ตอนที่ 76-3 ตกลงร่วมมือ

ชายาเคียงหทัย

“คุณชายฉู่กำลังคิดถึงผู้ใดหรือเปล่า” หานหมิงซีเท้าคางมองเยี่ยหลีด้วยความสงสัย หากเขามองไม่ผิด เมื่อครู่เขาเห็นแววตาคิดถึงหรือไม่ก็เป็นห่วงเป็นใยในดวงตาของหนุ่มน้อยที่ลอบจัดและลึกลับผู้นี้

 

 

           “คุณชายหานมาเพื่อคุยเรื่องส่วนตัวเช่นนี้กับข้าน้อยหรือ” เยี่ยหลีปรายตามองเขาก่อนเอ่ยถามเรียบๆ

 

 

           หานหมิงซีขมวดคิ้วยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ตอนนี้ไม่มีเรื่องอันใด คุยสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก”

 

 

           “พอดีเลย เช่นนั้นคุณชายหานลองพูดเรื่อง…ตำนานเฟิงหลิวของท่านดีหรือไม่ ช่วงนี้ข้าน้อยมีความสนใจเรื่องวรรณกรรมเป็นอย่างมาก ข้าเขียนหนังสือสักเล่มให้ชื่อว่า…เรื่องเล่าคุณชายเฟิงเย่ว์ดีหรือไม่” เยี่ยหลีเหลือบตามองเขายิ้มๆ

 

 

           “เจ้านี่ช่างน่าเบื่อเสียจริง” หานหมิงซีบ่นพึมพำขึ้น ในเมื่อเจ้าฉู่จวินเหวยผู้นี้รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์กับเทียนอี้เก๋อได้ เช่นนั้นการที่รู้ว่าน้องชายของคุณชายหมิงเย่ว์ ซึ่งก็คือตัวเขา หานหมิงซี คือคุณชายเฟิงเย่ว์ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ก็มิใช่เรื่องน่าแปลกใจอันใด แต่การที่รู้ถึงชื่อเสียงของเขาแล้วไม่มีท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์เหมือนคนทั่วไปนั้น ทำให้หานหมิงซีรู้สึกว่าคนผู้นี้ดูจะน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว “พวกเราถือเป็นคนคุ้นเคยกันแล้ว จะเรียกกันคุณชาย คุณชาย ก็ฟังดูน่าเบื่อเกินไป เรามาเรียกกันด้วยชื่อดีกว่าหรือไม่ ข้าเรียกเจ้าว่าจวินเหวย ส่วนเจ้าเรียกข้าว่าหมิงซีก็พอ”

 

 

           เยี่ยหลีกะพริบตาเบาๆ ทีหนึ่ง จวินเหวย หมิงซีหรือ เหตุใดนางถึงรู้สึกแปลกๆ กับการเรียกเช่นนี้นะ

 

 

           “พี่หาน” เยี่ยหลีจ้องเขาเป็นการเตือนว่าเขาควรพูดเข้าเรื่องได้แล้ว

 

 

           “เอาเถิด จวินเหวยอายหรือ” หานหมิงซีกะพริบดวงตาหวานและมีเสน่ห์ของตน แล้วถือโอกาสก่อนที่เยี่ยหลีจะเอาเรื่อง ปรับสีหน้าของตนให้เป็นการเป็นงาน “สิ่งที่เจ้าต้องการข้าสืบหาให้เจ้าได้เกือบหมดแล้ว แต่เจ้าก็รู้ดีว่าพวกเราอยู่ที่ต้าฉู่ แต่สิ่งที่เจ้าต้องการสืบหาทั้งข่าวสารและผู้คนนั้นอยู่ที่หนานเจียง ดังนั้นนี่จึงเป็นข้อมูลเพียงส่วนเดียวเท่านั้น ส่วนที่เหลือไว้รอเจ้าเข้าไปยังหนานเจียงก่อน แล้วข้าจะให้คนทยอยส่งไปให้ถึงมือเจ้า เพียงแต่…ข้านึกแปลกใจจริงๆ จวินเหวยเจ้าอายุยังน้อย เหตุใดจึงนึกอยากไปหนานเจียงได้ แต่ต่อให้ไปเพื่อท่องเที่ยว…ก็ดูไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหาข้อมูลของราชวงศ์หนานจ้าวและธิดาเทพแห่งหนานเจียงหรอกกระมัง”

 

 

