ภาคที่ 2 บทที่ 117 อนาคต

มู่หนานจือ

ท่าทีของเจียงเซี่ยนกลับทำให้หลี่เชียนตกใจ

เขาตอบอย่างตอบไม่ตรงคำถามว่า “ท่าน…ท่านไม่คิดว่าข้าอหังการหรือ?”

หลี่เชียนหมายถึงที่เขาคิดว่ากองกำลังรักษาพระนครใช้ไม่ได้ หรือที่คิดว่ากองกำลังทหารในเวลานี้จำเป็นต้องเปลี่ยนผลัดป้องกัน?

ไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง เรื่องนี้ก็เคยถูกพิสูจน์มาแล้วในชาติก่อน…กองกำลังรักษาพระนครใช้ไม่ได้จริงๆ และลุงของนางก็จะไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนผลัดป้องกันอย่างเด็ดขาดเช่นกัน

เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “ไม่นี่นา! ข้าคิดว่าเจ้าพูดมีเหตุผล”

หลี่เชียนได้ยิน รอยยิ้มสดใสก็ค่อยๆ หายไปจากใบหน้าของเขา แทนที่ด้วยสายตาลุ่มลึกและสีหน้าจริงจัง ราวกับถอดหน้ากากและเผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา

นี่ถึงจะเป็นหลี่เชียนตัวจริงกระมัง?

เจียงเซี่ยนรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก นางอธิบายว่า “เรื่องนี้เข้าใจยากตรงไหน ก็เหมือนในวัง หากหัวหน้าขันทีคนหนึ่งอยู่ในห้องเครื่องนาน เหล่าขันทีน้อยใหญ่ของห้องชา ห้องของว่าง และฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มก็จะตกลงผลประโยชน์กับเขา มีอะไรก็จะคอยปกป้องกันและกัน ยังเคยมีเรื่องที่ผงกุหลาบหนึ่งเหลี่ยง[1]สามสตางค์ถูกคิดเป็นหนึ่งเหลี่ยงห้าตำลึงรายงานเข้ามา นี่ก็คือธรรมเนียมที่ไม่ดีส่วนหนึ่งของในวังตอนนี้ ทั้งที่ข้ารู้ดี กลับต้องแสร้งทำไม่เป็นไม่รู้ แตะเพียงนิดเดียวก็ส่งผลต่อสถานการณ์ทั้งหมด ข้าแตะต้องผลประโยชน์ของพวกเขา พวกเขาก็จะสู้กับข้า ทว่าไม่เพียงแต่ห้องเครื่องแห่งนี้เท่านั้นที่มีปัญหา ทุกหน่วยงานที่รับใช้ฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์ร่วมแรงร่วมใจกันเช่นนี้ ต่อให้ข้ามีวิธีที่ดีแค่ไหน ก็ทำได้เพียงร้อนใจแต่ทำอะไรไม่ได้ ไม่อย่างนั้น เหตุใดฮ่องเต้แต่ละสมัยในอดีตถึงให้ขันทีอยู่ในตำแหน่งสำคัญล่ะ? พวกเขาเห็นฮ่องเต้มาตั้งแต่เด็กจนโต แล้วก็เพราะไร้ที่พึ่งพิง พวกเขาจึงจำเป็นต้องพึ่งพาฮ่องเต้เพื่อความอยู่รอด เหมือนกับผลประโยชน์ของฮ่องเต้ เวลาที่เหล่าราชเลขาธิการจากสำนักราชเลขาธิการร่วมแรงร่วมใจกัน ก็มีแต่พวกเขาที่ถึงจะสู้ตายก็จะยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับฮ่องเต้ และสู้กับเหล่าราชเลขาธิการจากสำนักราชเลขาธิการ …อันที่จริง ฮ่องเต้ก็ไม่ได้เป็นง่ายขนาดนั้นเช่นกัน!”

