ตอนที่ 97 หลิวหลีผู้งดงามสะดุดตา

แม่ครัวยอดเซียน

หลิวหลีไม่ได้ไปหาหนานกงเวิ่นเทียนก่อนเป็นคนแรก แต่ไปหาหลงเทียนอี้ก่อน หลงเทียนอี้มีการพัฒนาอย่างมาก พลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะกลาง แต่เมื่อเทียบกับหลิวหลีแล้วก็ยังถือว่าห่างไกล หลงเทียนอี้มองดูแผ่นหลังของหลิวหลีที่จากไปแล้วก็ยิ้มอมทุกข์ เดิมเขาเคยคิดว่าตัวเองคือผู้ถูกเลือก หลิวหลีเป็นเพียงลูกสาวของอาหญิงที่เขาจะต้องดูแล ผลคือเป็นหลิวหลีที่ดูแลเขามาโดยตลอด เดิมเคยคิดว่าหลิวหลีเป็นคนนอก คนที่จะมาเชิดหน้าชูตาให้กับสกุลหลงจะต้องเป็นเขา ผลคือหลิวหลีเป็นคนสร้างเกียรติยศชื่อเสียงให้กับสกุล เดิมเขาคิดว่าหลิวหลีมีเพลิงอัคคี พลังบำเพ็ญก็มีอยู่แค่เท่านี้ แต่พอเข้ามาในดินแดนลับนางเป็นคนช่วยเหลือพวกเขา ตอนนี้นางยิ่งไปอยู่ในจุดที่เขาไม่สามารถตามได้ทัน ทำให้ความภาคภูมิใจของเขาแตกละเอียด แต่ถึงอย่างไร เขาจะมองหลิวหลีเป็นเป้าหมายแล้วพยายามสู้ต่อไป

 “เจ้าหนุ่ม รู้ถึงความแตกต่างแล้วก็พยายามเข้า” ทันใดนั้นก็มีร่างของหลงนู่เทาปรากฏขึ้น

“ได้โปรดวางใจ บรรพชน ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังกับโอกาสที่ท่านมอบให้ข้าในครั้งนี้” หลงเทียนอี้กล่าว

หลิวหลีเดินวนไปหนึ่งรอบ สุดท้ายจึงมาถึงสถานที่ที่หนานกงเวิ่นเทียนอาศัยอยู่ หนาวมากจริงๆ

หลิวหลีรู้สึกว่าบรรพบุรุษสกุลหนานกงคงไม่กินของที่มนุษย์ทั่วไปกินกัน แต่ผลปรากฏกลับไม่ใช่อย่างนั้น

“นี่ หลิวหลีบ้านสกุลหลง ทำไมมาถึงที่นี่ได้ มาลองดูเร็ว นี่เป็นซุปบำรุงที่ข้าตุ๋นขึ้น ดีต่อผู้หญิงนะ” หนานกงหลิงอวี่เชิญชวนด้วยความเป็นมิตรให้หลิวหลีมาลองชิมฝีมือตัวเอง อีกหน่อยเด็กคนนี้ก็จะกลายเป็นสะใภ้ของสกุลหนานกง

 “ขอบคุณเจ้าค่ะ บรรพชนหนานกง” หลิวหลีลองมองดู ทำไมหน้าตาถึงเหมือนซุปเห็ดหูหนูขาวของชาติที่แล้วได้ถึงขนาดนี้ เอาไว้บำรุงความงามจริงๆ

“จะเรียกบรรพชนหนานกงทำไมกัน ไม่น่าฟังเลยจริงๆ เรียกพี่หลิงอวี่สิ” หนานกงหลิงอวี่รู้สึกไม่พอใจกับคำเรียกของหลิวหลีเป็นอย่างมาก นางยังไม่ได้แก่ถึงขนาดนั้น

“บรรพชน น่าจะไม่สมเหตุสมผล ถ้าข้าเรียกท่านว่าพี่ ถ้าอย่างนั้น ก็เท่ากับว่าข้ามีฐานะเท่ากับบรรพบุรุษของข้า ไม่ได้ ไม่ได้” หลิวหลีส่ายหน้าปฏิเสธ หากถูกบรรพบุรุษในสกุลรู้เข้า ไม่รู้ว่าจะหาอะไรมาแกล้งนางอีกหรือเปล่า ไม่เอาจะดีกว่า

“ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็เรียกข้าว่าบรรพชนหลิงอวี่แล้วกัน” หนานกงหลิงอวี่เห็นหลิวหลียืนกราน ก็ไม่ได้บังคับอะไร ถ้าเรียกขานกันเหมือนพี่น้อง นางก็ไม่รู้ว่าหลานรุ่นหลังๆจะทำอย่างไร

“บรรพชนหลิงอวี่” หลิวหลีก็ไหลไปตามน้ำ แต่นี่มันแตกต่างอะไรจากบรรพชนหนานกง หลิวหลีอดที่จะบ่นขึ้นมาในใจไม่ได้

“เอาล่ะ มาลองชิมเร็ว รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง” หนานกงหลิงอวี่ก็เร่งถามขึ้น นางได้ยินมาจากเวิ่นเทียนว่า หลิวหลีมีความสามารถเป็นถึงแม่ครัวเซียน

หลิวหลีดื่มเข้าไปหนึ่งคำ ละลายในปากทันที มีพลังความอบอุ่นไหลเวียนอยู่ในร่างกายของหลิวหลี ไม่เลวเลยจริงๆ

“บรรพชนหลิงอวี่ หากเติมเม็ดพุทราจีน แล้วก็เติมน้ำผึ้งเข้าไปเล็กน้อยก็จะดีขึ้น” หลิวหลีพูดแนะนำ จริงๆแล้วใส่น้ำตาลก้อนจะดีกว่า เสียดายที่นี่ไม่มีน้ำตาลก้อน

 “น้ำผึ้งกับพุทราจีนหรือ ข้าจะลองดู” หนานกงหลิงอวี่ก้มหน้าขบคิด แล้วพูดขึ้น

ในเวลานี้หนานกงเวิ่นเทียนมีปัญหาอยากจะมาถามหนานกงหลิงอวี่พอดี หลิวหลีเตรียมจะซดซุปเห็ดหูหนูขาวเข้าไปทีเดียวทั้งชามก็เห็นชายหนุ่มที่มีท่าทางเยือกเย็นเดินเข้ามา เพียงแต่ว่า ทำไมถึงได้ขาวเนียนขนาดนี้ น่ากัดจริงๆมุมปากของหลิวหลีมีของเหลวที่น่าสงสัยไหลออกมา

หนานกงเวิ่นเทียนคิดไม่ถึงว่าหลิวหลีจะอยู่ที่นี่ หน้าเขาแดงขึ้นเล็กน้อย มองจากในมุมของหลิวหลี หนานกงเวิ่นเทียนที่ใบหน้ามีสีแดงระเรื่อยิ่งทำให้เขาดูน่ากิน หลิวหลีรู้สึกว่าน้ำลายจะหยดลงมาหมดแล้ว นางหยิกเนื้อตัวเองเบาๆ หลิวหลีอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องในใจ บรรพชนของสกุลนางฝึกฝนนางให้ออกมาเป็นหญิงสาวที่อึดถึกทน จริงๆเลย นางก็อยากเป็นนกน้อยที่ต้องคอยพึ่งพาคนอื่น ได้รับการปกป้องจากคนอื่นบ้าง

หนานกงเวิ่นเทียนมองดูหลิวหลีที่ดูมีชีวิตชีวา ในใจก็รุ่มร้อนขึ้นมา หลิวหลีเก่งขึ้นอีกแล้ว เขามองไม่เห็นพลังบำเพ็ญของนาง ร่างของนางเหมือนจะส่งแรงกดดันอะไรบางอย่างออกมาเป็นครั้งคราว ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้รับแรงกดดัน ในช่วงหลายวันมานี้อยู่กับบรรพชน นางบำรุงดูแลร่างกายเขา ตอนแรกเขายังไม่ทันได้สังเกต แต่พอเวลาผ่านไปพบว่าตัวเองยิ่งอยู่ยิ่งขาวเนียน เขาจึงเพิ่งจะรู้สึกว่าไม่ได้การแล้ว ท่านปรมาจารย์บอกกับเขาว่าถ้าไม่กินก็จะกลายเป็นชายหนุ่มร่างหยาบกระด้าง พอคิดว่าหลิวหลีจะรังเกียจหนานกงเวิ่นเทียน เขาก็ไม่อยากจะเป็นแบบนั้น ผลคือยิ่งกินยิ่งเนียนนุ่ม รู้สึกว่ามันนุ่มจนเหมือนกดลงไปแล้วจะมีน้ำออกมา

“หลิวหลี ดูจนอึ้งไปเลยหรือ” หนานกงหลิงอวี่ที่อยู่ข้างๆ เห็นใบหน้าตกตะลึงของหลิวหลีและใบหน้าแดงน้อยๆของหนานกงเวิ่นเทียน ก็อดบ่นในใจไม่ได้ ทำไมนางรู้สึกเหมือนหนานกงเวิ่นเทียนจะเป็นคนแต่งออกเลย

“ใช่เจ้าค่ะ ไม่ได้เจอมาตั้งเป็น 10 ปี เกือบจะจำไม่ได้แล้ว” หลิวหลีพูดถึงเรื่องเวลาที่ไหลผ่านไป

 “10 กว่าปีหรือ เจ้าใช้เวลาแค่ 10 กว่าปี ก็เข้าสู่ช่วงแยกจิตแล้วหรือ” หนานกงหลิงอวี่ประหลาดใจเล็กน้อย นางยังคิดว่าหลงนู่เทาอย่างน้อยก็ต้องปรับเวลาไปร้อยกว่าปี มิน่าตอนที่จ้านเหลยถิงเยาะเย้ยเขา เขาถึงแค่ยิ้มๆไม่ได้พูดอะไร

“ใช่ค่ะ” หลิวหลียังคงรำพึงรำพันอยู่ ตั้ง 10 กว่าปี ถ้าอยู่ในชาติที่แล้วคงจะได้อุ้มหลานกันแล้ว ตอนนี้ยังดีที่เป็นแค่หญิงโสดอายุมาก

“พรสวรรค์ของหลิวหลีมีความโดดเด่นมากจริงๆ” หนานกงเวิ่นเทียนได้ฟังแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ จากนั้นก็สงบลง หลิวหลีไม่ใช่คนธรรมดาเขาจะต้องพยายามให้มาก

“หลิวหลี บ้านสกุลหลงช่างเก่งสมคำร่ำลือ ที่จริงแล้วเจ้าจะต้องได้รับการดูแลที่ดีกว่านี้” พวกเขากดไม่ให้นางได้จุดสีรุ้ง มันเป็นเรื่องผิดไปรึเปล่านะ พรสวรรค์ของเด็กคนนี้โดดเด่นมากเกินไปจริงๆ

“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ข้าก็สบายมากเหมือนกัน” หลิวหลีไม่ได้ให้สนใจเรื่องนี้

หนานกงหลิงอวี่รู้สึกพอใจกับท่าทีของหลิวหลี ก็เลยแอบส่งเสียงบอกคนอื่น โดยที่นางไม่ทันได้สังเกต หนานกงเวิ่นเทียนก็มองเห็นเช่นกัน จุดกลมสีทองบนหน้าผากของหลิวหลีเปลี่ยนเป็นสีรุ้งแล้ว

“เอ่อ ตาแก่พวกนั้นทำไมถึงได้ใจอ่อนแล้วล่ะ” หลงนู่เทาประหลาดใจ เขายังคิดว่าหลิวหลีคงจะไม่ได้ไปสถานที่นั้น ถ้าเป็นเช่นนี้แปลว่านางก็สามารถเข้าไปด้านในได้แล้ว

“เอ่อ เสี่ยวเทียน จุดกลมบนหน้าผากของเจ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว” หลิวหลีพูดราวกับค้นพบดินแดนใหม่ ผิวขาวรับกับจุดแดงได้เป็นอย่างดี ทำให้โดดเด่นเป็นอย่างมาก ยิ่งทำให้หนานกงเวิ่นเทียนมีความสะดุดตามากขึ้น น่าจะหาที่ซ่อนเสี่ยวเทียนเอาไว้ หลิวหลีกัดปากคิดสถานที่ที่เหมาะกับการไว้ซ่อนคน

 “จริงหรือ ถ้าอย่างนั้น หลิวหลี จุดกลมบนหน้าผากของเจ้าเปลี่ยนเป็นสีรุ้งแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนสัมผัสจุดกลมที่อยู่บนหน้าผากของตัวเอง แล้วพูดกับหลิวหลี

หลิวหลีได้ยินเช่นนั้น ก็สัมผัสหน้าผากของตัวเอง เปลี่ยนไปเป็นสีรุ้งตอนไหนกัน ทำไมนางถึงไม่รู้

“หลิวหลี สวยมากเลย” หนานกงเวิ่นเทียนพูดคำนี้ออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“จริงหรือ” หลิวหลีพูดอย่างดีอกดีใจ

หนานกงหลิงอวี่มองดูทั้งสองคนที่สนทนากันอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนลืมว่ามีนางที่เป็นบรรพชนยังอยู่ตรงนี้ ทว่าบรรยากาศในการอยู่ด้วยกันของทั้งสองคนดูสนิทสนมกลมเกลียว นางจึงให้อภัยเด็กทั้งสองด้วยความสุขใจ

 “ใช่” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า หลิวหลีเป็นคนงดงาม เพียงแต่ไม่ค่อยแต่งตัวเท่านั้น

“เวิ่นเทียน ขอยืมตัวฮูหยินาของเจ้าหน่อยได้ไหม” จู่ๆหนานกงหลิงอวี่ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นก็ลากหลิวหลีไป

“นางยังไม่ใช่ฮูหยินของข้า” หนานกงเวิ่นเทียนเก็บมือที่ยื่นออกมา จากนั้นก็บ่นพึมพำเล็กน้อย

หลิวหลีที่ถูกลากตัวมา ก็ถูกพามาที่ห้องคล้ายกับห้องของผู้หญิง จากนั้นก็ถูกหนานกงหลิงอวี่กดให้นั่งลงบนเก้าอี้หน้ากระจก

หนานกงหลิงอวี่ปัดมือเล็กน้อย ผมของหลิวหลีก็สยายตัวลงมา หนานกงหลิงอวี่หยิบหวีมาหวีผมให้กับหลิวหลี

“หลิวหลี เจ้าเป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวย ทำไมเจ้าจึงไม่แต่งเนื้อแต่งตัว” หนานกงหลิงอวี่ถามขึ้นด้วยความสงสัย ผู้หญิงไม่ใช่เพศที่รักสวยรักงามหรือ ทำไมเด็กคนนี้เหมือนจะไม่สนใจเลยสักนิด สาวน้อยสกุลหลินที่มาด้วยกันยังต้องใช้เวลาแต่งตัวเลย

 “ผู้อาวุโส ก็ต่อสู้ไม่ค่อยสะดวกนัก” หลิวหลีเลือกเหตุผลที่พอจะฟังขึ้นแล้วพูดขึ้น เรื่องนี้นางด้อยความสามารถในด้านการหวีผมจะให้ท่านปรมาจารย์รับรู้ได้อย่างไร

“หลิวหลี เจ้าเป็นเด็กผู้หญิง พอเปิดปากก็พูดถึงเรื่องต่อสู้เลยได้อย่างไร” หนานกงหลิงอวี่พูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ แน่นอนว่าจะไม่พูดเรื่องสมัยก่อนที่นางสู้กับคนที่เข้ามาจีบนางให้ถอยห่างออกไปมากี่คน

“ผู้อาวุโส ผู้บำเพ็ญคุณค่าอยู่ที่การบำเพ็ญ ไม่ควรจะถูกสิ่งภายนอกรบเร้า” หลิวหลีพูดประโยคนี้จากใจจริง

“เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าใช้เวลากับสิ่งภายนอกมากเกินไปงั้นหรอ” หนานกงหลิงอวี่ส่งสายตาอันแหลมคมไปให้หลิวหลี หลิวหลีสงบปากสงบคำลง เหมือนจะพูดอะไรผิดไป

 “จะบอกอะไรให้ ถึงข้าจะเสียเวลาให้กับสิ่งภายนอก แต่พลังบำเพ็ญเพียรของข้าก็ไม่ได้แย่ ถึงขนาดสามารถจัดการกับผู้ชายได้จำนวนมากเลยทีเดียว” เห็นหลิวหลีกลัวจนหัวหด หนานกงหลิงอวี่มือก็ไม่ได้ปล่อยว่าง ปากก็พูดขึ้นมาด้วยท่าทีเผด็จการ

“เอาล่ะ เสร็จแล้ว เสื้อผ้าไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่” หนานกงหลิงอวี่พอใจฝีมือตัวเองเป็นอย่างมาก เพียงแต่กับชุดของหลิวหลีนั้น หนานกงหลิงอวี่โบกมือหนึ่งครั้ง แล้วชุดบนตัวของหลิวหลีก็เปลี่ยนเป็นชุดกระโปรง

หลิวหลีมองดูตัวเองในกระจก ผมถูกเกล้าขึ้นเป็นมวยสูง ตรงกลางมีปิ่นปักผม ด้านหลังปล่อยยาว ใบหน้าแต้มสีบางๆ ชุดกระโปรงสีแดงเพลิงยิ่งทำให้หลิวหลีสวยงามสะดุดตามากเป็นพิเศษ

หนานกงหลิวอวี่ถึงกับตกตะลึง สวยเกินไปแล้ว มิน่าหลานของเขาถึงไม่รังเกียจที่หลิวหลีแต่งตัวเป็นผู้ชาย ไม่แต่งหน้าแต่งตาเลยสักนิด หลิวหลีที่เป็นแบบนี้ นางอยากจะเป็นคนไปสู่ขอเองด้วยซ้ำ ยังดีที่นางจะแต่งกับคนสกุลหนานกง ยังดี

หนานกงเวิ่นเทียนเตรียมที่จะกล่าวลาบรรพชน ก็มาเจอกับหลิวหลีในชุดนี้เข้า สวยราวกับไม่ใช่คนธรรมดา หนานกงเวิ่นเทียนอึ้งนิ่งไป ถูกความสวยของหลิวหลีสะกดเข้าไว้ให้แล้ว หนานกงหลิวอวี่แอบผลักหลิวหลีเข้าไปหาหนานกงเวิ่นเทียน หลิวหลีที่เสื้อผ้าไม่ค่อยอำนวยก็รู้สึกยืนไม่ค่อยตรงนัก หนานกงเวิ่นเทียนรับไว้ได้ หนานกงหลิ่งอวี่ยกนิ้วชื่นชมตัวเอง นางผลักไปได้ถูกที่จริงๆ มองดูหนุ่มสาวทั้งสองสบตากัน เวิ่นเทียน เร็ว รีบไปสู่ขอหลิวหลีเข้าบ้านเร็ว

ทั้งสองสบตากันพักหนึ่ง จากนั้นก็ละสายตาจากกัน มองดูหลานทั้งสองที่ไม่กล้าสบตากัน อีกทั้งคอกับมือของตัวเองที่แดงไปหมด เดาว่าหนานกงเวิ่นเทียนคงจะแดงไปทั้งตัว หลิวหลีที่อยากจะเอามือขึ้นมาปิดหน้าตลอดเวลา นางจะมาเป็นคนตัดสินใจให้กับพวกเขาทั้งสองคนเลยดีไหมนะ อยากจะให้พวกเขาแต่งงานไหว้ฟ้าดินกันตอนนี้เลยจริงๆ

“หลิวหลี รีบกลับมาเร็ว” ในเวลานี้หลงนู่เทาผู้ทำลายบรรยากาศก็ได้เรียกหลิวหลีให้กลับไป หลิวหลีที่อยู่ในชุดพะรุงพะรังพอตั้งสติได้ ก็บอกลาหนานกงหลิงอวี่ แล้วรีบวิ่งออกไป

“เด็กน้อย ตั้งสติได้แล้ว เป็นอย่างไรบ้าง สวยไหม” หนานกงหลิ่งอวี่พูดแกล้งหนานกงเวิ่นเทียนที่ยังไม่สามารถเรียกสติกลับมาได้สักที

 “สวยขอรับ สวยมากเสียจนอยากจะเอานางไปซ่อนไว้ แต่ว่าตอนนี้ข้ายังทำไม่ได้ ท่านปรมาจารย์ สามารถเพิ่มระดับการฝึกบำเพ็ญให้กับข้าได้หรือไม่” หนานกงเวิ่นเทียนร้องขอ