           เยี่ยหลีพูดด้วยสีหน้าเช่นเดิมว่า “ความจริงก็คือ ข้าน้อยไปที่หนานเจียงเพื่อหายาตัวหนึ่ง และยาตัวนี้ดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์หนานจ้าวและหนานเจียงอยู่”

 

 

           หานหมิงซีเลิกคิ้วขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงประหนึ่งล้อเล่นว่า “จวินเหวย เจ้าควักเงินจ่ายให้อย่างใจใหญ่ พี่เองก็จะไม่ใจแคบกับเจ้า เจ้าต้องการยาตัวใดบอกข้ามาก็ได้ ข้าจะให้คนนำกลับมาให้เจ้า เหตุใดถึงต้องเดินทางตั้งไกลด้วยตนเองด้วยเล่า อย่างไรเจ้าคงมิได้อยากได้ ‘ดอกโยวหลัวหมิง’ ที่เป็นสมบัติล้ำค่าของหนานเจียงหรอกกระมัง”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ถูกแล้ว”

 

 

           รอยยิ้มบนใบหน้าของหานหมิงซีหุบลงทันที เขาได้แต่ถอนใจแล้วพูดว่า “เจ้านี่ช่าง…ดอกโยวหลัวหมิงเป็นสมบัติอันล้ำค่าของหนานเจียง มีธิดาเทพของหนานเจียงเป็นผู้ดูแล อย่าว่าแต่คนธรรมดาทั่วไปเลย ต่อให้เป็นท่านอ๋องของหนานจ้าวที่อยากได้ ก็ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ จวินเหวย เจ้าแน่ใจว่าจะไปจริงๆ หรือ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความแน่วแน่ “หากมิเช่นนั้นแล้ว ข้ามีความจำเป็นอันใดที่จะต้องควักค่าตอบแทนจำนวนมากเช่นนั้นเพื่อซื้อข้อมูลจากเทียนอี้เก๋อหรือ ข้าจะต้องเดินทางไปหนานเจียงให้ได้ ดังนั้นจึงต้องรบกวนให้พี่หานช่วยเตรียมข้อมูลทั้งหมดให้ละเอียดสักหน่อย อย่าให้ตัวข้าไปแล้วมิได้กลับมา จะทำให้ท่านมีคู่ค้าน้อยไปอีกหนึ่งคน”

 

 

           “เท่าที่ข้ารู้ ถึงแม้จะว่ากันว่าดอกโยวหลัวหมิงมีฤทธิ์ทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้ แต่เคยมีใครใช้ชุบชีวิตคนหรือไม่นั้นข้าไม่รู้ แต่ที่รู้คือคนที่คิดอยากได้มันต้องสละชีวิตกันไปแล้วไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร จวินเหวยอยากได้มันไปช่วยชีวิตใครอย่างนั้นหรือ” หานหมิงซีเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นกังวล “เขาป่วยหรือโดนพิษอันใดไป บางทีข้าอาจช่วยเจ้าสืบหาวิธีการรักษาทางอื่นได้”

 

 

           เมื่อเห็นหานหมิงซีดูเป็นกังวลกับนางเช่นนี้ เยี่ยหลีจึงอดรู้สึกผิดในใจไม่ได้ รีบเอ่ยตอบว่า “ไม่ต้องหรอก ข้าก็เพียงทำเต็มความสามารถของข้าเท่านั้น หากไม่สำเร็จจริงๆ ข้าก็จะไม่พาตนเองเข้าไปเสี่ยงชีวิตหรอก”

 

 

หานหมิงซีพยักหน้า พร้อมเอ่ยเตือนว่า “เจ้าคิดเช่นนี้จริงๆ ก็ดีแล้ว ที่หนานเจียงนั้นไม่เหมือนกับทางจงหยวนของเรา ที่นั่นมีความโหดเ**้ยมอยู่มาก แม้แต่คนของเทียนอี้เก๋อเราก็มีหลายคราที่ติดอยู่ในหนานเจียงจนออกมาไม่ได้”

 

 

           “ข้ารู้แล้ว ขอบคุณพี่หานมาก” เยี่ยหลีพยักหน้ารับคำ แล้วหันไปหยิบขวดแก้วเล็กๆ ที่ประณีตงดงามออกมาจากกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะ ภายในบรรจุของเหลวที่เขียวอ่อนอยู่กว่าครึ่งขวด “นี่คือสิ่งที่ก่อนหน้านี้ข้ารับปากจะทำให้พี่หาน หวังว่าพี่หานจะพอใจ”

 

 

