ตอนที่ 119 รวมตัวในจวนโหวโดยบังเอิญ แม่ทัพช่วยชีวิตคน (4)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ลู่ฮูหยินถอนหายใจอีกครา แล้วคุยกับเหยาเยี่ยนอวี่ “ตามหลักเหตุผลแล้วเรื่องนี้ไม่ควรไปรบกวนคุณหนู แค่อาการป่วยของมารดาอวิ๋นเอ๋อร์ สำนักหมอหลวงก็จนปัญญาจริงๆ ดังนั้นข้าจึงอยากจะเชิญคุณหนูไปจับชีพจรให้นางอีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะฟังแค่คำพูดของคุณหนูเท่านั้น อีกทั้งคุณหนูก็เป็นคนที่ช่วยชีวิตนาง ตอนนี้เกรงว่านางคงจะเชื่อฟังคำพูดของคุณหนูเพียงคนเดียว ถือว่าคุณหนูไปปลอบโยนลูกสะใภ้ผู้น่าสงสารของข้าสองสามคำหน่อยก็ยังดี”

เหยาเยี่ยนอวี่หันกลับไปมองเหยาเฟิ่งเกออย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่พูดไม่จาใดๆ

เหยาเฟิ่งเกอพูดขึ้น “ในเมื่อน้องสาวก็มาแล้ว เช่นนั้นก็ลองไปเยี่ยมพี่สะใภ้ใหญ่หน่อยเถอะ เมื่อวานข้าก็ไปเยี่ยมนางมา นางยังถามถึงเจ้าอยู่เลย แถมยังบอกว่าหากเจ้ามา ต้องไปนั่งเล่นที่เรือนของนาง อย่างไรเจ้าก็ไม่ใช่คนนอก อีกทั้งการช่วยชีวิตคนๆ หนึ่ง ยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น อีกอย่างคงไม่ต้องเห็นแก่ผู้อื่นหรอก แค่เห็นแก่อวิ๋นเอ๋อร์ เด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนี้ก็พอแล้ว”

“ในเมื่อฮูหยินและพี่สาวก็พูดเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นเยี่ยนอวี่ก็คงต้องบังอาจทำการรักษาให้ฮูหยินท่านซื่อจื่ออีกครั้ง”

ลู่ฮูหยินจึงถอนหายใจออกมาพลางสวดมนต์

อาหารมื้อนี้จึงกินอย่างไม่มีความสุขเลย เหตุเพราะเรื่องของเฟิงฮูหยินน้อย หลังจากกินอาหารกันเสร็จ ลู่ฮูหยินก็สั่งให้เหลียนหมัวมัวและซุนฮูหยินน้อยไปดูอาการเฟิงฮูหยินน้อยที่เรือนชิงผิงพร้อมกับเหยาเยี่ยนอวี่ เหลือเพียงเหยาเฟิ่งเกอที่อยู่ข้างกายนาง จากนั้นก็แค่พูดขึ้นว่า “นางก็เจ็บป่วยมานาน เจ้าก็ไม่ต้องติดตามไปแล้ว จะได้ไม่ต้องเห็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดใจ ประเดี๋ยวก็ส่งผลไม่ดีกับทารกในครรภ์ของเจ้า”

เหยาเยี่ยนอวี่ไปดูอาการให้กับเฟิงฮูหยินน้อย ก็เห็นเฟิงฮูหยินน้อยนอนอยู่บนเตียงอย่างสิ้นหวัง เหลือเพียงเรี่ยวแรงที่ใช้ในการหายใจเท่านั้น แม้กระทั่งคำๆ เดียวก็ไม่อาจมีแรงพูดออกมาได้ ทำให้เหยาเยี่ยนอวี่เองก็รู้สึกว่า อาการเยี่ยงนี้ เกรงว่าคงไม่สามารถยื้อเวลาให้มีชีวิตต่อไปได้นานแน่นอน

ในเวลานี้ การมาจับชีพจรในครั้งนี้กลับกลายเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์

