ภาคที่ 2 บทที่ 116 พูดคุย

มู่หนานจือ

“เดี๋ยว ช้าก่อน!” ทันใดนั้นเจียงเซี่ยนก็รู้สึกว่าสมองของตนเองไม่ค่อยพอใช้ “เจ้าหมายความว่า หลิวชิงหมิงเป็นคนของเจ้า?”

“ก็ไม่ถึงกับเป็นคนของข้าเช่นกัน” หลี่เชียนเอ่ย และถอนหายใจยาวเหยียด สีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก “แค่ยืมมือเขาส่งของให้ท่านเล็กน้อยเท่านั้น เขาเป็นคนของเฉาไทเฮา…แต่เขาเป็นคนมีไหวพริบ อาจจะไม่ได้ตั้งใจช่วยเฉาไทเฮาทำงานก็ได้ ตอนนั้นเฉาไทเฮาอาศัยแม่นมฟางส่งเขาเข้าไปในวัง ถึงแม้ท้องพระคลังจะไม่ใช่สถานที่ที่ดีอะไรนัก แต่คุมคลังสมบัติส่วนหนึ่งของราชสำนัก ก็ถือว่าเป็นสถานที่ที่สำคัญมากเช่นกัน ฝ่าบาทจัดให้เขาอยู่ที่นั่น เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะแม่นมฟาง…”

แม้เจียงเซี่ยนจะเข้าใจแล้ว ทว่าก็ยังคงไม่ค่อยรู้เรื่อง จึงเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “เจ้าหมายความว่า เฉาไทเฮาใช้คนสกุลฟางเป็นเครื่องมือให้หลิวชิงหมิงเข้าวัง? จ้าวอี้น่าจะรู้ว่าคนสกุลฟางถูกเฉาไทเฮากักบริเวณแล้ว เขาจะเชื่อว่าหลิวชิงหมิงเป็นคนของนางได้อย่างไร? แล้วก็คนสกุลฟาง ตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง? เวลานี้ฝ่าบาทว่าราชการด้วยพระองค์เองแล้ว นางน่าจะรู้ดีว่า ขอเพียงฝ่าบาทหานางเจอ นางก็สามารถหนีจากกรงขังได้ แล้วทำไมนางยังต้องให้เฉาไทเฮาใช้เป็นเครื่องมืออีก?”

หลี่เชียนได้ยินแล้วก็เผยสีหน้าดูถูกออกมา พลางเอ่ยว่า “คนแบบแม่นมฟาง เป็นแบบอย่างของคนที่โลภมากลาภหาย แน่นอนว่านางรู้ว่าฝ่าบาทกำลังหานางทั่วทุกที่ แต่นางก็รู้เช่นกันว่า หากนางกระโดดออกไปหาฝ่าบาท เฉาไทเฮาจะไม่มีทางหยุดอย่างเด็ดขาด และด้วยนิสัยของฮองไทเฮา สุดท้ายฝ่าบาทก็อาจจะประนีประนอมด้วย แทนที่ถึงเวลานั้นจะไม่รู้ว่าจะมีจุดจบอย่างไร สู้เชื่อฟังเฉาไทเฮา อยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่วดีๆ และคลอดลูกออกมาแล้วค่อยว่ากันดีกว่า…”

เจียงเซี่ยนเบิกตาโต นางแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยิน และเอ่ยว่า “นางคงจะไม่ได้คิดว่าตนเองคลอดลูกแล้วยังจะรอดใช่หรือไม่?”

หลี่เชียนยิ้มและเอ่ยว่า “จะมีสักกี่คนที่มีสติเช่นท่าน? เวลานี้ฝ่าบาทยอมก้มพระเศียรให้ต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮาเพื่อนาง บางทีนางอาจจะยังเชื่อจริงๆ ก็ได้ว่าตนเองจะโชคดีและรอดไปได้!”

เจียงเซี่ยนไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว

หลี่เชียนเอ่ยว่า “เอาเถอะ พวกเราอย่าสนใจเรื่องพวกนี้เลย ถึงแม่นมฟางจะไม่เต็มใจที่ถูกเฉาไทเฮาใช้เป็นเครื่องมือแค่ไหน พวกนางก็ยินดีทำกันทั้งคู่ พวกเราที่อยู่ข้างๆ เตือนนาง นางยังอาจจะคิดว่าเป็นการยุแยงให้แตกคอกันเสียด้วยซ้ำ”

ไม่ใช่ว่าเจียงเซี่ยนไม่เคยเจอคนแบบนี้

ผลประโยชน์มหาศาลอยู่ตรงหน้า มีน้อยคนมากที่จะยังคงเยือกเย็นได้

หลี่เชียนก็เอ่ยว่า “ของที่ข้าให้ท่าน ท่านถูกใจหรือไม่? ครั้งที่แล้วข้าไปร้านขายเครื่องประดับเงินทองยังเห็นมรกตเม็ดหนึ่งขนาดเท่าไข่ห่านด้วย แต่ไม่มีที่เข้าคู่กัน ข้าจึงไม่ได้ซื้อ…”

เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างตกใจว่า “เจ้าซื้อของพวกนี้ให้ข้าทำไม? ในคลังของข้าไม่ใช่ว่าไม่มีเสียหน่อย?” และเอ่ยอีกว่า “เจ้าเอาเงินมาจากไหน?” แล้วก็นึกถึงที่ตระกูลหลี่ตั้งใจเชิญอาจารย์มาโดยเฉพาะเพื่อติดสินบนคนที่มีอำนาจ จึงรีบเอ่ยว่า “เจ้าคงจะไม่ได้ให้อาจารย์ของพ่อเจ้าจ่ายเงินให้ใช่หรือไม่?”

