ตอนที่ 161 เธอเป็นถึงเจ๊ใหญ่ของฉันเชียวนะ / ตอนที่ 162 คลับปี้หวงอวี๋เล่อ

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

ตอนที่ 161 เธอเป็นถึงเจ๊ใหญ่ของฉันเชียวนะ

 

 

เฉินฝานซิงพ่นลมหายใจ “ในเมื่อกลับมาแล้ว งั้นก็หมายความว่ารับงานอะไรไว้?”

 

 

ฉู่อี้ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ก็แค่ละครพีเรียดเรื่องหนึ่ง ไซไฟของต่างประเทศมีปัญหานิดหน่อยเลยต้องกลับมาแทนคุณสื่อโทรทัศน์ในบ้านเกิด”

 

 

เฉินฝานซิงขมวดคิ้ว แล้วลุกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “ให้ผู้ช่วยนายส่งตารางงานล่าสุดของนายมาให้ฉัน ฉันจะได้เตรียมงานให้”

 

 

ฉู่อี้กลับมาเพื่อแทนคุณสื่อโทรทัศน์ในบ้านเกิด?

 

 

ช่างเป็นเหตุผลที่ยิ่งใหญ่น่าดู

 

 

“จะไปแล้วเหรอ”

 

 

“ขอล่ะ ฉันยังต้องไปติดต่องานที่อื่นอีกนะ”

 

 

ฉู่อี้ยิ้มมุมปาก “เธอแค่อยู่ข้างๆ ฉันก็พอ เธอเป็นถึงเจ๊ใหญ่ของฉันเลยเชียวนะ ฉันคงไม่ปล่อยให้เธอลำบากหรอก”

 

 

เธอแสยะยิ้มมุมปาก “ขอบใจที่เป็นห่วง”

 

 

เธอว่าจบก็เตรียมจะเดินออกไป แต่ฉู่อี้กลับรั้งแขนเอาไว้

 

 

“เลิกกับซูเหิงแล้ว?”

 

 

สีหน้าเธอดูหม่นลง คิ้วเรียวเองก็ขมวดขึ้น

 

 

“นายชักจะยุ่งมากไปแล้ว”

 

 

ฉู่อี้ก็มีสีหน้าที่ดูไม่ค่อยอภิรมย์ “อยากจะไปจากที่นี่ไหม”

 

 

“…”

 

 

 

 

เมื่อเห็นเฉินฝานซิงนิ่งเฉย สีหน้าของฉู่อี้ก็ฉายแววหงุดหงิด

 

 

“เธอคิดจะอยู่ที่นี่ไปถึงเมื่อไหร่”

 

 

“ถ้าเรื่องทุกอย่างยังไม่คลี่คลาย…ฉันก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น!”

 

 

พูดจบเธอก็เดินผ่านเขาไป

 

 

 

 

ฉู่อี้กลับเข้าประเทศมาก่อนเวลาเพื่อให้พอจะมีเวลาได้พักผ่อน ดังนั้นในช่วงแรกๆ เขาจึงยังไม่มีงานที่ต้องทำ

 

 

ตลอดสองวันที่ดูตารางงานของเขาทำเอาเธอต้องปวดหัว ละครย้อนยุคฟอร์มยักษ์เรื่องนั้นที่เขารับมา จู่ๆ ก็มีรายชื่อคนที่เธอคุ้นเคยเด่นหราอยู่ในรายชื่อนักแสดงหลัก

 

 

แม้ว่าตำแหน่งนักแสดงนำหญิงหมายเลขหนึ่งจะไม่ใช่ของเฉินเชียนโหรว

 

 

ทว่าเนื้อเรื่องนี้กลับชวนให้มีข้อโต้แย้ง มันเป็นเรื่องราวความเจ็บปวดเพราะความรักที่ตกอยู่ในห้วงของเวทมนตร์

 

 