เหมือนกับนางในตอนนั้นทุกประการ

ในเมื่อหลี่เชียนมองธรรมเนียมที่ไม่ดีของกองกำลังทหารในเวลานี้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ก็ต้องเข้าใจคำพูดของเจียงเซี่ยนได้อย่างแน่นอน

ตอนที่เขามองเจียงเซี่ยนเอ่ยเรื่องพวกนี้ จิตใจก็หดหู่เล็กน้อย แล้วก็ยิ้มพลางเอ่ยเสียงดังว่า “ข้าคิดว่าท่านคิดถูกแล้วที่ไม่เป็นฮองเฮา”

เจียงเซี่ยนหัวเราะออกมา และเอ่ยอย่างมีความสุขและสบายใจมากว่า “ต่อไปเจ้าอย่าถามว่าข้าจะแต่งงานกับจ้าวอี้หรือไม่อีกเด็ดขาด”

หลี่เชียนพยักหน้า และรับประกันอย่างจริงจังมาก “ข้าจำได้แล้ว”

ทำให้เจียงเซี่ยนหัวเราะไปอีกพักหนึ่ง

หลี่เชียนเอ่ยว่า “ท่านคิดจะแต่งงานไปอยู่ที่ไกลๆ หรือไม่? แบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าวังไปคารวะฝ่าบาทกับฮองเฮาในอนาคตบ่อยๆ แล้ว แถมยังเป็นผู้มีอิทธิพลแถบนั้นได้ด้วย”

นางออกจากเมืองหลวงก็ไม่มีผู้หญิงที่ฐานะสูงศักดิ์กว่านางแล้ว ขุนนางในท้องที่เข้ารับตำแหน่งก็คาดว่าต้องไปคารวะนางทุกคน นางเป็นผู้มีอิทธิพลที่นั่นได้จริงๆ หลักฐานคือ ในชาตินี้ของนาง ราชวงศ์จ้าวแข็งแกร่งมาก

ทว่าความปรารถนาในชาตินี้ของนางก็คืออยากให้จ้าวอี้ถูกโค่นล้มอำนาจ และจ้าวสี่เจ้าเด็กสารเลวนั่นได้เห็นตนเองเดินเฉียดผ่านบัลลังก์ในตำหนักจินหลวนไป

ดังนั้นนางอยู่ที่เมืองหลวงดีกว่า!

ยิ่งกว่านั้นไทฮองไทเฮา…

พอคิดถึงเรื่องพวกนี้ เจียงเซี่ยนก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย นางเอ่ยว่า “ข้าออกจากเมืองหลวงแล้ว ไทฮองไทเฮาจะทำอย่างไร? เจ้ารู้หรือไม่ ในวังฉือหนิง หากอยากเล่นไพ่ก็ยังมีคนไม่พอสำหรับโต๊ะหนึ่งเลย…”

หลี่เชียนคิดดูแล้วก็รู้สึกเงียบเหงา

เขาอดที่จะสงสารและเอ็นดูเจียงเซี่ยนมากไม่ได้ จึงเอ่ยว่า “ไม่งั้น…ข้าให้ชีกูเข้าวังไปรับใช้ท่าน?”

เจียงเซี่ยนไม่เข้าใจ

หลี่เชียนยิ้มและเอ่ยว่า “ก็คือสตรีคนที่ช่วยท่านสืบที่ตรอกใต้เท้าเจิ้งครั้งที่แล้ว เดิมทีนางท่องไปทั่วยุทธภพ ตอนหลังอายุมากแล้ว อยากหาสถานที่หยุดพักและพักผ่อนในบั้นปลายชีวิต ข้าจึงรับนางไว้ นางต้องชอบอยู่เป็นเพื่อนท่านที่ตำหนักอย่างแน่นอน”

