เมื่อฉินมู่นำหีบและเจียงเหมี่ยวเข้าไปในช่องเขา เขาก็เห็นแสงสว่างไหลออกมาจากอักษรรูนมหึมาบนสองฝั่งหน้าผา เสี้ยววินาทีถัดมา ทรายทุกเม็ดทั้งช่องผาได้ลอยขึ้นไปราวกับว่าพายุทรายกำลังจะโหมกระหน่ำ!
“อย่าหายใจ!” ฉินมู่ตะโกนออกไป “ปิดผนึกรูขุนขนของเจ้าให้หมด!”
เจียงเหมี่ยงเข้าใจทันทีว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น และกลั้นลมหายใจของเขาเอาไว้ขณะที่ปิดผนึกรูขุมขนทั้งหมดของเขา
ทรายในช่องผานั้นมิใช่ทรายเหลืองธรรมดา แต่เป็นอาวุธวิญญาณ และไม่ว่าทรายเม็ดใดก็สามารถขยายขนาดออกมาได้ตลอดเวลากลายเป็นหินทรายขนาดใหญ่กว่าห้าไร่!
หากว่าพวกเขาสูดเอาเม็ดทรายเข้าไปในช่องทางเดินหายใจ คอ หรือปอด เรื่องคงจะจบไม่สวย
หากว่าเม็ดทรายเข้าไปในรูขุมขนของพวกเขา และขยายตัวออก นั่นก็น่าสยดสยองเช่นกัน
ในพริบตาก่อนที่ทรายคลั่งจะซัดมาถึงพวกเขา ฉินมู่ก็ถ่ายเทปราณชีวิตเข้าไปในไจกระบี่ของตน และมันก็พลันขยายขนาดออกไป กระบี่บินหลั่งไหลไปดุจสายน้ำ และแปรเปลี่ยนเป็นลูกกลมเหล็กอันกลมเกลี้ยงอย่างสมบูรณ์แบบ ซ่อนพวกเขาเอาไว้ข้างใน
แม้แต่เพลงกระบี่อันเพริศแพร้วพิสดารที่สุดก็คงยากที่จะต้องต้านป้องกันการโหมซัดมาของทรายคลั่ง เขาไม่อาจรับประกันว่าจะสามารถสกัดขัดขวางทรายไว้ได้ทุกเม็ด ดังนั้นก็เลยใช้ไจกระบี่มาก่อเป็นทรงกลมสมบูรณ์แบบเพื่อป้องกันตนเองจะดีกว่า
ในเมืองหลี เขาได้ขัดเกลากระบี่บินของเขาจนกลายเป็นน้ำไหลไปเรียบร้อยแล้ว มันสามารถแปรเปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์ใดๆ ที่เขาต้องการ
การที่หลอมสร้างขัดเกลาอาวุธจนถึงขั้นนี้ได้ วิชาหลอมสร้างตีเหล็กของเขานับว่าบรรลุเขตขั้นเทวะ
ในจังหวะที่ฉินมู่ซ่อนตัวอยู่ในไจกระบี่ ทรายคลั่งก็ซัดมาถึง และในพริบตานั้น รอยบุบมากมายก็ปรากฏขึ้นบนทรงกลมอันทรายพวกนั้นโถมซัดใส่!
วัตถุดิบที่ซีอวิ๋นเซี่ยงให้แก่ฉินมู่เพื่อหลอมสร้างกระบี่ของเขานั้นมีคุณภาพล้ำเลิศที่สุด ก่อนหน้านี้เขาอาจจะขุ่นเคืองใจที่กระบี่นี้หนักจนเกินไป อันทำให้มันยากจะช่วงใช้ร่ายรำ แต่บัดนี้เขาได้แต่ขอบคุณซีอวิ๋นเซี่ยงที่มอบวัสดุล้ำเลิศที่สุดให้กับเขา ซึ่งเป็นสาเหตุหลักๆ ที่ไจกระบี่ของเขาไม่แตกทำลายไปจากแรงกระแทกระลอกแรก
แม้กระนั้น ไจกระบี่ก็ถูกซัดกระเด็นไปและปะทะไปทั่วช่องผาด้วยความเร็วอันน่าตระหนก เด้งไปทางนั้นที ทางโน้นที!