หลี่เชียนถูกถามจนรู้สึกอุ่นใจ

เจียงเซี่ยนคงกลัวว่าเขาจะทำอะไรเกินตัวเพื่อรักษาหน้า และแอบยักยอกเงินในบ้านไปซื้อของให้นางกระมัง!

“ท่านวางใจ” หลี่เชียนเลิกคิ้วให้เจียงเซี่ยน พลางก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าว และก้มศีรษะเอ่ยข้างหูนางว่า “ข้าแอบเลี้ยงเรือไว้หลายลำ จึงมีรายได้จำนวนหนึ่งทุกปี”

แม้จะรู้ว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรมาหลี่เชียนก็ไม่ใช่คนที่ทำอะไรอยู่ในกรอบ ทว่าเวลานี้เขารู้จักหาช่องทางหาเงินเองแล้ว…ก็ยังทำให้เจียงเซี่ยนตกใจเป็นอย่างมาก

หลี่เชียนเห็นสายตาของเจียงเซี่ยนก็ภูมิใจมาก จึงอดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “ข้าก็โตขนาดนี้แล้ว จะซื้อของอะไรก็คงรับเงินจากฝ่ายบัญชีในบ้านตลอดไม่ได้กระมัง? ข้าเลยคิดหาทางทำการค้าเล็กๆ ยังไม่ถึงกับซื้อทรัพย์สินส่วนตัวหรอก”

เจียงเซี่ยนพยักหน้า

หากนางอยู่ในจุดเดียวกับเขา ก็คงจะทำแบบนี้เหมือนกัน

ถึงอย่างไรแม่ทัพก็ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยการทหาร จะรับสมัครทหารส่วนตัวหรือเลี้ยงหน่วยกล้าตายอะไรพวกนั้น ก็สิ้นเปลืองเงินเกินไป

หลี่เชียนเห็นนางเห็นด้วยจริงๆ ก็รู้สึกดีใจสุดๆ และมีกำลังใจมากขึ้น จึงเอ่ยเสียงนุ่มว่า “เมื่อปีที่แล้วพวกเขายังนำขวดยานัตถุ์มาจากต่างแดนหลายขวดด้วย ท่านรู้จักขวดยานัตถุ์ใช่หรือไม่?” เขาเล่าพลางทำไม้ทำมือ เจียงเซี่ยนพยักหน้า หลี่เชียนจึงเล่าต่อ “ทำจากแก้วหลากสี ไม่เหมือนกับแบบที่กรมวังของพวกเราเผาออกมา แต่เป็นแบบใส วาดรูปพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งของพวกเขา ผมสีทองตาสีเขียว อุ้มเด็กชายคนหนึ่งโดยเปิดเสื้อท่อนบนเผยแขน ภาพนั้นไม่เท่าไร แต่ของถือว่าหายากและแปลกใหม่ ครั้งหน้าข้าจะให้พวกเขาเอามาให้ท่านชมสักอัน ข้าได้ยินพวกเขาบอกว่า ชนกลุ่มน้อยแถบนั้นยังใส่เกลือชนิดหนึ่งไว้ในนั้นด้วย เวลาพวกผู้หญิงรู้สึกไม่สบายก็วางไว้ใต้จมูกและดมสักหน่อยก็หายแล้ว ข้าจะให้พวกเขาเอาเกลือมาให้ท่านสักหน่อยเหมือนกัน หากท่านรู้สึกไม่สบาย ก็สามารถเอาออกมาดมได้”

นี่กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะ?!

เจียงเซี่ยนคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าภาพนั้นตลกมาก นางกลั้นไม่ไหวจึงหัวเราะออกมา แถมยังผลักหลี่เชียนที่อยู่ใกล้นางมากตามใจชอบไปทีหนึ่ง และเอ่ยว่า “ข้าไม่อยากได้ของชิ้นนั้นหรอก! เจ้าอยากดมเจ้าก็ให้คนเอาให้ไปเจ้าเถอะ อย่ามาอ้างชื่อข้าเลย!”