เจียงเซี่ยนนึกออกแล้ว

ผู้หญิงที่มีดวงตาสดใสคนนั้น

“ช่างเถอะ” เจียงเซี่ยนกลัวคนแบบนี้เล็กน้อย ผู้ฝึกวิทยายุทธอาศัยกำลังละเมิดข้อห้าม บัณฑิตอาศัยตำราก่อกวนกฎหมาย นางเป็นคนของราชสำนัก จึงกลัวคนแบบนี้ที่สุดแล้ว “หลังจากไป๋ซู่ไป ไทฮองไทเฮาน่าจะเรียกเด็กสาวเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนอีกสองสามคน”

พอเอ่ยถึงตรงนี้ จู่ๆ เจียงเซี่ยนก็นึกถึงคุณหนูสองคนของจวนอันกั๋วกง

หรือว่าเป้าหมายของพวกนางจะไม่ใช่การเข้าวังมาเป็นสนมแต่เป็นไปอยู่เป็นเพื่อนไทฮองไทเฮาที่วังฉือหนิง?

หากตั้งฮองเฮาไม่ได้ ก็คิดหาทางเข้าวังไปรับใช้ไทฮองไทเฮา

ถึงอย่างไรเป็นผู้หญิงที่เคยรับใช้ไทฮองไทเฮาที่วังฉือหนิงและถูกเลือกเป็นสนม ก็ต้องฐานะสูงกว่าสนมที่เข้าวังทางอื่นมาก กระทั่งลูกชายที่คลอดออกมาก็ต้องฐานะสูงกว่าเช่นกัน

เจียงเซี่ยนยิ้มเล็กน้อย

บนโลกใบนี้ไม่มีคนโง่สักคนจริงๆ

นางเอ่ยว่า “เจ้าเองก็ต้องระวังไว้หน่อยเช่นกัน เทศกาลโคมไฟ ฉลองปีใหม่ ขอให้ขุนนางลาออก เป็นปีแรกที่จ้าวอี้ว่าราชการด้วยตนเอง ด้วยนิสัยของเขา ไม่แน่ยังอาจจะเปลี่ยนรัชศกด้วย เรื่องจัดระเบียบขุนนางใหม่นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว เขาแตะต้องกองกำลังรักษาพระนครไม่ได้ เหอเป่ยกับซานซีจึงกลายเป็นที่ที่ต้องแย่งชิง เฉาไทเฮาจะต้องเข้าไปแทรกแซงอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นนางอาศัยเพียงกำลังทหารเล็กน้อยในมือของเฉาเซวียน ก็เกรงว่าคงจะนอนไม่ทันหลับด้วยซ้ำ หากเจ้าอยากกลับซานซี ข้าจะบอกให้ท่านลุงยกฐานที่มั่นเทียนจินให้ฝ่าบาท พวกเจ้ากลับไปซานซี เจ้าก็กบดานอยู่ที่นั่นอย่างสงบเสงี่ยมสักสองสามปี ดูสถานการณ์ในเมืองหลวงแล้วค่อยว่ากัน”

แบบนี้ ตระกูลหลี่ก็กลับซานซีเร็วกว่าชาติก่อนสามปี และด้วยความสามารถของหลี่เชียน ก็น่าจะแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าชาติก่อน

เจียงเซี่ยนมองหลี่เชียนครั้งหนึ่งเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

หลี่เชียนเลือดเดือดพลุ่งพล่าน และมีความคิดชั่ววูบขึ้นมาว่าเขายินยอมที่จะอุทิศตนให้กับคนที่ให้ความสำคัญและคอยสนับสนุนตนเอง

เจียหนานเป็นคนที่มีค่าในชีวิตเขาจริงๆ พอเจอนาง ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็กลายเป็นลงแรงน้อยแต่ได้ผลมากไปหมด

ที่สำคัญที่สุดคือนางเข้าใจเขา

ไม่ว่าเขาจะทำเรื่องเหลวไหลแบบไหน ไม่ว่าเขาจะพูดจาเนรคุณอย่างไร นางก็ไม่ใส่ใจแม้แต่นิดเดียว และตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยรู้สึกว่าเขาแปลกและไม่ทำอะไรตามธรรมเนียม