เพราะชายที่ตนเฝ้ามองมานับพันปีมีใจให้กับหญิงอื่น เธอไม่ยอมจึงต้องเป็นศัตรูกันเพราะความรัก เป็นเรื่องที่ว่าหากไม่ได้มาก็ต้องใส่ร้ายป้ายสี

 

 

เมื่อได้เห็นโครงเรื่องแล้ว เฉินฝานซิงก็แค่นหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

 

 

ผู้กำกับคนไหนนะที่เลือกบทนี้ จะว่าไป ช่างเป็นบทที่เหมาะกับเฉินเชียนโหรวซะจริงๆ

 

 

ละครเรื่องแรกสำหรับซูเปอร์สตาร์ที่เพิ่งกลับประเทศมา ตัวแทนบริษัทฉลาดมากที่ไม่ได้รับงานให้เขาเป็นพระเอก

 

 

นั่นทำให้เฉินฝานซิงถอนหลายใจออกมาเล็กน้อย ถึงเขาจะครองตำแหน่งซุปเปอร์สตาร์ แต่ในวงการมายานั้นเป็นอะไรที่ซับซ้อน นักแสดงหญิงคนไหนที่เอาอกเอาใจเก่งคนนั้นก็จะถูกดัน การทุ่มเงินเป็นตั้งเพื่อยัดให้เข้าไปมีส่วนร่วมเพียงเล็กน้อยในละครเรื่องนั้นๆ ก็มีให้เห็นถมไป ดังนั้นบทบาทและนักแสดงจึงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน

 

 

ถึงตอนนั้นหากยอดขายขาดทุน คนที่ตกเป็นแพะรับบาปก็คือผู้รับบทพระนาง

 

 

ฉู่อี้เพิ่งจะคว้าตำแหน่งซูเปอร์สตาร์ กลับมารับงานในประเทศครั้งแรกก็ทำเอาน่าตกใจราวกับยกหินทุ่มใส่เท้าตัวเอง

 

 

ว่าไป การรับบทพระรองก็ถือเป็นความกรุณาแล้ว

 

 

ก็อย่างกับที่เขาพูดไว้ตั้งแต่แรกนั่นแหละว่า กลับมาเพื่อทดแทนคุณสื่อโทรทัศน์ของบ้านเกิด ประโยคนี้ก็ฟังดูไม่ผิดเพี้ยน

 

 

นักแสดงนำของเรื่องนี้คือศิลปินของฟู่เฉิงไห่น่าที่กำลังมาแรงในตอนนี้อย่างฉายจิ้นอวิ๋น

 

 

นักแสดงนำหญิง คือเหลียงซวี่เอ๋อร์ที่ใครๆ ต่างก็รู้กันว่าเธออยู่ภายใต้การดูแลของ คุณลี่ถิงเซินผู้ลึกลับและไม่มีใครกล้าแหย็มคนนั้น

 

 

จากกองทัพนักแสดงที่เอ่ยมานั้น ก็ทำให้แน่ใจได้เลยว่านี่คือหนังฟอร์มยักษ์

 

 

ทว่าระยะเวลาการเปิดกล้องนั้นเร็วเกินไป

 

 

เวลาในการโปรโมตน่าจะประมาณหนึ่งเดือนก่อนการถ่ายทำจริง

 

 

สวี่ชิงจือยกหน้าที่ให้เฉินฝานซิงดูแลฉู่อี้อย่างถี่ถ้วน และเหนือสิ่งอื่นใดนั่นก็คือต้องปรนนิบัติฉู่อี้เป็นอย่างดี

 

 

เฉินฝานซิงรู้จักนิสัยฉู่อี้เป็นอย่างดี ถึงได้ปรนนิบัติเข้าได้ราวกับเป็นบรรพบุรุษ

 

 

ตลอดระยะเวลาสองวันที่อยู่กับฉู่อี้ คำทำนองที่ว่า ‘เธอเป็นถึงพี่ใหญ่ของฉัน ฉันจะให้เธอมาลำบากได้ยังไง’ เป็นเพียงแค่คำที่พูดออกมาไปอย่างนั้น

