ตอนที่ 159 ฉู่อี้กลับประเทศ / ตอนที่ 160 กลับมาอยู่ข้างเธอ

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

ตอนที่ 159 ฉู่อี้กลับประเทศ

 

 

ทว่าเธอกลับกดตัดสายไป

 

 

สีหน้าอ่อนล้าเล็กน้อยของคนที่เพิ่งจะลงจากเครื่องและกำลังนั่งอยู่บนรถอย่างป๋อจิ่งชวนดูอึมครึมหลังจากถูกตัดสาย

 

 

หรือจะหลับไปแล้ว?

 

 

แต่กดวางซะเร็วขนาดนี้

 

 

จ้องมองโทรศัพท์อยู่ไม่กี่วินาที ในขณะที่กำลังถอดใจที่จะโทรกลับไปหาเธออีกครั้ง จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

 

 

ที่แท้ก็เป็นวิดีโอคอล

 

 

ปมที่ขมวดเข้าหากันน้อยๆ ตรงหว่างคิ้วคลายลง นิ้วยาวกดรับสายบนหน้าจอโทรศัพท์

 

 

ใบหน้าสวยไร้เครื่องสำอางแต่งแต้มปรากฏขึ้นในหน้าจอมือถือเล็กๆ

 

 

“เพิ่งลงเครื่องเหรอ” เสียงใสๆ ที่คุ้นเคยดังขึ้น

 

 

“อืม” ป๋อจิ่งชวนตอบรับเสียงแผ่ว พลางใช้สายตากวาดมองใบหน้าของเธอไม่วางตา

 

 

เธอเห็นความเหนื่อยล้าที่ปรากฏอยู่บนหน้าเขา ในใจก็พลันรู้สึกกังวลเล็กน้อย

 

 

“งั้นถ้ากลับถึงโรงแรมแล้วก็รีบพักผ่อนนะ”

 

 

หลังจากเงียบไปไม่กี่วินาที ป๋อจิ่งชวนก็ค่อยๆ เอ่ยปากถามขึ้นอีก

 

 

“คิดถึงผมบ้างรึเปล่า”

 

 

เธอชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ใบหน้าจะค่อยๆ ขึ้นสีระเรื่อ “คุณเพิ่งไปได้ไม่ถึงวันเลยนะ…”

 

 

“แต่ผมคิดถึงคุณแล้ว” ป๋อจิ่งชวนจ้องไปที่เธอ “ตั้งแต่คุณลงรถไปตอนนั้นผมก็คิดถึงแล้ว…”

 

 

เธอเป็นใบ้ไปหลายนาที เพราะไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี รู้สึกแค่ว่าตอนนี้ใบหน้าของเธอร้อนผ่าว หัวใจเต้นระรัวคล้ายกับมีใครมาลั่นกลองอยู่ข้างใน

 

 

“…คุณก็เว่อร์ไป!”

 

 

“นี่ล่ะ เสน่ห์ของคุณ”

 

 

เฉินฝานซิงสำลักกับคำพูดของเขาจนไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี เธอเงียบอยู่นาน เลยพูดตัดบทไปว่า

 

 

“…ถึงโรงแรมแล้วอย่าลืมกินข้าวด้วยล่ะ”

 

 

“ครับ หลังจากนี้ผมยุ่งมากเลย ยังไงคุณก็เป็นเด็กดีรอผมกลับบ้านนะ”

 

 

“…โอเค” เธอวางคางลงบนเข่า ฟังเสียงทุ้มน่าฟังของเขาแล้วพยักหน้ารับเบาๆ

 

 

เห็นได้ชัดว่านี่คือคำพูดทิ้งท้าย แต่ทั้งคู่ก็ไม่มีใครยอมวางสาย

 

 

ทั้งสองเอาแต่มองกันอย่างเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เฉินฝานซิงจะเป็นคนกดตัดสายไปพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำ!