ร่างของฉินมู่และเจียงเหมี่ยงถูกเขย่าไปมาอย่างรุนแรงข้างใน และพวกเขาก็บอบช้ำจนแทบกระอักเลือด แม้ว่าพวกเขาจะหลบเลี่ยงจากทรายบินด้วยการซ่อนอยู่ข้างในไจกระบี่ได้ แต่แรงสะเทือนจากการปะทะก็แทบจะฉีกร่างของพวกเขาเป็นเสี่ยงๆ!
ฉินมู่ใช้ทุกอย่างที่เขามีเพื่อขับเคลื่อนคุณสมบัติน้ำไหลของไจกระบี่เขาจนถึงขีดสุด!
ทุกครั้งที่ปรากฏรอยบุบ มันก็จะซ่อมแซมตนเองโดยอัตโนมัติ แต่ทว่า ปราณชีวิตของฉินมู่ก็มักจะถูกฉีกทำลายด้วยทรายบิน ดังนั้นจึงยากที่เขาจะขับเคลื่อนไจกระบี่ นี่ทำให้ยิ่งเกิดรอยบุบเข้ามามากขึ้นทุกทีๆ
พยุหะสังหารนี้น่าสะพรึงกลัวว่าที่ข้าคาดคิดไว้เสียอีก! ความสิ้นหวังท่วมท้นใจฉินมู่
เมื่อพวกเขาเข้าไปในช่องผา ซิงอ้านก็รีบตามเข้าไปทันที เขายื่นมือออกไปคว้าจับไจกระบี่เมื่อทรายคลั่งพลันซัดเข้าใส่เขา สีหน้าซิงอ้านแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย และนิ้วของเขาสั่นเทิ้ม ทักษะเทวะแผ่พุ่งออกไปเพื่อเป่าทรายกระดอนกลับ
ทรายพวกนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล ช้าก่อน พวกมันคืออาวุธวิญญาณ และไม่ใช่ทรายจริง! กายเนื้อของข้าเป็นร่างของเทพเที่ยงแท้ เช่นนั้นทำไมข้าจะต้องกลัวอะไรกะแค่ทรายพวกนี้
เขาเล็งเห็นสายสนกลในอย่างรวดเร็ว และคาดคะเนคำตอบที่ถูกต้อง ในเมื่อเขาได้บรรลุเขตขั้นเทวะไปแล้ว เขาจึงพุ่งเข้าไปในช่องผาเพื่อไล่ล่าตามไจกระบี่ของฉินมู่
กำลังฝีมือของเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเมื่อในอดีต แต่กระนั้นก็ยังยากอย่างมหันต์เมื่อเขาพยายามจะบุกฝ่ารุกคืบเข้าไปในหุบเขา แต่ละก้าวล้วนแต่เป็นความท้าทาย
ทรายเหลืองปลิวไปทุกหนทุกแห่ง คละคลุ้งไปทั่วแดนดิน มันจู่โจมเขาเข้ามาจากรอบทิศ มือของซิงอ้านขยับ และทักษะเทวะทุกประเภทก็ระเบิดปะทุออกไปเพื่อขัดขวางทรายบินเหล่านั้น แม้ว่าจะมีเม็ดที่เขาสกัดขัดขวางเอาไว้ไม่ได้ แต่มันก็ทำให้กายเนื้อของเขาเจ็บปวดและไม่ได้ทำร้ายเขา
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าเท้าของเขายิ่งหนักอึ้งขึ้นทุกที เมื่อสังเกตพบว่ามีทรายบางเม็ดได้ตกลงไปในรองเท้าของเขา ซิงอ้านก็ชะงัก เขายกเท้าขึ้นเพื่อสลัดไล่ทรายออกไป แต่ยิ่งมีทรายตกลงมาใส่เนื้อตัวเขามากขึ้นทุกที เม็ดทรายพวกนั้นดูราวกับจะมีชีวิต และลอยขึ้นมาเกาะกับร่างกายของเขา
เหงื่อเย็นเยียบร่วงลงจากหน้าผาก และเขาใช้พละกำลังของตนเองเพื่อสลัดเม็ดทรายให้ร่วงหลุด
ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงระเบิดก็ดังกึกก้องอย่างไม่จบสิ้น เมื่อไจกระบี่ของฉินมู่ถูกซัดกระเด็นไปรอบๆ ราวกับดาวหาง มันเต็มไปด้วยรอยบุบและดูเหมือนว่าพร้อมที่จะแตกทำลายไปไม่ว่าวินาทีใดวินาทีหนึ่ง
ไม่นานนัก ขาของซิงอ้านก็จมลงไปในทรายเหลือง และเขาพบว่าจะหลุดออกมาจากในนั้นเป็นเรื่องยากเย็น แต่ในขณะเดียวกันไจกระบี่ของฉินมู่ก็บิดเบี้ยวจากการซัดถล่ม ทำให้มันยากที่จะไปต่อ
หากว่าไอ้เด็กผีนี่อยากจะหาที่ตาย ข้าก็ไม่เห็นจะต้องตายไปด้วยกับเขา ข้าจะออกไปจากสถานที่นี้ก่อน! วิชาราชามนุษย์เสกสรร!