           หานหมิงซีรับมาด้วยความใคร่รู้ เพียงเปิดฝาขวดออก กลิ่นหอมอ่อนๆ จากดอกไม้ก็ลอยขึ้นมาอบอวลไปทั่วห้องโถงใหญ่ทันที หานหมิงซีพูดด้วยความยินดีว่า “นี่คือ…กลิ่นดอกหลัน…”

 

 

           “ถึงแม้กลิ่นนี้ดูจะไม่ถูกกับจริตความชอบของพี่หานสักเท่าไร แต่ตอนนี้คงต้องขอให้ท่านรับไว้ก่อน” อันที่จริงๆ เยี่ยหลีไม่ค่อยเข้าใจผู้ชายที่ชอบทำให้ตนเองมีกลิ่นหอมฟุ้งสักเท่าไรว่าทำไปเพื่ออันใด แต่นางเลือกที่จะเคารพในความชอบของคู่ค้าที่เพิ่งทำความรู้จักกันใหม่ผู้นี้

 

 

           หานหมิงซีมิได้สนใจเลยแม้แต่น้อย เขาถือขวดแก้วเล็กๆ ในมือไว้ไม่ยอมปล่อย “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร นี่ดีมากแล้วจริงๆ ขอบคุณจวินเหวยมาก ก่อนหน้านี้ที่จวินเหวยเคยพูดไว้เรื่องเครื่องแป้งและเครื่องหอมของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์และร้านซวินหย่าเก๋อนั้น ก็เป็นอันตกลงตามนี้เลยก็แล้วกัน ต่อไปเครื่องหอมและเครื่องแป้งของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ทั้งหมด จะสั่งจากร้านซวินหย่าเก๋อ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าพร้อมยิ้มน้อยๆ “เช่นนั้นก็ขอบคุณพี่หานมาก”

 

 

           “ไม่ต้องขอบคุณๆ อย่างไรพวกเราก็ถือว่าอำนวยประโยชน์ซึ่งกันและกันนี่ จวินเหวย ครั้งหน้าเจ้าให้กลิ่นที่แรงกว่านี้หน่อยได้หรือไม่ สิ่งนี้ดูจะดีกว่าเครื่องหอมอยู่มาก หากวางขายที่ซวินหย่าเก๋อจะต้องทำเงินได้มากอย่างแน่นอน”

 

 

           เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “สิ่งนี้ทำไม่ง่ายเท่าไรนัก แม้แต่ของที่อยู่ในมือพี่หาน ในซวินหย่าเก๋อก็มีเพียงห้าขวดเท่านั้น อีกเรื่องหนึ่ง…พี่หาน อันที่จริงข้ามีคำถามที่อยากถามมาตลอด”

 

 

           “เชิญถามได้เลย ข้าเป็นพี่ หากข้าตอบได้ ข้าก็จะตอบให้เจ้ารู้อย่างไม่ปิดบัง” เมื่อได้ของดีมาครอบครอง หานหมิงซีจึงอารมณ์ดีมากอย่างน้อยครั้งนักจะได้เห็น จึงโบกมือขึ้นพร้อมพูดอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

           เยี่ยหลีมองเขา ก่อนพูดว่า “ด้วย…งาน…เช่นนั้นของท่าน การที่ท่านทำตัวให้หอมฟุ้งเช่นนี้ท่านจะทำงานสะดวกหรือ” หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปยังไม่เท่าไร แต่หากเขาไปเด็ดดอกไม้ในบ้านคนที่มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา หรือคนที่มีวิทยายุทธ์แล้ว กลิ่นหอมเช่นนี้ หากไม่จมูกเสียจริงๆ อย่างไรก็ต้องได้กลิ่นมิใช่หรือ

 

 

           หานหมิงซีอึ้งไป ครู่ใหญ่ถึงได้เข้าใจว่างานที่เยี่ยหลีพูดถึงนั้นหมายถึงสิ่งใดจึงหันไปถลึงตาใส่นางอย่างไม่นึกสนุกด้วย “เจ้ายังเป็นแค่เด็กอมมือ จะมาเข้าใจความซับซ้อนของชายหนุ่มได้อย่างไร พวกสาวสวยทั้งหลายชื่นชอบกลิ่นหอมของข้ากันทั้งนั้น”

 

 

