ตอนที่ 565 ฉินมู่ในกระจก

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ฉินมู่นำมังกรน้อยเจียงเหมี่ยวออกไปผ่านสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ จากนั้นก็มองไปรอบๆ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแตกตื่นอัศจรรย์ใจ

สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณอยู่ตรงกลางระหว่างถนนสองเส้นอันปูลาดด้วยหิน แต่ละเส้นกว้างถึงหกสิบวา ในขณะเดียวกันนั้น ที่บริเวณโดยรอบสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณก็คือวัด วิหาร และราชวังเทพยดาโบราณมากมาย อันเหมือนกับเมืองเมืองหนึ่งที่ใหญ่กว่าเมืองเขตมังกรถึงสองเท่า ผู้คนไปมาขวักไขว่ ทำให้สถานที่นี้พลุกพล่านเป็นพิเศษ

วิหารและซากโบราณเหล่านี้ได้ถูกเคลื่อนย้ายจากที่แห่งอื่นในแดนโบราณวินาศ เพื่อป้องกันภัยอันตรายจากความมืด และก็ยังมีรูปสลักหินจำนวนมาก ที่ได้รับการสักการะบูชาด้วยธูปเทียนอันปล่อยควันหอมลอยไปไม่หยุดสาย

หมู่บ้านมากมายได้มาตั้งรกรากอยู่ในเมือง และไม่จำเป็นต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดวันต่อวัน พวกเขาได้กลายเป็นพ่อค้าที่เชื่อมต่อระหว่างแผ่นดินภาคกลางและแผ่นดินตะวันตก

โรงเรียนประถมฐานและวิทยาลัยได้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อสอนวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะ เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่มีแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างสี่มหาสถาบันหรือมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ

และยังมีซากโบราณขนาดมหึมาข้างนอกเมือง เพื่อให้สัตว์พิสดารใกล้ๆ ได้เข้ามาซ่อนตัวจากความมืด เป็นการครุ่นคิดที่ละเอียดถี่ถ้วน

ในเมืองแห่งนี้ สิ่งก่อสร้างเก่าและใหม่ ผุดขึ้นมาอย่างไม่เป็นระเบียบแต่ก็สวยงาม ขับเน้นซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี ฉินมู่เพียงแต่มองดูคร่าวๆ ก็บอกได้ว่าบุคคลที่วางผังเมืองนี้ค่อนข้างมีรสนิยม มีความศิวิไล และมีพรสวรรค์ในการวางผังเมือง สุนทรียรสของเขาได้บรรลุความสำเร็จอันสูงส่ง

กิ่งไม้จากต้นไม้เก่า สร้างการตัดเน้นระหว่างเก่าและใหม่ มันอาจจะเพราะว่าข้าได้เห็นสิ่งก่อสร้างอันเหยเกในสวรรค์ไท่หวงมากเกินไป ข้าถึงรู้สึกสบายตาเหมือนได้กลับบ้านในแดนโบราณวินาศ…

หีบวิ่งออกมาจากสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณข้างหลังเขา และฉินมู่ส่ายหัว หีบเอาแต่ติดหนึบอยู่กับเขา ในเมื่อกิเลนมังกรและฮู่หลิงเอ๋อได้ถูกนำไปยังสนามรบเพื่อฝึกฝนฝีมือ มันก็ตามเขามาโดยไม่ลังเล

“จ้าวลัทธิ ข้าสัมผัสได้ถึงเสียงเพรียกของมังกรเทพยดาอีกแล้ว” เจียงเหมี่ยวกล่าวหลังจากที่มองไปรอบๆ “ตามข้ามา!”