ซิงอ้านกู่ร้องเสียงต่ำ และร่างกายเขาพลันย่อหดลงเท่าละอองฝุ่น ด้วยวิธีนี้ เขากะว่าจะหลบหนีชะตาอันมืดมนของการถูกกลบฝังในผืนทราย
วิชาเสกสรรของเขามาจากผานกงสั่วผู้ซึ่งเคยฝึกปรือคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตมาก่อน ความสำเร็จของซิงอ้านในวิชานี้เหนือล้ำกว่าผานกงสั่วไปไกล และถึงกับเหนือกว่าฉินมู่ จ้าวลัทธิมารฟ้าเสียอีก
ในจังหวะที่เขาย่อหดร่างกาย เม็ดทรายก็ขยายขนาดอย่างเร็วรี่ และสีหน้าของซิงอ้านว่างเปล่า เขาเห็นก้อนหินมหึมามากมายพุ่งยิงมาทางเขาราวกับดาวเคราะห์!
ใหญ่และเล็กเป็นสิ่งสัมพัทธ์เปรียบเทียบ เขาได้ย่อหดตนเองไปไม่รู้กี่เท่า และทรายก็ได้ขยายขนาดขึ้นไปไม่รู้กี่เท่าเช่นกัน เม็ดทรายจึงกลายเป็นดาวเคราะห์มหึมาที่ซัดถล่มมาใส่เขา
เขารู้สึกเหมือนกำลังตกลงไปในทะเลดาวอันกว้างใหญ่ที่ทั้งน่าสะพรึงกลัวและโกลาหล!
นี่คือพยุหะที่ใช้สังหารเทพเที่ยงแท้! การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เปลี่ยนทรายดาวให้เป็นจักรราศี เคลื่อนคล้อยพยุหะไปตามการเปลี่ยนแปลงของข้า!
ซิงอ้านครางเสียงหนักเมื่อเขาถูกกระแทกระหว่างเม็ดทรายดาวที่ใหญ่เท่ากับดาวเคราะห์ เขาแทบกระอักเลือดออกมา หลังจากที่เม็ดทรายดาวพุ่งชนเข้าใส่เขา มันก็แยกออกจากกัน จากนั้นอีกสองเม็ดก็พุ่งเข้ามา ยิงชนใส่ซิงอ้านผู้ไม่มีเวลาหลบหลีก
ตูม ตูม ตูม!
การกระแทกกันดังกึกก้อง ใบหน้าซิงอ้านกลับเป็นซีดเผือด ในที่สุดเขาก็กลั้นไม่ได้และอาเจียนเลือดออกมากำใหญ่ เม็ดทรายดาวเหล่านี้ไม่ใช่ดวงดาวจริงๆ แต่เป็นอาวุธวิญญาณที่มีขนาดมากกว่าห้าไร่ พลังในการปะทะของมันไม่ได้น่าสะพรึงกลัวนัก แต่ความเร็วของการพุ่งชนซ้ำๆ นั้นน่าตื่นตระหนก การชนย้ำๆ ชุดนี้ได้ทำให้ซิงอ้านรับบาดเจ็บ!
