่ตัวหลิวหลีราวกับน้ำแร่ธรรมชาติ เส้นลมปราณที่แห้งเหือดภายในร่างกายของหลิวหลีได้รับความชุ่มชื่นจากพลังเซียน จึงทำการดูดซึมอย่างบ้าคลั่ง จนกระทั่งเต็มอิ่ม หลิวหลีมีความแข็งแกร่งมากขึ้น เพียงแต่ประสาทเซียนเหือดแห้ง หลิวหลีจึงทำได้เพียงฟื้นฟูอย่างช้าๆ

เมื่อผ่านด่านก็เหมือนกับด่านที่แล้ว เมื่อพลังเซียนที่หนาแน่นถาโถมเข้ามา มิติในการควบคุมของโม่หรานค่อยๆดูดซึมพลังเซียนโดยมีหลิวหลีเป็นจุดศูนย์กลาง

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หลิวหลีนวดหัวที่เหมือนโดนเข็มทิ่มแทง อดทนกับความทรมานทุกอย่าง แล้วหยิบยารักษาประสาทเซียนขึ้นมากิน พอยาออกฤทธิ์ หลิวหลีก็เริ่มรู้สึกสบายตัวขึ้นมาไม่น้อย

“ดูแล้ว ถ้าไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุดเพื่อรับมือกับด่านต่อไป ต้องได้ไปเจอยมบาลแน่ๆ” คราวนี้หลิวหลีไม่ได้รีบร้อนจะไปต่อ แล้วก็ไม่ได้รีบร้อนหาพืชศักดิ์สิทธิ์ต่อ นางรอจนฟื้นฟูร่างกายไปได้ประมาณ 8 ส่วน จึงเริ่มไปสำรวจพืชศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ยังไม่เจอหญ้าคืนวิญญาณ หลิวหลีไม่ยอมแพ้ นางลองนับดูแล้ว น่าจะยังมีอีก 3 ด่าน จนกระทั่งฟื้นฟูจนอยู่ในสภาพที่พร้อม นางจึงเดิมตามไฟต่อไป

เมื่อเดินไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งแสงไฟก็หายไป หลิวหลีจึงเพิ่งเรียกสติกลับมาได้ ภาพของกิเลนตัวใหญ่ปรากฏขึ้นมาอยู่ตรงหน้า

“ข้าคือกิเลนในตำนาน ผ่านด่านของข้าแล้วจึงจะเข้าสู่ด่านต่อไปได้ ผู้ท้าประลอง สู้ๆ” เป็นเสียงอัตโนมัติเหมือนเช่นเคย หลิวหลีขมวดคิ้ว ด่านแรกเป็นเต่าทดสอบพลังป้องกัน ด่านที่สองทดสอบการต่อสู้กับเสือขาว ด่านที่สามจะเป็นอะไร

แล้วหลิวหลีจึงได้เห็นเจดีย์สูง 9 ชั้นปรากฏขึ้นตรงหน้า แล้วประตูของเจดีย์ก็เปิดออก

“สามารถไปถึงชั้นที่ 9 ได้ จะถือว่าผ่านด่านนี้”

หลิวหลีหายใจเข้าลึก แล้วก็เดินเข้าไปในเจดีย์

“หลิวหลีผ่านด่านป้องกันของสกุลหลินแล้ว” หลินเซิ่งเตี่ยนพูด ตั้งแต่หลิวหลีเข้าไปในสุสานบรรพบุรุษ บรรพชนที่ไม่เคยจริงจังก็มารวมตัวกัน

“เสือขาวของสกุลฮัวก็ผ่านไปแล้วเหมือนกัน” ฮัวปู้เซิงพูดขึ้น ทำไมสาวน้อยคนนี้ถึงไม่ใช่ลูกหลานสกุลฮัว

“ตอนนี้นังหนูน่าจะอยู่ในเจดีย์กิเลนแน่ๆ” จ้านเหลยถิงกล่าว

“มีเพียงไม่กี่คนที่จะสามารถเข้าไปในสุสานบรรพบุรุษได้ คนรุ่นหลังครั้งที่แล้วที่ได้เข้าไปในสุสานบรรพบุรุษ ข้าจำได้ว่าไม่ผ่านในด่านนี้” หนานกงหลิงอวี่กล่าว

“ไม่รู้ว่านางจะสามารถผ่านทั้ง 6 ด่านได้หรือไม่” หลิงเซิ่งเตี่ยนกล่าว

“ได้สิ” หนานกงหลิงอวี่มั่นใจในตัวหลิวหลีอย่างมาก

“นา

ไม่ใช่ลูกหลานสกุลหนานกง หลิงอวี่เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน” จ้านเหลยถิงกัดกลับ

“ไม่ใช่ลูกหลานบ้านสกุลหนานกงแล้วทำไม อย่างไรเสียก็จะต้องเป็นสะใภ้สกุลหนานกงอยู่แล้ว” หนานกงหลิงอวี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเผด็จการ

“ทายาทของข้ากำลังจะเข้าสู่ช่วงแยกจิต นอกจากหลิวหลีจากสกุลหลงแล้ว พวกลูกหลานของพวกเจ้าล่ะ” หนานกงหลิงอวี่มองตาแก่ทั้งหลายที่ไม่ได้กินองุ่นกลับบอกว่าองุ่นเปรี้ยว ปัญญาอ่อนที่สุด

 “เอาล่ะ ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว พวกเรารอกันไปก่อน ต้องรู้ว่านอกจากรู้ว่าหลิวหลีไปถึงด่านไหน เราไม่รู้รายละเอียดอะไรเลย” หลงนู่เทามองดูหนานกงหลิงอวี่ที่ทำตัวราวนกยูงรำแพนหางแล้วพูดขึ้น เขาเป็นบรรพบุรุษโดยตรงของหลิวหลียังไม่ทันได้พูดอะไรเลย เจ้าเป็นเพียงญาติที่อนาคตไม่แน่นอนด้วยซ้ำจะได้ใจไปทำไม หลงนู่เทาก็ไม่ลืมกรอกตาใส่หนานกงหลิงอวี่ เมื่อนางเห็นเข้าก็อยากจะใช้พัดขนเพลิงพัดคนพวกนี้ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

 ……………………………………..