 

 

จากนั้นก็กลับเข้าห้องนอนไปพร้อมกับโทรศัพท์ในมือ

 

 

เธอรู้ดีว่า เวลาในประเทศกับออสเตรเลียนั้นต่างกันมาก ป๋อจิ่งชวนเลยไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ อีกทั้งหลังจากนี้เวลาของพวกเขาก็คงจะคลาดกัน ดังนั้นช่วงนี้คงไม่ได้ติดต่อกัน

 

 

 

 

สนามบิน

 

 

เฉินฝานซิงถูกสวี่ชิงจือลากมาที่สนามบินตั้งแต่เช้าตรู่

 

 

แม้ข่าวการกลับมาของฉู่อี้จะเป็นความลับสุดยอด แต่ก็ยังมีแฟนคลับไม่น้อยที่ล่วงรู้ข่าวนี้เข้าแล้วกรูกันเข้ามา

 

 

และนั่นก็ทําให้แฟนคลับนับร้อยคนเบียดเสียดกันไปมา จนรปภ.ต้องออกมาดูแลความเรียบร้อย

 

 

“ฉู่อี้ ยินดีต้อนรับกลับบ้านน้า”

 

 

“ดีใจด้วยที่กลับมาพร้อมกับข่าวดีนะ!”

 

 

“ฉู่อี้ ฉู่อี้ รักนะ รักนะ!”

 

 

“ฉู่อี้ พยายามเข้านะ สู้ๆ”

 

 

แต่ละคนต่างก็เป็นเด็กสาววัยใส บ้างก็ตะโกนชื่อฉู่อี้อย่างร่าเริง สารภาพรักออกมาเสียงดังก้อง บ้างก็ถึงกับร้องไห้ออกมาอย่างตื้นตัน

 

 

มือยื่นออกไปตรงกลางอย่างนับไม่ถ้วนพร้อมทั้งดอกไม้ ตุ๊กตา ของขวัญต่างๆ นานา หนังสือลายเซ็นและอื่นๆ อีกมากมาย

 

 

เฉินฝานซิงแอบหวั่นใจนิดๆ ที่เธอไม่สวมเสื้อโค้ชทับมาอีกตัว เธอกลัวว่าหากถือวิสาสะเดินดุ่มๆ ออกไปดักฉู่อี้เช่นนี้ เกรงว่ายังไม่ทันได้เข้าใกล้เขา ก็คงถูกแฟนคลับกลุ่มนี้รุมทึ้งเอา!

 

 

นี่มันบ้าชัดๆ

 

 

บรรดาแฟนคลับที่คลุ้มคลั่งทยอยเคลื่อนตัวไปตามการเคลื่อนไหวของบุคคลที่อยู่ตรงกลาง

 

 

ชายที่อยู่ตรงกลางรูปร่างสูงโปร่ง เขาสวมชุดสีดํา ใบหน้าคมเข้มมีมิติ มีผู้ช่วยหลายคนคุ้มกันไว้ข้างใน สีหน้าไร้อารมณ์พร้อมกับมาดที่เคร่งขรึมนี้ทำเอาแฟนคลับต่างพากันยกโทรศัพท์มือถือ ไม่ก็กล้องถ่ายรูป ขึ้นมาถ่ายรูปของเขาเก็บไว้

 

 

“สมกับที่เป็นซูเปอร์สตาร์ ออร่าพุ่งสุดๆ!”

 

 

สวี่ชิงจือกัดฟันพูดออกมา แต่เฉินฝานซิงหันไปมองก็กลับไม่เห็นวี่แววของเขาแล้ว

 

 

แค่พริบตาเดียวเธอก็ถูกเบียดเข้าไปในกลุ่มแฟนคลับ!