หลี่เชียนยิ้มตาหยี รอยยิ้มเปลี่ยนเป็นสดใสเหมือนแสงแดดอีกครั้ง

ทว่ารอยยิ้มสดใสนี้กลับแตกต่างจากก่อนหน้านี้

เขาสดใสราวกับวันในฤดูร้อน แล้วก็อบอุ่นราวกับวันในฤดูหนาว แม้แต่ทิวทัศน์รอบด้านก็ยังถูกเขาส่องสว่างไปหมด

เจียงเซี่ยนเหม่อลอยเล็กน้อย

รอยยิ้มนี้…คุ้นเคยมาก

เหมือนนางเคยเห็นจากหลี่เชียนที่ไหน?

เจียงเซี่ยนเหลือบตาลง

หลี่เชียนยับยั้งความตื่นเต้นจากก้นบึ้งของหัวใจไว้ได้แล้ว จึงเอ่ยพลางหัวเราะเบาๆ ว่า “เจียหนาน ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ขอเพียงเจิ้นกั๋วกงยอมยกฐานที่มั่นเทียนจินให้ ข้าจะต้องกลับไปซานซีได้อย่างแน่นอน! ข้ารับประกัน!”

เจียงเซี่ยนขมวดคิ้ว

นี่มันจูงลาไปไหนก็เป็นลาจริงๆ

เพิ่งจะพูดจาจริงจังได้สองประโยคก็เริ่มพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว

อะไรก็จะไม่ ‘ทำให้ท่านผิดหวัง’ …ขอเพียงถึงเวลานั้นตอนที่นางขอให้เขากรีธาทัพ เขาจำสิ่งที่เขาพูดในวันนี้ได้ก็พอแล้ว!

เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “แล้วข้าจะถ่ายทอดคำพูดให้เจ้าอย่างไร? จะหาหลิวชิงหมิงก็ไม่ค่อยเหมาะกระมัง?”

หลี่เชียนคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ข้ามีร้านแป้งทาหน้าอยู่ที่ตรอกเป่าต้าตรอกชุ่ยฮวาร้านหนึ่ง ตรอกนั้นก็มีร้านแป้งทาหน้าแค่ร้านเดียวเช่นกัน ท่านส่งคนไปซื้อแป้งทาหน้าที่นั่น เพียงแค่สั่งน้ำหอมกุหลาบของต้าอี้ ข้าก็รู้ว่าเจิ้นกั๋วกงตกลงที่จะยกฐานที่มั่นเทียนจินให้แล้ว และส่วนที่เหลือ…ก็เป็นงานของข้าแล้ว”

เจียงเซี่ยนตอบ “อืม” คำเดียว และเอ่ยว่า “งั้นเจ้ารีบกลับเถอะ! อากาศหนาวเกินไป ข้าก็จะกลับห้องอุ่นแล้วเหมือนกัน ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยอย่างเร็วที่สุด”

หลี่เชียนเลิกคิ้วพลางยิ้ม และเอ่ยว่า “ท่านไปก่อน ข้าจะอยู่ตรงนี้ เห็นท่านเข้าไปในห้องอุ่นแล้วค่อยไป…”

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเจียงเซี่ยนก็ไม่เคยต้องหลีกทางให้ใคร แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าคำพูดนี้ผิดปกติตรงไหน จึงหันตัวและไปที่ห้องอุ่น

เดินไปได้ครึ่งทาง นางนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงย้อนกลับมาอีก และเอ่ยกับหลี่เชียนว่า “ที่ร้านเจ้ามีน้ำหอมกุหลาบหรือ?”

น้ำหอมกุหลาบมีค่ามากกว่าทองคำ และของมีราคาสูงมาก ทว่ามีคนต้องการซื้อน้อย จึงขายออกยากมาก

หลี่เชียนแสยะปากยิ้ม และเอ่ยว่า “มีหรือไม่ มีอะไรสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือความต้องการของท่านต่างหาก!”

————————————

[1] 1 เหลี่ยง = 50 กรัม