เขาเขย่าร่างและแปลงกายเป็นมังกรตัวเล็ก เขาเหาะออกไปจากเมือง และฉินมู่ก็พาหีบวิ่งไล่ตามเขาไป สู่ส่วนลึกของแดนโบราณวินาศ

แม้ว่าราชครูสันตินิรันดร์จะได้เสร็จสิ้นการก่อสร้างถนนสองเส้นที่เชื่อมต่อแผ่นดินตะวันตก แดนโบราณวินาศ และสันตินิรันดร์ แต่ก็ยังคงมีดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลไร้สิ้นสุดที่มีผู้คนอาศัยอยู่น้อยนิด สถานที่เหล่านั้นล้วนลึกลับเป็นอย่างยิ่ง

ฉินมู่ติดตามเจียงเหมี่ยวลึกเข้าไปในแดนโบราณวินาศ พวกเขาวิ่งตะบึงผ่านภูเขาและแม่น้ำมากมาย เดินผ่านเศษเสี้ยวของซากโบราณต่างๆ เมื่อราตรีมาถึง เขาก็ให้เจียงเหมี่ยวนอนอยู่บนหีบ ส่วนตัวเขาเดินผ่านความมืด หีบติดตามเขาไปข้างหลัง

แดนโบราณวินาศในความมืด แตกต่างจากแดนโบราณวินาศตอนกลางวันโดยสิ้นเชิง เขาสามารถมองเห็นสวรรค์ไท่หวงที่ได้กลายเป็นมวลมืด และเผ่ามารมากมายที่เดินเพ่นพ่านอย่างสะเปะสะปะ

มารพวกนั้นจะเคลื่อนที่ไปพร้อมกับพวกฉินมู่อย่างต่อเนื่อง หรือไม่ก็กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้เป็นระยะ บางทีพวกมันก็จะซ่อนอยู่หลังก้อนหิน และเฝ้าสังเกตพวกเขาอย่างลับๆ ไม่กล้าเข้ามาใกล้

มารพวกนี้ไม่ใช่เผ่ามารในสวรรค์ไท่หวง! แดนมืดในแดนโบราณวินาศไม่ได้มีแค่สวรรค์ไท่หวง!

ฉินมู่ตกตะลึง เดิมทีเขาคิดว่า เผ่ามารในความมืดของแดนโบราณวินาศล้วนมาจากสวรรค์ไท่หวง และเขาก็ได้ไขปริศนาอันยิ่งใหญ่นี้แล้วทั้งหมด กระนั้นเมื่อมองดูอีกที มารพวกนี้กลับไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสวรรค์ไท่หวง

นั่นก็เพราะว่าเมื่อผู้คนแห่งสวรรค์ไท่หวงเห็นแดนโบราณวินาศในความมืด พวกเขาก็จะเห็นแต่เงาอันเลือนราง ในครั้งกระโน้น ซังฮั่วได้เห็นฉินมู่เป็นเด็กหนุ่มที่ก่อขึ้นมาจากความมืด และเมื่อเวลาสิ้นสุด เขาก็แตกสลายไปราวกับเม็ดทรายสีดำ

ขณะที่ในความมืดของแดนโบราณวินาศ ฉินมู่ก็มองเห็นผู้คนแห่งสวรรค์ไท่หวงในรูปแบบเดียวกัน พวกเขามาจากโลกมิติที่แตกต่าง และพวกเขาไม่อาจแตะต้องสัมผัสหรือปฏิสัมพันธ์กันได้แต่อย่างใด

กระนั้นสัตว์ประหลาดในแดนโบราณวินาศกลับต่างออกไป–พวกมันมีตัวตนอยู่จริงในความมืดแห่งแดนโบราณวินาศ!

แดนโบราณวินาศมีความลับมากมายเหลือเกิน…

ฉินมู่ถอนหายใจ และเจียงเหมี่ยวก็ชี้ทางให้แก่เขา พวกเขามุ่งหน้าต่อไป

สองวันให้หลัง พวกเขามายังฟากตะวันตกเฉียงเหนือของแดนโบราณวินาศในตอนที่ดวงอาทิตย์กำลังโคจรขึ้นฟ้าตามปกติ ฉินมู่กวาดสายตาไปรอบๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่นี่ไม่ไกลจากมหานาวาปารมิตาสักเท่าไร ครั้งหนึ่งข้าเคยขับเรือจันทราผ่านที่นี่ ดูนี่ นี่คือรอยเท้าของเรือ”

รอยเท้าใหญ่มหึมาได้กลายเป็นทะเลสาบเล็กๆ ไปแล้ว และถึงกับมีปลาประหลาดที่แหวกว่ายไปมาในนั้น

“เสียงเพรียกของมังกรเทพยดาดังมาจากแถวๆ นี้!”