           เยี่ยหลีพูดต่อไม่ถูก คิดว่านางไม่เคยเจอผู้ชายมาก่อนหรือไร น้องห้าตระกูลสวี แล้วยังม่อซิวเหยา เฟิ่งจือเหยา รวมถึงม่อจิ่งหลีด้วยนั้น แต่ละคนอย่างมากก็เพียงประพรมกลิ่นหอมอ่อนๆ ลงบนเสื้อผ้าเท่านั้น อย่างกลิ่นหลงเหยียน กลิ่นเซ่อ หรือกลิ่นถานพวกนั้น อย่างม่อซิวเหยาคงเพราะอยู่แต่ในห้องหนังสือเป็นเวลานานๆ ทำให้บนตัวมีกลิ่นหมึกอ่อนๆ อยู่ แต่นางมิเคยเห็นผู้ชายคนใดที่ใช้กลิ่นหอมที่เย้ายวนเช่นนี้ เหตุใดเขาถึงไม่ทำตัวเองให้เหมือนที่จุดกำยานไปเลยเล่า

 

 

           หลังจากที่นางรับปากว่าหลังจากกลับจากหนานเจียงแล้ว จะลองดูว่าสามารถทำเครื่องหอมที่ดีกว่านี้ให้เขาได้หรือไม่ และส่งหานหมิงซีที่มีสีหน้าไม่อยากไปกลับไปแล้ว เยี่ยหลีถึงได้นั่งลงดูของที่หานหมิงซีนำมาให้

 

 

           “คุณชาย พวกเราจะออกเดินทางไปหนานเจียงกันเมื่อไรหรือขอรับ” องครักษ์ลับสามและสี่วางของที่เยี่ยหลีสั่งให้ซื้อกลับมาไว้ให้เยี่ยหลีดู พร้อมหันมองเยี่ยหลีที่นั่งอ่านม้วนกระดาษอยู่

 

 

เยี่ยหลีไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง เพียงมองจ้องม้วนกระดาษในมือพร้อมเอ่ยว่า “เรื่องในกว่างหลิงจัดการไปได้พอสมควรแล้ว มะรืนนี้จะออกเดินทางแต่เช้า พวกนี้พวกเจ้าก็ลองอ่านดูเสียหน่อย” นางพูดพร้อมกับดึงกระดาษสามสี่แผ่นออกมา องครักษ์ลับหนึ่งและสองรับมาพร้อมหาที่นั่งนั่งลงตั้งใจอ่าน

 

 

           “อีกเรื่อง มะรืนนี้ที่ข้าไป พวกเจ้าตามข้าไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”

 

 

           ทั้งสี่คนวางงานในมือลงโดยพร้อมเพรียงกัน มองสีหน้าเรียบเฉยของเยี่ยหลีด้วยคามตกใจ “พระชายา…คุณชาย นี่…” องครักษ์ลับหนึ่งขมวดคิ้ว หนานเจียงไม่เหมือนกับจงหยวน พวกเขาไม่คุ้นเคยกับทั้งสถานที่และผู้คน การที่พระชายาพาผู้ติดตามไปด้วยเพียงคนเดียวนั้นอันตรายเกินไป

 

 

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้พวกเขา “พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่าหากพวกเราไปกันห้าคนจะเป็นที่สะดุดตาเกินไป คนทางหนานเจียงไม่เป็นมิตรกับคนต่างถิ่น กลุ่มพวกเรานี้ เพียงแค่เหยียบเข้าไปทางหนานเจียงก็คงถูกจับตามองแล้ว”

 

 

           “แต่คุณชายขอรับ ท่านพาคนติดตามไปคนเดียวนั้นอันตรายเกินไป หากเกิดอันใดขึ้น…” องครักษ์ลับสามเอ่ย

 

 

           “พวกเจ้าไม่เชื่อใจข้าหรือไม่เชื่อใจตนเองหรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้วพร้อมเอ่ยถาม

 

 

           ทั้งสี่หันมองหน้ากัน คิดหาเหตุผลมาตอบโต้ไม่ถูก เยี่ยหลีหัวเราะ “เอาล่ะ ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน องครักษ์ลับสามไปกับข้า องครักษ์ลับสี่ เจ้าอยู่ที่นี่ คอยลอบจับตาดูหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ไว้ หากหานหมิงเย่ว์กลับมาหรือมีความเคลื่อนไหวใดๆ ให้รีบส่งจดหมายไปบอกข้าทันที ระวังด้วยอย่าให้พวกมันรู้ตัวได้ องครักษ์ลับหนึ่ง เจ้าไปที่ด่านซุ่ยเสวี่ย หาทางสร้างความวุ่นวายให้กับค่ายทหารที่นั่น หากข้าไม่ส่งจดหมายไปบอก เรื่องอื่นเจ้าก็ไม่ต้องสนใจ ไม่ว่าพบคนของเราหรือคนของตำหนักอ๋องคนใดก็ตาม ก็ให้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แล้วลอบสังเกตการณ์สถาณการณ์ในหลิงโจวด้วย องครักษ์ลับสอง เจ้าออกเดินทางคืนนี้ นำของกับจดหมายไปให้พี่ใหญ่ข้าที่หนานเจียง เมื่อหาตัวเขาพบแล้วก็คอยติดตามอยู่ข้างกายเขาเสียเลย”