 

 

ราวกับว่าการไหว้วานฉู่อี้ที่แสนยากเย็นในช่วงบ่ายจะสูบเอาเรี่ยวแรงของเธอไปจนหมดเกลี้ยง หลังจากเลิกงาน เธอกะว่าจะไปพักผ่อนให้เต็มที่ แต่ทว่าเธอกลับถูกใครบางคนดักทางขณะอยู่ใต้บริษัท

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 162 คลับปี้หวงอวี๋เล่อ

 

 

“คุณหนูใหญ่ครับ คืนนี้ที่บ้านจัดงานเลี้ยงดินเนอร์ นายหญิงจึงมารับคุณด้วยตัวเอง”

 

 

คนขับรถยืนเคารพต่อหน้าเธอ แล้วเบี่ยงตัวเพื่อหลีกทางให้เธอขึ้นรถ

 

 

เฉินฝานซิงเงยหน้าขึ้นมองประตูรถที่เปิดอยู่จนเห็นใครบางคนที่อยู่ข้างในนั้น

 

 

นั่นก็คือเจียงหรงหรง

 

 

“ฉันเชื่อว่าเฉินเชียนโหรวน่าจะรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันก่อนให้ฟังทุกฉากทุกตอน ดินเนอร์ครอบครัวเองก็ไม่เห็นว่าจะเกี่ยวข้องกับฉันสักเท่าไหร่”

 

 

“ฉันลงทุนมารับถึงที่ แกแน่ในเหรอว่าจะแข็งข้อกับฉันอยู่อย่างนี้”

 

 

เฉินฝานซิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หากคุณยังอยากดื่มด่ำกับวิวที่นี่บนรถคันนั้นต่อไปก็เชิญ”

 

 

ว่าเสร็จเธอก็ยกเท้าขึ้นเตรียมจะเดินจากไป แต่สุดท้ายเสียงขุ่นๆ ของผู้เป็นย่าก็ได้ดังขึ้น “ครั้งนี้พูดคุยกันเรื่องงานครบรอบของบริษัท ปู่ของแกจงใจอยากให้แกเข้าร่วม หน้าฉันแกก็ไม่ไว้แล้ว หรือแกจะเมินคำพูดของปู่แกด้วยอีกคน”

 

 

เท้าของเธอหยุดชะงัก เจียงหรงหรงเห็นว่าเธอเริ่มโอนอ่อน ก็พูดเสริมขึ้นอีกว่า “คืนนี้ปู่แกก็อยู่”

 

 

 

 

ณ คลับปี้หวงอวี๋เล่อ

 

 

สมคำขนานนามที่ว่าเหมืองทองแท้จริง ที่นี่มักเป็นสถานที่ที่พวกนักธุรกิจกระเป๋าตุงชอบนักชอบหนา

 

 

เฉินฝานซิงยืนอยู่ตรงทางเข้า เงยหน้าขึ้นมองความวิจิตรตระการตาของสถานบันเทิงแห่งนี้ ความหนาวเหน็บพลันผุดขึ้นใจก้นบึ้งของจิตใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

 

“ไปกันเถอะ”

 

 

เจียงหรงหรงเดินลงมาจากหลังรถ เธอใช้ไม้เท้าค้ำยันเพื่อก้าวไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของเฉินฝานซิงแล้วเอ่ยขึ้นเสียงต่ำก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน

 

 

เธอละสายตากลับมามองร่างของเจียงหรงหรงที่ไม่ได้ดูสูงโปร่งสักเท่าไหร่ นัยน์ตาของเธอหม่นลงเล็กน้อยก่อนจะยกเท้าก้าวเดินตามเธอเข้าไป

 

 