เจียงเหมี่ยวเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกเขามองไปรอบๆ จากนั้นมุ่งหน้ายังทิศตะวันตก

ฉินมู่ติดตามเขาไปโดยพลัน และพวกเขาก็มาถึงช่องแคบระหว่างภูเขาแห่งหนึ่งทันใดนั้น ทุกอย่างก็กลายเป็นเงียบงัน ไม่มีสุ้มเสียงใดเลยแม้แต่น้อย ฉินมู่ขมวดคิ้วและมองไปยังบริเวณโดยรอบ เขาดึงเจียงเหมี่ยวที่กำลังจะเข้าช่องแคบระหว่างภูเขาตามเสียงมังกรเทพยดาออกมา แล้วกล่าว “ใจเย็นก่อน อย่าเพิ่งตื่นเต้น”

เจียงเหมี่ยวไม่เข้าใจความหมายของเขา

ฉินมู่มองไปในบริเวณโดยรอบ และสายตาของเขาจับไปที่รอยเท้าของเรือจันทรา “นี่คือสถานที่ที่มหานาวาปารมิตาถูกปิดผนึกเอาไว้ มหานาวาปารมิตาเป็นเรืออันหลอมสร้างขึ้นมาจากเผ่าเทพวิศวกรรมเพื่อใช้อพยพย้ายถิ่น พวกเขาได้หมายที่จะใช้มันนำทางสรรพชีวิตในดินแดนของพวกเขาทั้งหมด รวมทั้งเทพและมารแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งไปยังหมู่บ้านไร้กังวล แต่ทว่ามันร่วงตกลงที่นี่เพราะการโจมตีด้วยกำลังเถื่อน เสียงเพรียกของมังกรเทพยดาอาจจะไม่ใช่ของจริง สถานที่นี้ไม่น่าจะมีสัตว์พิสดารใดๆ อาศัยอยู่…”

เมื่อเขาใช้เรือจันทราผ่านสถานที่นี้ เขาได้เข้าไปในห้วงมิติซ้อนทับที่ปิดผนึกมหานาวาปารมิตาใกล้ๆ

รอยเท้าที่เรือจันทราทิ้งเอาไว้หายไปตรงจุดที่พวกเขากำลังยืนอยู่ ในครั้งนั้น เขาได้เผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดและมารเทวะมากมาย พวกมันได้กระโจนขย้ำเรือจันทราอย่างดุเดือด และก็ตายไปเป็นจำนวนมาก

กระนั้นเมื่อเขากลับมายังสถานที่นี้อีกหนหนึ่ง แม้แต่กระดูก เขาก็ไม่พบเห็นสักชิ้น

ตรงหน้าทะเลสาบของช่องหน้าผา ทรายคลี่คลุมพื้นดินไปหมด ไม่มีหินเลยสักก้อน กรวดสักเท่านิ้วก้อยก็ยังไม่มี

มีถ้อยคำขนาดมหึมาปกคลุมผนังผาทั้งสองฟาก แต่พวกมันไม่ได้เขียนไว้ในภาษามนุษย์ แทนที่จะเป็นตัวเหลี่ยมๆ พวกมันดูเหมือนอักษรรูนอันสลับซับซ้อน

ฉินมู่ไม่เข้าไปในช่องหน้าผาแต่กลับยืนอยู่ข้างนอกพลางพิจารณาอักษรรูนบนผนัง “นี่เป็นนิพนธ์เทพแบบที่ใช้ปิดผนึก”

ฉินมู่ขับเคลื่อนวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ และลมหมุนหอบเล็กๆ ก็พวยพุ่งขึ้นมาในช่องผาขณะที่เขาพยายามจะปลุกวิญญาณยักษ์เนินทรายขึ้นมา

แต่ทว่าทรายไหลร่วงลงไป และทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ

เป็นไปไม่ได้! วิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ สามารถปลุกปัญญาในทุกสิ่งทุกอย่าง มอบดวงวิญญาณให้แก่พวกมัน แล้วทำไมมันถึงไม่อาจปลุกปัญญาในทรายและหินที่นี่ได้

เขานั่งยองๆ ลงไปและกำเอาทรายเหลืองขึ้นมาหยิบมือหนึ่ง เขาพลันครางเสียงหนักระหว่างที่ยกมือขึ้นมาด้วยความยากลำบาก

เจียงเหมี่ยวพิศวงและลองทรายขึ้นมากำมือหนึ่งเช่นกัน ทรายเหลืองแต่ละเม็ดนี้หนักอย่างสาหัสสากรรจ์ เทียบเท่ากับน้ำหนักของภูเขา!