 

 

           เมื่อทั้งสี่เห็นว่าเยี่ยหลีกะเกณฑ์ทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้วจึงได้แต่พยักหน้ารับคำสั่ง เยี่ยหลีอมยิ้มมองพวกเขา “หากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ ห้ามติดต่อกับคนในเมืองหลวง ข้าว่า…พวกเจ้าคงรู้ใช่หรือไม่ว่าอันใดที่เรียกว่าคราวจำเป็นจริงๆ”

 

 

           ทั้งสี่ได้แต่ตอบรับ องครักษ์ลับสามดึงผมตัวเองด้วยสีหน้าห่อเ**่ยว คนที่เหลือทั้งสามคนได้แต่ส่งสายตาเห็นใจมาให้ เขาต้องถูกท่านอ๋องจับแยกร่างเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน

 

 

           เยี่ยหลีไม่มีเวลาจะมานั่งสนใจความรู้สึกของลูกน้องตน นางจ้องข้อมูลเกี่ยวกับธิดาเทพแห่งหนานเจียงอย่างครุ่นคิด ธิดาเทพแห่งหนานเจียงมิได้เป็นเพียงชื่อลอยๆ แต่ไม่มีอำนาจอย่างที่นางคิดไว้ในคราแรก กลับกันธิดาเทพแห่งหนานเจียงมีอิทธิพลต่อการเมืองของหนานจ้าวอยู่พอสมควรทีเดียว ในบางเรื่องนางดูจะมีอำนาจเหนือราชวงศ์ของหนานจ้าวเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ธิดาเทพมิอาจแต่งงานและมีทายาทได้ อีกทั้งหากมีธิดาเทพคนใหม่เกิดขึ้น ธิดาเทพคนเก่าจะต้องเข้าไปอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียงเพื่อคอยปกป้องคุ้มครองดอกโยวหลัวหมิง ไม่สามารถออกนอกดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือพบหน้าคนด้านนอกได้อีกเลยตลอดชีวิต ดังนั้นจึงทำให้พวกนางไม่เป็นภัยที่ร้ายแรงต่ออำนาจการปกครองสักเท่าไรนัก ธิดาเทพคนปัจจุบันมีชื่อว่า ซูม่านหลิน ปีนี้อายุยี่สิบสามปี แต่กฎของหนานเจียงมีอยู่ว่า ธิดาเทพจะต้องสละตำแหน่งเมื่ออายุครบยี่สิบแปดปี

 

 

           เยี่ยหลินขมวดคิ้ว ในใจได้แต่คาดเดาว่าที่ธิดาเทพแห่งหนานเจียงต้องการก่อกบฎจะด้วยเพราะเหตุนี้หรือไม่ เพราะถึงอย่างไรการที่หญิงสาวอายุยี่สิบแปดปีที่เคยได้รับความเคารพนับถืออย่างหาที่สุดไม่ได้จะต้องถูกจับไปขังอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันใดไม่รู้อะไรนั่น ทั้งยังไม่อนุญาตให้พบเจอคนภายนอก ไม่ว่ากับใครก็น่าจะเป็นเรื่องที่โหดร้ายพอดูทีเดียว

 

 

           “คุณชาย พวกเราจะไปเอาดอกโยวหลัวหมิงจริงๆ หรือขอรับ” องครักษ์ลับสามเห็นเยี่ยหลีจ้องกระดาษข้อมูลเกี่ยวกับธิดาเทพในมือ แล้วจึงอดถามขึ้นด้วยความอยากรู้ไม่ได้

 

 

           เยี่ยหลีตอบอย่างใจลอยว่า “หากสามารถเอามาได้ แน่นอนว่าย่อมดี แต่เรื่องที่ต้องจัดการในหนานเจียงนั้นต้องมาก่อน” จากนั้นค่อยสอบถามว่าดอกโยวหลัวหมิงมีประโยชน์ต่อร่างกายของม่อซิวเหยาหรือไม่ แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ไป