เขาตะโกนและใช้พลังงานทั้งหมดของตนเพื่อขับเคลื่อนทักษะเทวะ เป่าทรายดาวกระเด็นไป เขาพลันร้องคำราม และมวลน้ำก็พวยพุ่งออกมาจากข้างหลังเขาราวกับแม่น้ำใหญ่ และยกร่างเขาสูงขึ้น
แม่น้ำนี้เต้นสะบัดอยู่ในอากาศ และเดินทางอย่างรวดเร็วท่ามกลางทรายดาว หลบหลีกดาวเคราะห์เหล่านั้นอย่างเฉียดฉิว
ซิงอ้านระบายลมหายใจโล่งอก แต่ในตอนนั้นเอง เม็ดทรายดาวทั้งหลายก็พลันกลายเป็นมีแสงเจิดจ้า มันแผดแสงดาราออกมาอย่างรุนแรง
บนท้องฟ้า ลำแสงเหล่านั้นเชื่อมต่อกัน และทรายดาวหลายหมื่นเม็ดก็ประกอบกันขึ้นมาเป็นดวงตาอันประหลาดพิสดาร
แย่ล่ะ…
ขณะที่ซิงอ้านคิดเช่นนั้น ลำแสงเข้มข้นก็ยิงออกมาจากดวงตาร้ายที่ก่อตัวขึ้นมาจากดวงดาวนับไม่ถ้วน และพุ่งเข้าไปปะทะกับร่างของเขา
แม่น้ำสายยาวใต้เท้าของเขาแหลกทำลาย และเขาก็ร่วงลงไปพร้อมกับเลือดที่กระอักออกมา
พลานุภาพของทรายหนึ่งเม็ดมิได้ยิ่งใหญ่นัก แต่เมื่อหลายๆ เม็ดมารวมพลังกัน พวกมันก็น่าแตกตื่นสะท้านขวัญและมีความสามารถที่จะทำอันตรายเขา!
และในดาราจักรอันกว้างใหญ่ เม็ดทรายดาวนับไม่ถ้วนเข้ามารวมกันและแปรเปลี่ยนเป็นดวงตาที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ลำแสงดาวยิงไปยิงมา จู่โจมเขาจากรอบทิศ
ลำแสงเหล่านั้นคือปราณกระบี่แสงดาวอันคมกล้าอย่างมหันต์ แม้ว่าร่างกายของซิงอ้านจะเป็นกายเนื้อของเทพเที่ยงแท้ แต่เขาก็ป้องกันตัวเองได้อย่างยากเย็น!
ข้าถูกล่อลวงเข้ามาในค่ายกลพยุหะ และตอนนี้ ข้าก็ไม่อาจออกไปจากที่นี่ได้อีก…
ความสิ้นหวังเปี่ยมปริ่มใจซิงอ้าน เขารีบหันไปมองดูฉินมู่ เด็กหนุ่มผู้นั้นก็กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่แตกต่างกันหลังจากที่ไจกระบี่ของเขาปริแตกออก แต่ทว่า ฉินมู่ใช้วิชาเงามายาเพื่อแปลงร่างเป็นเงาดำหลบหลีกการโจมตีของทรายดาว และยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้ในชั่วขณะนี้
ส่วนหีบและมังกรน้อย เขาคงจะเก็บพวกมันไว้ในถุงเต๋าตี้
ด้วยทรายดาวทั้งหมดรวมตัวขึ้นมาเป็นดวงตาปีศาจทรายดาว ปราณกระบี่แสงดาวก็ห้อมล้อมรอบๆ ตัวพวกเขาทั้งสอง
ซิงอ้านพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหลบหลีกลำแสงพลางคิดคำนึง ก็นับว่าไม่เสียหายที่จะให้ไอ้เด็กร้ายกาจนี่ตายไปพร้อมกับข้า…ช้าก่อน นั่นไม่ใช่แล้ว! ข้าเพิ่งจะบรรลุเป็นเทพ ดังนั้นมาตายไปด้วยกับไอ้เด็กเวรนี่ต้องเป็นความเสียหายใหญ่หลวงแน่นอน!
อีกฟากหนึ่ง ฉินมู่พลันชะงักค้าง เขาเงยศีรษะขึ้นมองไปยังดวงตาปีศาจทรายดาวและยืนยิ่งอยู่อย่างนั้นราวกับว่ายอมรับชะตากรรม เขารอจุดจบของตนอย่างเงียบงัน
ซิงอ้านมีวรยุทธกล้าแข็ง และกายเนื้อของเขาก็แข็งแกร่งไร้ปานเปรียบ ดังนั้นเขายังคงพอทนต่อไปได้ ตราบเท่าที่เขาสามารถเสาะหาการเปลี่ยนแปลงเชิงพีชคณิตภายในพยุหะทรายดาวสังหาร เขาก็จะมีโอกาสหนีรอด
ในตอนนั้น ร่างเนื้อของฉินมู่พลันกลับเป็นปกติ ขณะที่เขายกมือขึ้นเพื่อผนึกมุทรา พยุหะดาวขนาดมหึมาของหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภาก็เชื่อมต่อเป็นเส้นสายและเข้าไปปะทะกับปราณกระบี่แสงดาวที่กำลังยิงพุ่งใส่เขา
สิ่งประหลาดพลันเกิดขึ้นในตอนนั้น จักรราศีแห่งหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภาถูกจุดแสงขึ้นมาด้วยปราณกระบี่แสงดาว หมู่ดาวที่ก่อตัวขึ้นมานั้นกลายเป็นเปล่งแสงเจิดจรัส ด้วยเสียงหึ่งฮัม ลำแสงเข้มหนาก็ยิงออกไป และบดขยี้หนึ่งในดวงตาปีศาจทรายดาว!