ฉินมู่กางนิ้วออก และทรายละเอียดก็ร่วงลงไป เมื่อมันกระทบพื้น มันก็สร้างเสียงกัมปนาทราวอสุนีบาต

“นี่ไม่ใช่ทราย แต่เป็นอาวุธวิญญาณ!”

บนมือของฉินมู่เหลือทรายอยู่หนึ่งเม็ด และเขาเป่ามันออกไปด้วยปราณชีวิตของตน มันพลันลอยขึ้นไปหมุนติ้วๆ และแปรเปลี่ยนเป็นหินทรายที่มีรัศมีกว่าห้าไร่ เมื่อมันบินขึ้นไปบนท้องฟ้า เสียงกรีดแหวกอากาศก็ดังอึงอลไปหมด

เจียงเหมี่ยวกระโดดโหยงด้วยความตกใจและมองไปยังทรายเหลืองทั้งหลายในช่องผา

เม็ดทรายที่นั่นมีมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว บางทีอาจจะมีเป็นหลักพันล้าน หากว่าทรายละเม็ดใหญ่มหึมาอย่างเม็ดที่ฉินมู่เป่าออกไป พวกมันทั้งหมดจะน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน

“นิพนธ์เทพบนสองฝั่งช่องภูเขานั้นคือผนึกที่ไว้ยับยั้งพลานุภาพในเม็ดทรายให้เสถียรคงที่ แต่เมื่อใดที่พวกเราเข้าไป ผนึกและพยุหะก็จะถูกกระตุ้นให้ทำงาน

ฉินมู่เปิดเนตรเทวะและมองไปยังท้องฟ้า เขาพลันพ่นลมหายใจออกมา และหมอกก็พลันแผ่ออกไปทั่วฟ้า ฝนเริ่มตกลงมาอย่างแช่มช้า

กระนั้นมันก็ตกมาไม่ถึงข้างในช่องผา ในทางตรงข้าม มันถูกสกัดกั้นไว้ด้วยม่านคุ้มกันล่องหน น้ำฝนก่อเป็นรูปลูกบาศก์อยู่บนเวหา

“ผนึกที่นี่คล้ายคลึงกับผนึกที่มหานาวาปารมิตา ไม่ใครเข้าไปข้างในได้จากทางอากาศ”

เขาเหาะขึ้นไปและมองเข้าไปในส่วนลึกของช่องผา เขาขมวดคิ้วอย่างหนัก ช่องผานี้ยาวมากกว่าสิบลี้ แต่กระนั้นเมื่อมองออกไปไกลๆ มันกลับหายสาบสูญ ราวกับว่าถูกตัดสะบั้น!

ตรงท้ายช่องผาน่าจะถูกซ่อนเอาไว้อยู่ ฉินมู่เริ่มจะระย่อ

“หากว่าท่านปู่บอดอยู่ที่นี่ เขาสามารถลองไขพยุหะค่ายกลนี้ได้ แต่ด้วยกำลังฝีมือของข้า ก็คงยากที่จะรับมือกับพยุหะปิดผนึกและพยุหะสังหารระดับเทวะนี้ มันอันตรายเกินไป…เจียงเหมี่ยว พวกเรากลับกันเถอะ พวกเราเข้าไปในนี้ไม่ได้”

เจียงเหมี่ยวเผยสีหน้าผิดหวัง กำลังฝีมือของเขายิ่งด้อยกว่าฉินมู่มากนัก หากว่าแม้แต่ฉินมู่ก็ยังกล่าวว่าพวกเขาเข้าไปไม่ได้ เขาก็เองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน

ทันใดนั้น ฉินมู่ก็ตะลึงไป เพราะในจังหวะนั้นตรงหน้าทะเลสาบ เขาเห็นห้วงอวกาศถูกฉีกออก เผยให้เป็นประตู