หลี่เชียนคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าน่าสนใจเช่นกัน เขาถูกเจียงเซี่ยนผลักก็ไม่ได้ใส่ใจ และยังคงเอ่ยพลางยิ้มประจบเช่นเดิมว่า “งั้นท่านชอบอะไร? กล้องส่องทางไกล? กระจกตะวันตกที่สามารถมองเห็นหน้าคนได้ชัดมาก? ไม่งั้น…ข้าเอานาฬิกาตะวันตกมาให้ท่านเรือนหนึ่ง ของชิ้นนั้นแม่นยำมาก ว่ากันว่ายังมีอันที่เล็กมากๆ ที่สามารถถือใช้ในมือได้ด้วย ข้าจะเอามาให้ท่านเรือนหนึ่ง…”

เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลว

เจียงเซี่ยนเห็นเขาดูซื่อๆ เหมือนนำของที่ตนเองคิดว่าแปลกใหม่มาให้ดู ก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ และเอ่ยว่า “ของชิ้นนั้นเรียกว่านาฬิกาพก! ก็ไม่ใช่ของหายากอะไรเช่นกัน ว่ากันว่าคนที่มีฐานะเล็กน้อยของชนกลุ่มน้อยเหล่านั้นต่างก็ซื้อไหว”

หลี่เชียนไม่สนใจ และเอ่ยว่า “ที่พวกเราไม่มีใช่หรือไม่? ที่พวกเราไม่มีก็เป็นของหายาก!”               เจียงเซี่ยนหัวเราะ

หลี่เชียนมองแก้มทั้งสองข้างที่ขาวเนียนเพราะมีความสุขของนาง ก็เหมือนช่วงเวลาที่หนาวที่สุดในฤดูหนาวถูกเตารีดรีดไปแล้ว เขามีความสุขและถูกใจจนพูดไม่ออก

เจียหนานควรจะใช้ชีวิตแบบนี้ถึงจะถูก!

มีรอยยิ้มในทุกวัน และไร้ซึ่งความกังวล

ไม่ใช่แอบทำหน้าไม่พอใจอยู่ในมุม ระวังอันนี้แล้วก็ระวังอันนั้น แถมยังต้องคิดหาทางลอบวางแผนทำร้ายคนอื่นอีก

สายตาของหลี่เชียนทอประกายระยิบระยับ

เขาอยากยื่นมือออกไปลูบแก้มของเจียงเซี่ยนมาก อยากรู้ว่าแก้มของนางจะเนียนนุ่มเหมือนกลีบดอกไม้ที่เขาเคยสัมผัสหรือไม่

หลี่เชียนอดที่จะบิดนิ้วมือไม่ได้

ทว่าจู่ๆ เจียงเซี่ยนก็เขย่งเท้าขึ้นมาและมองไปทางทะเลสาบสือช่า แล้วถามเขา “เจ้าไปดูกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครกับหน่วยองครักษ์เล่นปิงฉิวมาหรือยัง?”

นางยิ้มแล้ว หลี่เชียนก็ควรไปทำสิ่งที่ควรทำตามหน้าที่แล้วเช่นกัน

“ดูมาแล้ว” หลี่เชียนยังคงตกอยู่ในความรู้สึกที่สวยงามเมื่อครู่ แม้จะตอบอย่างจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว แต่กลับเอ่ยอย่างตรงไปตรงมามาก “ข้าหาท่านไปด้วยและดูไปด้วย กองกำลังรักษาพระนครพวกนั้นใช้ไม่ได้ จะเล่นปิงฉิวหรือวางมาดไม่มีปัญหา แต่หากลงสนามรบจริงๆ เห็นเลือดจริงๆ เหลือคนไปต่อได้สักสามในสิบก็ไม่เลวแล้ว ข้ารู้สึกว่าการเปลี่ยนผลัดป้องกันที่เฉิงฉินซึ่งบัญชาการทัพหลังของกองบัญชาการห้าทัพเสนอมาก่อนหน้านี้ดีมาก แต่ลุงของท่านต้องเป็นคนแรกที่ไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน”

ไม่เลว หากเปลี่ยนผลัดป้องกัน ความได้เปรียบที่ตระกูลเจียงอยู่กองกำลังรักษาพระนครก็จะถูกทำลายอย่างง่ายดาย ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น เจิ้นกั๋วกงลุงของนางเป็นคนแรกที่จะไม่เห็นด้วย

เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “เจ้าคงจะไม่ได้เสนอแผนการแบบนี้ให้เฉาไทเฮาใช่หรือไม่?”

“จะเป็นไปได้อย่างไร” หลี่เชียนฝืนยิ้มและเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่ต่างอะไรกับหลิวชิงหมิงนั่นเหมือนกัน เพียงแค่สถานการณ์บังคับให้ต้องพึ่งพาอาศัยเฉาไทเฮาเท่านั้น หากมีโอกาสตั้งตัวเป็นอิสระ ก็ต้องตั้งตัวเป็นอิสระอย่างแน่นอน”

เจียงเซี่ยนรู้เรื่องในชาติก่อน นางจึงย่อมรู้ว่าหลี่เชียนไม่ใช่คนที่ยอมอยู่ใต้อาณัติคนอื่น

นางเอ่ยด้วยสีหน้าเช่นเดิมว่า “งั้นพวกเจ้ายังคิดจะกลับซานซีหรือไม่?”

——————–