ซิงอ้านตกตะลึง เขาจดจำมุทราของฉินมู่ได้ มันเป็นกระบวนท่าที่หลี่เทียนซิงใช้ต่อสู้กับเขา และมันเรียกว่าพลังฝ่ามือหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา! แต่ในท้ายที่สุด หลี่เทียนซิงก็ยังคงตกตายในน้ำมือของซิงอ้าน
กระนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ากระบวนท่าที่เขาใช้คือทักษะเทวะอันทรงพลังอย่างสุดขีดขั้ว แต่ทว่า วรยุทธของหลี่เทียนซิ่งนั้นยังขาดพร่องไปมาก อันทำให้เขามิใช่คู่ต่อสู้ของซิงอ้าน
ทว่าในตอนนี้ ฉินมู่ได้ใช้ทักษะเทวะเดียวกันเพื่อขัดขวางป้องกันปราณกระบี่แสงดาวจากดวงตาปีศาจทรายดาว มันช่างน่าประหลาด
ในที่ไกลๆ ฉินมู่ขับเคลื่อนเขตพลังหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา และฟาดออกไปด้วยพลังฝ่ามือหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา บดขยี้ดวงตาปีศาจทรายดาวไปทีละดวงๆ เขาเดินตรงไปยังส่วนลึกของช่องแคบระหว่างผาราวกับว่ากำลังเดินเล่นในอุทยาน
ซิงอ้านมองไปที่เขาซึ่งหายลับไปข้างหน้า จากนั้นก็ลองขับเคลื่อนพลังฝ่ามือหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา แต่ว่าเขาได้เรียนรู้มาแค่วิชาเสกสรรของคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต และมิใช่วิชาทั้งหมดอันครบสมบูรณ์
ไอ้เด็กนั่นมันแก้พยุหะนี้ที่สามารถสังหารได้แม้แต่เทพเที่ยงแท้ได้อย่างไร ในใจของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
หลังจากระยะเวลาหนึ่ง ฉินมู่ก็เดินออกมาจากช่องผาอันยาวสิบลี้ ทิ้งทรายเหลืองทั้งหลายไว้ข้างหลังเขา จากนั้นเขาก็ปล่อยเจียงเหมี่ยวและหีบออกมาจากถุงเต๋าตี้
เจียงเหมี่ยวหันหัวกลับไปและเห็นดวงตาปีศาจทรายดาวลอยขึ้นและลง ปราณกระบี่แสงดาวพุ่งวูบวาบไปมาระหว่างพวกมัน และหัวใจของเขาก็สะท้านสะเทือนจากความแตกตื่น เขาฉงนฉงายว่าฉินมู่เดินออกมาจากที่นั่นได้อย่างไร
ฉินมู่พิจารณาบริเวณโดยรอบอย่างเงียบเชียบ และเห็นว่าทรายเหลืองยังคงปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า เขาเดินไปข้างหน้าอีกสักหน่อย และก็เห็นที่มาของทรายเหลืองอันถูกเป่าออกไป มันคือกระถางใหญ่อันเต็มไปด้วยทราย
อันตรายคร่าชีวิตในระยะสิบลี้ที่แท้ก็มีที่มาจากมัน
ข้างหลังกระถางนี้คือราชวังอันใหญ่โตตระการด้วยผนังสีชาดและกระเบื้องเคลือบอันมีมังกรและหงส์ไฟสลักอยู่บนนั้น มันดูเหนือธรรมดาและศักดิ์สิทธิ์ บนชายคา มีรูปสลักของสัตว์เทวะนั่งอยู่สิบตน และข้างหน้าพวกมันคือบุคคลผู้หนึ่งที่กำลังขี่นกกะเรียน
ที่น่าประหลาดก็คือ โซ่ยื่นยาวออกไปจากราชวังยังทุกทิศทุกทาง หย่อนลึกลงไปในหน้าผาของช่องโตรกเขาแห่งนี้
โซ่ดังโกร่งกร่างเป็นระยะๆ แม้ว่ามันจะดูหนักอึ้งอย่างเหลือแสน
เจียงเหมี่ยวตื่นเต้นขึ้นมาทันที และกล่าวด้วยเสียงเบา “ข้าได้ยินเสียงเพรียกของมังกรเทพยดา เสียงของเขามาจากที่นี่! ยิ่งตอนนี้ข้าก็ได้ยินมันชัดเจนขึ้น!”