ก่อนที่เหยาเยี่ยนอวี่จะจับชีพจรของนาง แค่มองก็รู้ว่าร่างกายของเฟิงฮูหยินน้อยเสียเลือดมากเกินไป หากอยู่ในยุคสมัยปัจจุบัน อาการเช่นนี้สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย แค่ถ่ายเลือดกรุ๊ปเดียวกันเข้าสู่ร่างกาย ทว่าในราชวงศ์ต้าอวิ๋น การรักษาโรคยังคงเป็นการรักษาแบบแพทย์แผนจีนที่สืบทอดกันมาอยู่ จะให้ไปหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ตะวันตกมาจากที่ไหนกัน คงไม่ต้องเอ่ยถึงอย่างอื่น แค่เพียงอุปกรณ์การถ่ายเลือดในยุคปัจจุบันก็ยังไม่มี

เหยาเยี่ยนอวี่จับชีพจรของเฟิงฮูหยินน้อยไปด้วยและครุ่นคิดอย่างเงียบๆ กลับไปหากได้เจอกับเว่ยจาง นางควรถามเขาว่ามีช่างฝีมือที่เหมาะสมที่สามารถทำเข็มฉีดยาได้หรือไม่ แม้ว่านางจะไม่สามารถให้ยาหยดทางหลอดเลือดดำได้ แต่นางสามารถใช้เข็มเพื่อเจาะเลือดและฉีดเข้าเส้นเลือดในจุดนั้นได้ ด้วยวิธีนี้หากมีใครสูญเสียเลือดมากเกินไป อย่างน้อยนางก็สามารถช่วยชีวิตไว้ได้

หลังจากที่จับชีพจรแล้ว เหยาเยี่ยนอวี่ก็ปลอบโยนเฟิงฮูหยินน้อย “ฮูหยินเสียเลือดมากเกินไป ต้องบำรุงร่างกายให้มาก ยาที่หมอหลวงจ่ายมาเพื่อบำรุงเลือดและบำรุงชี่ ท่านก็ควรกินอย่างสม่ำเสมอ อีกอย่างฮูหยินต้องรู้จักปล่อยวาง ถือว่าทำเพื่ออวิ๋นเอ๋อร์ก็ได้”

เฟิงฮูหยินน้อยได้ยินคำพูดนี้ น้ำตาจึงไหลรินลงมาอีกครั้ง

ข้างๆ มีเฟิงฮูหยินที่เป็นมารดาของเฟิงฮูหยินน้อยอยู่ นางก็ถอนหายใจพลางปลอบโยนไปด้วย แล้วยังกล่าวคำขอบคุณให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ในขณะเดียวกัน

สถานการณ์เช่นนี้ เหยาเยี่ยนอวี่ไม่สามารถทนดูได้จริงๆ ดังนั้นนางจึงรีบกล่าวอำลาแล้วออกจากที่นั่น

หลังจากที่ออกจากประตูเรือนชิงผิง ซุนฮูหยินน้อยจึงถามด้วยเสียงเบา “คุณหนูเหยา เจ้าตรวจร่างกายของพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว…”

เหยาเยี่ยนอวี่หันไปมองซุนฮูหยินน้อย ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าเหตุใดซุนฮูหยินน้อยถึงถามเรื่องของเฟิงฮูหยินน้อยซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับตนเอง แต่ความรู้สึกของนางกำลังบอกว่าซุนฮูหยินน้อยไม่น่าไว้วางใจ ทันใดนั้นภายในใจจึงรู้สึกอคติกับซุนฮูหยินน้อยขึ้นมาทันที ดังนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เอื่อยเฉื่อย “ฮูหยินท่านซื่อจื่อแค่ขาดการบำรุงร่างกาย หลังจากที่แท้งบุตรจึงขาดเลือดและชี่ ถ้าหากบำรุงร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ร่างกายก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง”

ซุนฮูหยินน้อยจึงตะลึงงันไปทันที จากนั้นก็คลี่ยิ้มบางๆ พลางพยักหน้า “คุณหนูเหยากล่าวถูกแล้ว”

จากนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินกลับเรือนลู่ฮูหยิน และทางด้านเหยาหย่วนจือก็สั่งคนมาตามเหยาเยี่ยนอวี่ บอกว่าจะกลับจวนแล้ว พอเหยาเยี่ยนอวี่ได้ยิน เลยพลันกล่าวอำลากับลู่ฮูหยินทันที