ขณะที่เจียงหรงหรงอยู่บนขั้นบันได ไม้เท้าในมือดันไม่ได้ตกลงไปบนขั้นที่สองของบันได ร่างของเธอเซจนแทบจะล้มไปต่อหน้าต่อตา

 

 

จิตใต้สำนึกสั่งให้เฉินฝานซิงรีบรุดเข้าไปข้างหน้าสองก้าวแล้วเอื้อมไปพยุงผู้เป็นย่าเอาไว้ จนร่างของเจียงหรงหรงทิ้งเข้ามาในอ้อมแขนของเธอ

 

 

เธอตกใจอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าของเธอดูซีดลงไปชั่วขณะ

 

 

“ไม่เป็นไรใช่ไหม”

 

 

เฉินฝานซิงก้มลงเก็บไม้เท้าขึ้นมาส่งคืนให้เธอ

 

 

เจียงหรงหรงตั้งสติแล้วแหงนหน้าขึ้นมองหลานสาว

 

 

เฉินฝานซิงหันหน้าหนีอย่างไร้อารมณ์ มือของเธอรั้งแขนของหญิงชราไว้แล้วประคองเธอขึ้นบันใดไป

 

 

หลังจากนั้นจึงดึงมือออกมาอย่างนิ่งเฉย

 

 

เจียงหรงหรงมองหลานสาวอีกครั้ง ดวงตาเฉียบแหลมของเธอคู่นั้นตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ

 

 

เฉินฝานซิงยังคงดูเย็นชาและระแวดระวัง

 

 

เมื่อก่อนเธอไม่ได้เป็นเช่นนี้

 

 

ตอนนี้ยังคงจำได้รางๆ ยามที่เธอยังเป็นเด็กน้อย ในตอนนั้นเธอเองก็เคยใส่กระโปรงงดงามสดใส พร้อมกับรอยยิ้มที่หวานจับใจ

 

 

ร่างน้อยๆ นั่งอยู่ในอ้อมกอดของเธอ ครั้งแรกที่ปอกส้มเป็น มือป้อมๆ เล็กๆ นุ่มนิ่มสีชมพูคู่นั้นนำกลีบส้มที่ปอกเสร็จแล้วยัดใส่ปากของเธอ

 

 

ครั้งหนึ่งหลานตัวน้อยยังเคยร้องเพลงเพี้ยนๆ ต่อหน้าเธออย่างสนุกสนาน บิดก้นเล็กๆ นั้นเต้นแร้งเต้นกาไปมา

 

 

และก็เป็นฝานซิงอีกเช่นเคยที่นำพาเสียงหัวเราะมาให้กับบ้านในตอนนั้น

 

 

ทุกคนต่างก็มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เฉินฝานซิง ราวกับเธอเป็นองค์หญิงตัวน้อยๆ

 

 

ทว่าองค์หญิงตัวจริงของบ้านสกุลเฉินกลับไม่ใช่เธอ

 

 

นัยน์ตาเลื่อนลอยค่อยๆ ชัดเจนขึ้น

 

 

ใช่แล้ว เจ้าหญิงตัวจริงไม่ใช่เธอ

 

 

เจียงหรงหรงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะพาเฉินฝานซิงไปยังห้องที่ได้จองเอาไว้

 

 

ทว่านาทีที่ประตูห้องนั้นเปิดออกจนเห็นคนจำนวนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างใน ประกายในแววตาคู่นั้นของเฉินฝานซิงก็ค่อยๆ หมองลง มันทั้งแข็งแกร่งและหนาวเหน็บราวกับก้อนหินที่ถูกประทับด้วยน้ำค้างแข็งในยามรุ่งสางของฤดูหนาว

 

 

เจียงหรงหรงที่อยู่ข้างๆ เหลือบไปมองเธอ “เข้าไปนั่งข้างในก่อน!”

 

 

เฉินฝานซิงหันไปมองเธอแล้วเอ่ยถามเสียงเย็น “แล้วคุณปู่ล่ะ”

 

 

“ยังไม่มา!”