ฉินมู่ไม่อาจได้ยินเสียงใดๆ ซึ่งก็อาจจะเพราะเขามิใช่มังกร มีก็แต่พวกที่มีสายเลือดมังกรที่จะได้ยินเสียงเพรียก
“อย่าเพิ่งเข้าไปที่นั่น” ฉินมู่บอกเขาและเดินตรงไปยังโซ่ เขาศึกษามันดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนและยกมือขึ้นปัดมันแต่เบาๆ ทันใดนั้น รอยประทับอักษรรูนก็เปล่งแสงขึ้นมา และประกายไฟเล็กๆ ก็ปะทุขึ้นในอากาศอันแสงอักษรรูนปลิวไปกับสายลม
เขาเดินไปที่ข้างๆ หน้าผา และเพ่งพิศอักษรรูนที่นั่น พวกมันเป็นนิพนธ์เทพ แต่กระนั้นทรายเหลืองสิบลี้ก็เป็นพยุหะมารที่ใช้เคี่ยวกรำเทพเที่ยงแท้ให้ตกตาย ที่น่าประหลาดไปยิ่งกว่านั้นคือ พยุหะมารกลับได้รับพลังขับเคลื่อนจากนิพนธ์เทพ และการใช้สอยทั้งสองอย่างนั้นก็เพริศแพร้วพิสดารอย่างถึงขีดสุด
“กระทำอย่างตรงไปตรงมา เป็นอิสระจากธรรมชาติ นั่นคือความหมายแห่งมรรคา นั่นจึงเป็นเหตุให้ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมาร ทำไมข้าคิดใส่ใจ” สีหน้าของฉินมู่มั่นคงไม่ไหวติง และเขากล่าว “เจียงเหมี่ยว นี่คือคำสั่งสอนของลัทธินักบุญสวรรค์ ยื่นมือของเจ้าออกมา”
เจียงเหมี่ยวกระทำตามที่เขาบอก และฉินมู่ใช้ผงชาดวาดอักษรรูนบนฝ่ามือของเขา อันแทบจะเหมือนกันกับนิพนธ์เทพบนผนังผา “ไปกันเถอะ เข้าไปข้างใน”
เจียงเหมี่ยวไม่เข้าใจสิ่งที่เขาทำ แต่ก็รีบเข้าไปในราชวังอยู่ดี
ในโถงวัง มังกรเทพยดาตนหนึ่งถูกพันธนาการเอาไว้แน่นหนา โซ่เหล่านั้นร้อยทะลุร่างของเขาเพื่อทำให้เขาถูกตรึงไว้กับที่
มังกรเทพยดาทั้งสูง กำยำ และดูศักดิ์สิทธิ์อย่างไร้ปานเปรียบ ปราณมังกรและรัศมีมังกรของเขาจะทำให้ผู้คนแหงนมองด้วยความเลื่อมใสยำเกรง
มังกรเทพยดาลืมตาขึ้นมา มองไปยังฉินมู่กับเจียงเหมี่ยว เขาจึงอ้าปากเพื่อกล่าวด้วยเสียงอันสะท้านสะเทือน “ญาติร่วมเผ่าพันธุ์ของข้า ในที่สุดเจ้าก็มาถึง!”
“จ้าวลัทธิ รีบช่วยผู้อาวุโสมังกรเทพยดาท่านนี้กันเถอะ!” เจียงเหมี่ยวกล่าวอย่างเร่งรีบ
ฉินมู่ส่ายหัว สายตาของเขาจ้องไปยังมังกรยักษ์ที่ถูกล่ามโซ่เอาไว้ และเขากล่าวด้วยเสียงอันนุ่มนวล “ผู้อาวุโสมังกรเทพยดาท่านนี้ มีบางเรื่องที่ข้ายังคิดไม่ตก ว่าทำไมท่านถึงถูกล่ามโซ่เอาไว้ที่นี่โดยบรรพจารย์ก่อตั้งของลัทธินักบุญสวรรค์ของข้า”
……………….