 

 

มุ่งหน้าไปยังฉู่อี้

 

 

เฉินฝานซิงเริ่มทำตัวไม่ถูก

 

 

สวี่ชิงจือเองก็ใช่ว่าจะเคยตามกรี๊ดดาราแบบนี้เสียที่ไหน ถึงอย่างไรเธอก็ยังคงเป็นลูกคุณหนู จะไปเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาสู้กับพวกแฟนคลับพวกนี้

 

 

ระหว่างที่ผลักกันไปมานั้น สวี่ชิงจือก็ถูกผลักล้มลงกับพื้น

 

 

“ระวัง ระวัง! มีคนล้ม”

 

 

“อย่าเพิ่งขยับ”

 

 

รปภ.ที่อยู่รอบนอกรีบตะโกนออกมา แฟนคลับบ้าคลั่งเหล่านั้นยังคงไม่หยุด แต่กลับเป็นฉู่อี้ที่อยู่ตรงกลางเป็นฝ่ายหยุดลง

 

 

สายตาเย็นชากวาดมองเหล่าแฟนคลับที่หยุดลงตามเขาแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเย็นว่า

 

 

“มีคนล้ม พวกเธอไม่ได้ยินรึไง”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 160 กลับมาอยู่ข้างเธอ

 

 

“มีคนล้ม พวกเธอไม่ได้ยินรึไง”

 

 

“…”

 

 

 

 

ถึงแม้เสียงอันทุ้มต่ำของฉู่อี้จะชวนให้หลงใหลแต่ก็ทำให้แฟนคลับหลายคนต่างตกใจ

 

 

“ผมต้องขอบคุณทุกคนที่ต้องการผม แต่ถ้าเล่นตามกันแบบไม่คิดชีวิตแบบนี้ ก็อย่าเลยดีกว่า! “

 

 

ผู้ช่วยที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉู่อี้ถึงกับกุมขมับ ฉู่อี้เพียบพร้อมไปทุกอย่างทั้งใบหน้าที่เกิดมาเพื่อเป็นดารา ไหนจะพรสวรรค์ที่เกิดมาเพื่อเป็นนักแสดง แต่ความเจ้าอารมณ์เช่นนี้กลับไม่เหมาะกับการเป็นดาราเอาเสียเลย

 

 

“ทุกท่านครับ คือฉู่อี้หมายความว่า ทุกท่านต้องใส่ใจความปลอดภัยให้มาก หากมีใครสักคนต้องมาเจ็บตัวเพราะเขา เขาคงจะรู้สึกเสียใจมาก ถ้าอย่างนั้นทุกคนอย่าทำให้เขาต้องเป็นห่วงเลยดีไหมครับ” มือขวาของเขาออกหน้าช่วยในสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนนี้

 

 

เหล่าแฟนคลับถึงได้พากันพยักหน้าอย่างเข้าใจ “พวกเราเข้าใจแล้ว”

 

 

ในตอนนั้นสวี่ชิงจือก็ลุกขึ้นมาพร้อมทั้งพุ่งเข้าไปหาฉู่อี้ แล้วยื่นนามบัตรของตัวเองให้กับเขาไป

 

 

“หวัดดีค่ะ ฉันคือผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเครื่องสำอางจือชิ่น พวกเราพอจะมีเวลาคุยกันสัก…”

 

 

สายตาของฉู่อี้ไม่ได้มองเธอเลย แต่กลับหันไปมองเฉินฝานซิงที่กําลังตรงมาทางนี้

 

 

“ขอโทษครับ ตอนนี้ฉู่อี้ของพวกเราไม่รับงานพรีเซนเตอร์”

 

 

ทว่าฉู่อี้กลับยื่นมือขึ้นยั้งปากของผู้ช่วย แล้วหันไปมองเฉินฝานซิงที่ก้าวเข้ามาหาสวี่ชิงจือทีละก้าวๆ

 

 

“ชิงจือ เธอโอเคใช่ไหม”

 

 

สวี่ชิงจือพยักหน้าเบาๆ

 

 

เฉินฝานซิงมองฉู่อี้แวบหนึ่ง ก่อนจะละสายตากลับมาอย่างเรียบเฉย

 

 

ฉู่อี้ยิ้มมุมปาก แล้วก็หันไปมองสวี่ชิงจือ แล้วเอ่ยขึ้นเสียงต่ำว่า

 