ฟ้าและดินพลันพลิกเปิด ท้องฟ้าก็ยังไม่อะไรมากและมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติหากว่าไม่เข้าไปมองใกล้ๆ แต่ทว่าแผ่นดินเอาแต่สะเทือนสะท้าน และกระผีกผืนปฐพีก็ปรากฏขึ้นมาจากอากาศธาตุ แยกห่างออกจากประตู ในพริบตาเดียว กระผีกแผ่นปฐพีก็ออกห่างไปหนึ่งร้อยลี้

ถัดไปนั้น ฉินมู่เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยเดินออกมาจากประตู

ในพริบตาที่เงาร่างนั้นปรากฏ เขาก็รู้ทันทีว่าสถานการณ์ย่ำแย่ และหันกายเพื่อหนีไปพร้อมกับเจียงเหมี่ยวและหีบทันที แต่ฟ้าและดินซ้อนทับกันอีกครั้ง และนำพาพวกเขาไปยังประตู

“จ้าวลัทธิฉินผู้ยิ่งใหญ่” เงาร่างที่คุ้นตากล่าวด้วยเสียงที่คุ้นหู อันมีทั้งวี่แววของความประหลาดใจแกมยินดี “โลกมันกลมอะไรอย่างนี้ เจ้าถึงกับนำมังกรตัวหนึ่งและหีบของข้ามาให้ด้วย…อย่าหันกลับมา หันหลังเจ้าให้กับข้าอย่างนั้นนั่นแหละ”

ฉินมู่รู้สึกถึงจิตสังหารที่แผ่พุ่งออกมาจากบุคคลข้างหลังเขา และรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็แข็งทื่อ “ศิษย์พี่ซิงอ้านได้พบกับที่มาของจี้หยกแล้วใช่ไหม ข้าไม่ได้โกหกท่าน ใช่ไหมล่ะ”

“เจ้าไม่ได้โกหกข้า ข้าได้พบเจอซากโบราณมากมายกับร่องรอยของจี้หยก” ซิงอ้านนำกระจกที่ลู่หลีมอบให้เขาออกมา เขาหันหลังให้ฉินมู่ ยกกระจกส่องข้ามบ่าของตนเองและกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เจ้าไม่ได้โกหก แต่เจ้าจงใจหลอกล่อข้ามาที่นี่ และให้ไอ้ใบ้ตัวแสบกักตัวข้าเอาไว้ถึงครึ่งปี หากว่าข้าไม่ได้บรรลุเป็นเทพเจ้า และทำให้ไอ้ใบ้นั่นหนีเตลิดไป ใครจะรู้ว่าข้าจะติดกับอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน! บันทึกเป็นตายอยู่ในมือของเจ้า ใช่ไหม”

ฉินมู่ถูกตรึงอยู่กับที่ด้วยรัศมีของเขา แต่หัวใจของเขาสะท้านสะเทือนอย่างรุนแรง เขากล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “บันทึกเป็นตายถูกเด็กหนุ่มคนหนึ่งแย่งชิงไป ข้าละอายที่จะยอมรับมัน แต่ว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาและเขาได้แย่งชิงไปด้วยกำลัง”

สายตาของซิงอ้านจับจ้องลงบนกระจกอันฉินมู่ดูปกติดี แต่ในพริบตาถัดมา ภาพในกระจกก็ค่อยๆ หันหัวกลับมา

หางตาของซิงอ้านกระตุกอย่างรุนแรง เด็กหนุ่มในกระจกเปลี่ยนแปลงไป และดวงตามารอันเต็มไปด้วยสันดานมารและความปรารถนาทำลายล้างก็ปรากฏที่หน้าผากของฉินมู่ ดวงตามารนั้นค่อยๆ เปิดออกพลางคว้าจับดวงวิญญาณของเขาเอาไว้

มือของซิงอ้านสั่นเทิ้ม และกระจกพลันแตกทำลาย

ซิงอ้านรีบหันไปมองข้างหลังเขา แต่แผ่นหลังของฉินมู่ยังคงหันมาทางเขา เขาไม่ได้หันกลับมา ฉินมู่ในกระจกหันกลับมาชัดๆ!

จิตของเขาโลดทะยาน และรัศมีของเขาก็สะบัดไปไม่เสถียร ฉินมู่ฉวยโอกาสนี้คว้ามังกรน้อยและหีบเพื่อพุ่งทะยานเข้าไปในช่องผา!

…………..