ลู่ฮูหยินเปรยขึ้น “ถ้ามีเวลาว่างก็มาเยือนที่จวนได้ตลอดเวลา ตามหลักก็ควรที่จะให้คุณหนูพักอยู่ที่นี่สักสองสามวันก่อน แค่ว่าสถานการณ์ของจวนในเวลานี้ เกรงว่าคุณหนูคงไม่เป็นสุข หากอาศัยอยู่นี่ก็คงจะไม่เป็นอิสระ”

เหยาเยี่ยนอวี่ทำได้เพียงกล่าวคำพูดที่แสดงความเกรงใจออกมาสองสามคำ จากนั้นก็เหยียดกายลุกขึ้นแล้วเดินออกมา

ซุนฮูหยินน้อย เหยาเฟิ่งเกอ และซูอวี้เหิงจึงออกไปส่งนางพร้อมกัน เหยาเฟิ่งเกอก็จะไปพบหน้าบิดาของตนตรงเรือนหน้า ซุนฮูหยินน้อยกลับไม่สะดวกที่จะเดินไปเรือนหน้า อีกทั้งซูอวี้เหิงที่เป็นสตรียังไม่ออกเรือนก็ไม่ควรออกไปเพ่นพ่านด้านนอก ดังนั้นพวกนางสองคนทำได้เพียงส่งเหยาเยี่ยนอวี่ตรงประตูเรือนของลู่ฮูหยินเท่านั้น หลังจากนั้นก็หยุดฝีเท้าลงที่นั่น

เหยาเฟิ่งเกอและเหยาเยี่ยนอวี่เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันไป ด้วยเหตุนี้เหยาเฟิ่งเกอจึงเอ่ยถามขึ้น “เจ้าไปดูอาการของฮูหยินท่านซื่อจื่อแล้วเป็นเช่นไรบ้าง”

เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจเสียงเบา แล้วส่ายหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่พูดไม่จา

เหยาเฟิ่งเกอเป็นสตรีที่ชาญฉลาด ทันใดนั้นนางก็เข้าใจ จึงแค่ถอนหายใจลึกยาวออกมาแล้วพูดขึ้น “ทุกคนล้วนมีชะตาชีวิตเป็นของตนเอง!”

“ร่างกายของพี่สาวดีขึ้นมากแล้ว และทารกในครรภ์ก็แข็งแรงดี” ดังนั้นหากเจ้าฉลาดพอก็อย่าไปยุ่งกับเรื่องของผู้อื่น คลอดทารกในครรภ์ของตนออกมาอย่างปลอดภัยและราบรื่นก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที

“ข้ารู้แล้ว” เหยาเฟิ่งเกอจึงลูบหน้าท้องของตน แล้วคลี่ยิ้มบางๆ “ข้าก็เข้าใจในความหมายของเจ้า เจ้าวางใจเถอะ วันพรุ่งนี้ข้าจะสั่งให้คนไปเก็บข้าวของที่เจ้าเก็บไว้ในเรือนของข้า แล้วส่งให้เจ้าที่จวนเหยา”

เหยาเยี่ยนอวี่ตกตะลึงทันที จากนั้นก็นึกถึงสินเดิมเจ้าสาวของตนที่เก็บไว้ในเรือนฉีเสียง ทันใดนั้นก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมา แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางหยุดฝีเท้าและน้อมคำนับให้กับเหยาเฟิ่งเกอ “ขอบคุณพี่สาวยิ่งนัก”

สองพี่น้องจึงค่อยๆ เดินไปตามทางจนไปถึงประตูสองของจวน

เหยาหย่วนจือก็ได้ออกจากห้องอักษรของซูกวงฉงแล้ว ซูกวงฉงที่เป็นท่านโหวก็สมควรที่จะมาส่งเหยาหย่วนจือถึงหน้าประตู ทั้งบิดาและพ่อสามีจึงยืนอยู่ที่นั่น แล้วทำมือคารวะพร้อมกับกล่าวคำพูดที่เกรงอกเกรงใจใส่กัน ท่านซื่อจื่อซูอวี้ผิงกำลังลอบพูดคุยกับอวิ๋นคุนและหันซังเกอด้วยเสียงทุ้มต่ำ ซูอวี้เสียงหันหลังกลับไปก็เห็นเหยาเฟิ่งเกอกำลังเดินมา