“เจ้าจะสามารถอดทนได้หรือ มันมีทางรอดน้อยมากเลยนะ” หนานกงหลิ่งอวี่หุบยิ้ม แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ข้าทำได้ ได้โปรดช่วยข้าด้วย”

“ได้ ใครให้ข้าชอบเจ้ากับหลิวหลีล่ะ แต่ว่าขอบอกไว้ก่อนเลยนะ หลังจากนี้ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน เจ้าก็จะถอยไม่ได้แล้วนะ” หนานกงหลิงอวี่พูดด้วยท่าทีจริงจัง

“ขอรับ”

อีกด้านหนึ่ง หลงนู่เทาที่กำลังรอหลิวหลีอยู่ที่ตำหนักก็เห็นสาวงามคนหนึ่งวิ่งเข้ามา พอมองดูดี ๆ แล้วเป็นหลานของเขานั่นเอง หลานที่ถูกเขาฝึกเหมือนอย่างเด็กผู้ชายมาสิบกว่าปี ใส่ชุดผู้หญิงแล้วงามมากจริงๆ หลิวหลียังไม่ทันได้ทำความเคารพบรรพบุรุษ ก็ถูกสายตาแปลกประหลาดของหลงนู่เทาทำให้ขนลุก จากนั้นก็พบว่าตัวเองวิ่งมาทั้งอย่างนี้เลยหรอ หลิวหลีปัดมือเพื่อกลับไปใส่ชุดตามเดิม หลงนู่เทารู้สึกเสียดาย ที่แท้นี่ก็เป็นหลิวหลีจริง ๆ

“คารวะ ท่านปรมาจารย์”

 “หลิวหลี เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าได้รับการยอมรับจากพวกข้าทั้ง 5 คนแล้ว” หลงนู่เทาพูดขึ้นพลางมองไปที่จุดสีรุ้งบนหน้าผากของหลิวหลี

“เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจ” หลิวหลีส่ายหัว นางทำอะไรไปหรอ ถึงได้รับการยอมรับจากบรรพบุรษทั้ง 5 ท่าน นางยังไม่ทันได้พูดคุยกับบรรพบุรุษอีกสามท่านที่เหลือเลย

“ฮ่าฮ่า ไม่ว่าพวกเขาจะยอมรับเจ้าได้อย่างไร อย่างไรเสียเจ้าก็ถือว่าผ่านแล้ว ยังมีอีกที่หนึ่ง เจ้าเข้าไปแล้วจะได้อะไรกับมาก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าแล้ว” หลงนู่เทาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“บรรพชน ข้าไม่ไปได้ไหม”

 “หลิวหลี เจ้าพูดอะไร ข้าได้ยินไม่ค่อยชัด” หลงนู่เทาเหมือนกับได้ยินว่านางปฏิเสธ จะปฏิเสธได้อย่างไรกัน

“ท่านปรมาจารย์ ข้าไม่ไปได้ไหม” หลิวหลีพูดซ้ำอีกครั้ง นางวางแผนว่าหลังจากนางไปหาเสี่ยวเทียน นางก็จะไปตามหาหญ้าคืนวิญญาณ พลังบำเพ็ญมาถึงขนาดนี้แล้ว น่าจะพักสักหน่อยได้

“หลิวหลี เจ้ารู้ไหมว่าที่นั่นคือที่ไหน คือสุสานบรรพบุรุษ ในนั้นมีเลือดของอสูรเทพในตำนาน ได้มาเพียงหยดเดียวก็จะเป็นผลดีต่อคู่พันธสัญญาของเจ้าเป็นอย่างมาก ข้างในยังมีพืชศักดิ์สิทธิ์ทพิเศษจำนวนมาก เจ้าเป็นนักปรุงยา เจ้าน่าจะชอบ มีหญ้าเห็ดม่วงเก้าแฉก หญ้าคืนวิญญาณ”

 “ข้าจะไป” หลงนู่เทายังไม่ทันพูดจบ หลิวหลีได้ยินว่าหญ้าคืนวิญญาณก็รีบตะโกนขึ้นมา ไป จำเป็นต้องไป

“อะไรนะ นังหนู เจ้าจะเข้าไปแล้วหรือ” หรือว่าสิ่งที่เขาพูด มันดึงดูดหลิวหลีหรือนะ

 …………………………………………