 

“คุณจะให้ผมเป็นพรีเซนเตอร์ให้คุณ? “

 

 

“ใช่ค่ะ! “

 

 

“โอเค ได้ งั้นเรามาตกลงกันก่อน”

 

 

“ฉู่อี้! ” คราวนี้ถึงตาบรรดาผู้ช่วยที่เป็นฝ่ายอึ้งกันขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

แต่สุดท้ายเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาอันเย็นเยือกนั้นเข้าไป พวกเขาก็ถึงกับใบ้รับประทาน

 

 

เอาเล๊ย!

 

 

ขัดใจไม่ได้นี่!

 

 

 

 

เดิมที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนต้องออกมาคุยกันบนรถตู้ที่จอดรออยู่นอกสนามบิน

 

 

ทว่าข้อเสนอของฉู่อี้กลับมีแค่ให้ช่วยเป็นตัวแทนให้เขาในระหว่างที่ตัวแทนของเขายังไม่ได้กลับประเทศ

 

 

เฉินฝานซิงคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย พร้อมกับตอบตกลงเงื่อนไขนี้ไปท่ามกลางสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของสวี่ชิงจือ

 

 

ระหว่างทางกลับ สวี่ชิงจือจ้องมองไปยังเฉินฝานซิงอยู่เป็นระยะ

 

 

เฉินฝานซิงกุมขมับตัวเองเงียบๆ แต่สายตาของสวี่ฉิงจือที่มองมานั้นดูประเจิดประเจ้อเกินไปจนในที่สุดเธอก็อดไม่ได้ที่จะยืดตัวขึ้นถาม

 

 

“สงสัยอะไร”

 

 

สวี่ชิงจือจึงหัวเราะขึ้นเบาๆ พร้อมกับไหวไหล่เล็กน้อย “เธอไปรู้จักกับนายฉู่อี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

 

เฉินฝานซิงถอนหายใจแล้วตอบไปว่า “ก็น่าจะ…ตั้งแต่เด็กเลยละมั้ง”

 

 

สวี่ชิงจือที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถึงกับสำลักออกมา จนร่างที่นั่งขับรถอยู่นั้นกระเถิบไปข้างหน้าเล็กน้อย

 

 

เธอมองทางไปพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด “เขา…ใช่หลานชายของคุณลุงฉู่ที่ชอบอยู่กับคุณน้าคนนั้นรึเปล่า”

 

 

เฉินฝานซิงพยักหน้ารับ “ใช่”

 

 

“เมื่อก่อนก็เคยได้ยินเธอพูดถึงเขานะ แต่ไม่ยักกะเคยเจอ…”

 

 

“สรุปว่าเธอก็คือดาวนำโชคของฉัน! ตอนนี้ภูเขาลูกใหญ่ถูกยกออกจากอกแล้ว ฉันก็โล่งใจไปได้หนึ่งเปราะ เอ้อ…งั้นพรุ่งนี้ตอนค่ำ พวกเราชวนทุกคนที่บริษัทมาฉลองกันหน่อยละกัน สองวันมานี้ทุกคนเหนื่อยกันมามากแล้ว วันนี้กลับบริษัทไปร่างเอกสารสัญญาพรีเซนเตอร์กันก่อน”

 

 

 

 

เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวาย ทำให้การเซ็นสัญญาของฉู่อี้จึงเป็นไปอย่างเงียบที่สุด

 

 

ณ ห้องประชุมของจือชิ่น จึงมีเพียงแค่เฉินฝานซิงกับฉู่อี้สองคนเท่านั้น

 

 

“กลับมาคราวนี้มีจุดประสงค์อะไร” เฉินฝานซิงเอ่ยถามพลางมองเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

 

“กลับมาอยู่ข้างๆ เธอ”

 

 

“พูดจาให้รู้เรื่อง”

 

 

ฉู่อี้หัวเราะยกใหญ่ “กลับมาพัฒนาไม่ได้รึไง!”