เว่ยจางก็มองไปตามทิศทางที่ซูอวี้เสียงมองไป จากนั้นนัยน์ตาก็จับจ้องไปยังเหยาเยี่ยนอวี่

อากาศช่วงเดือนสิบสองของเหมันต์ฤดูนั้นมีแต่ลมทิศเหนือพัดมาไม่หยุดไม่หย่อน ทำให้อากาศเหน็บหนาวยิ่งนัก น้ำแข็งก็ก่อตัวบนพื้น ประตูสองของจวนติ้งโหวมีต้นไม้อายุยืนอยู่สองสามต้น พอถึงช่วงเหมันต์ฤดูทีไร ใบไม้ก็มักจะร่วงจนหมดต้นทุกที มีเพียงกิ่งก้านเท่านั้นที่ยืดออกมาจากลำต้น ทำให้ดูเหมือนท่อนเหล็กยิ่งนัก

เหยาเยี่ยนอวี่สวมใส่ชุดคลุมสีม่วงอ่อน และเสื้อคลุมนั้นห่อหุ้มร่างกายอย่างหนาแน่นตั้งแต่หัวจรดข้อเท้า หมวกกันลมขนสุนัขจิ้งจอกขาวบดบังผมมวยและลำคอเอาไว้ จึงเห็นเพียงใบหน้ากลมที่ดูอ่อนเยาว์และถูกลมพัดจนแดงระเรื่อ

เว่ยจางเป็นบุรุษสายตาดี ในระยะทางที่ห่างกันร้อยก้าว เขาสามารถใช้ลูกธนูยาวยิงเส้นด้ายที่ร้อยเงินตำลึงไว้ได้ นี่พวกเขาห่างกันในระยะแค่สิบกว่าก้าวเท่านั้น เขาแค่มองอย่างตั้งใจก็สามารถเห็นถึงใบหน้าที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ของเหยาเยี่ยนอวี่ ดวงตาคู่นั้นที่คล้ายกับพระจันทร์เสี้ยวหรี่ลงเล็กน้อย เหตุเพราะลมพัดมาแรงเกินไป จากนั้นนางใช้สายตาที่เย็นชาสบตากับเขา

ดังนั้น เขาจึงพยักหน้าเล็กน้อย นางกลับคลี่ยิ้มเล็กน้อย

แม่นางผู้นี้! ภายในใจของเว่ยจางเหมือนมีไฟลุกโชนขึ้นมา เวลาผ่านไปเพียงชั่วพริบตาจู่ๆ เขาก็นึกถึงสีหน้าที่เขาได้พบเจอกับนางที่สวนดอกเหมยในจวนองค์หญิงใหญ่วันนั้น

วันนั้นนางดื่มสุรา ใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มบางๆ และท่าทางเหมือนคนไม่มีหัวใจ ตนเองสารภาพรักกับนาง ทว่านางกลับกล่าวคำขอบคุณอย่างไม่ใส่ใจ ทั้งท่าทางและน้ำเสียงนั้น ราวกับว่าพวกเขากำลังพูดคุยเรื่องที่ไม่สำคัญอะไร

ตอนนี้กลับเป็นอะไรไป หรือว่านางดื่มสุราจนมึนเมาอีกแล้ว?!

หันซังเย่ว์กำลังเสวนากับซูอวี้ผิง อวิ๋นคุนบังเอิญเห็นว่าเว่ยจางกำลังเหม่อลอย ดังนั้นจึงมองไปยังทิศทางที่สายตาของเว่ยจางกำลังจับจ้อง เขาจึงเห็นแม่นางที่ยืนอยู่ท่ามกลางสายลมโดยไม่จำต้องแปลกใจ สายลมหนาวเย็นกำลังพัดเสื้อคลุมตัวหนาของนางไปมา ทำให้นางดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น

ทางฝั่งซูอวี้เสียงและเหยาเฟิ่งเกอก็ได้พูดคุยกันไปสองสามคำ จากนั้นก็พานางเดินมาทางนี้ ส่วนเหยาเยี่ยนอวี่กลับยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน