บทที่ 113 สัตว์ที่น่าสงสาร

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

ฟองแสงนรกกั้นน้ำออก ไฟนรกด้านในส่งเสียงเพี๊ยะพะเผาปากของสัตว์ยักษ์ ไฟนรกที่ปกติสามารถเผาทำลายทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้กลับไม่มีพลังทำลายล้าง เพียงแต่เผาไหม้อยู่ตลอดอย่างเสียเปล่า

“คิดไม่ถึงว่าการป้องกันของสัตว์ตัวนี้จะร้ายกาจขนาดนี้ แม้แต่ไฟนรกก็เผาทำร้ายมันไม่ได้?” จินเฟยเหยาขมวดคิ้ว เคลื่อนไหวพลังวิญญาณ ไฟนรกพลันเปลี่ยนรูปแบบ ไม่เผาแต่เป็นแช่แข็งโดยมีฟองแสงนรกเป็นศูนย์กลาง เริ่มผนึกตัวเป็นผลึกน้ำแข็งและค่อยๆ แผ่ขยายออกไปอย่างช้าๆ

ไฟนรกสามารถผนึกตัวเป็นผลึกน้ำแข็งได้ ทั้งหมดเป็นการกระทำของเส้นใยสีดำในไฟนรกเหล่านั้น เส้นใยเหล่านี้มาจากไหน จินเฟยเหยาก็ไม่รู้ รู้เพียงหลังตนเองบรรลุขั้นสร้างฐาน ในไฟนรกก็เริ่มมีเส้นใยสีดำเหล่านี้ปรากฏ เพียงแต่ปริมาณไม่มาก ดังนั้นต้องรวบรวมเส้นใยสีดำไว้ จึงสามารถทำการผนึกเป้าหมายเป็นผลึกน้ำแข็งอย่างได้ผล

สัตว์ปิศาจตัวนี้ไม่ขยับเลยสักนิด ปล่อยให้จินเฟยเหยาทรมานในปาก ไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย จินเฟยเหยาคาดเดาว่าสัตว์ปิศาจตัวนี้น่าจะไม่ทำได้แค่นี้ อาศัยผิวหนังหนาล้วนๆ จากนั้นก็กินเหยื่อลงไป แล้วรอย่อยอย่างช้าๆ

จินเฟยเหยารอคอยอย่างอดทน ลำน้ำโดยรอบยิ่งมายิ่งขุ่น ไฟนรกแช่แข็งสัตว์ปิศาจเบื้องหน้าทั้งหมดเป็นผลึกน้ำแข็งอันแวววับ การรับรู้ที่วางไว้ในไฟนรกส่งประสิทธิผลการผนึกแข็งมา อีกนิดเดียวก็จะสามารถแช่แข็งจากภายในสู่ภายนอกของสัตว์ปิศาจตัวนี้ทั้งหมดได้ ทว่าของเหลวที่ไม่ทราบชัดเหล่านั้นกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกที เห็นการเปลี่ยนแปลงได้น้อยมาก บางครั้งฟองแสงนรกก็ส่งเสียงดังชี่ๆ ของเหลวสีเหลืองเหล่านั้นราวกับกำลังกัดกร่อนฟองแสงนรก

จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นจ้องมองของเหลวสีเหลืองด้านนอก ปากเอ่ยไม่หยุด “เร็วหน่อย เร็วหน่อย ข้าไม่อยากกลายเป็นอาหาร”

“ติ๋ง” น้ำจากหยดกลายเป็นโปรยปรายลงมาจากด้านบนฟองแสงนรก ตกลงเบื้องหน้าเท้าของนาง บางหยดกระเด็นมาโดนกระโปรงของนาง เสียงดังชี่ มีควันสีเขียวลอยขึ้นมา

“มารดามันเถอะ นี่จะเอาชีวิตกันจริงๆ” จินเฟยเหยากระโดด ไม่สนใจว่าผลึกน้ำแข็งยังผนึกตัวไม่หมด คนก็พาฟองแสงนรกไปแนบบนปากของสัตว์ปิศาจที่ภายนอกแช่แข็งจนกลายเป็นผลึกน้ำแข็ง นางชูกำปั้น ต่อยไปบนผลึกน้ำแข็งอย่างไม่คิดชีวิต หมัดหนักๆ จำนวนมากต่อยลงบนผลึกน้ำแข็ง ตอนผลึกน้ำแข็งปริแตก เนื้อสัตว์ปิศาจที่ถูกแช่แข็งก็ติดมาด้วย ครู่หนึ่งใต้เท้าจินเฟยเหยาก็มีผลึกน้ำแข็งเพิ่มมากองหนึ่ง

กองผลึกน้ำแข็งยิ่งมากขึ้นทุกที ส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของจินเฟยเหยา นางยกเท้าขึ้นเตะผลึกน้ำแข็งเหล่านั้นให้ออกไปจากฟองแสงนรกหลายครั้ง จัดการผลึกน้ำแข็งเหล่านี้เสร็จนางก็เริ่มทุบสัตว์ปิศาจทันที

ถ้ามิใช่สัตว์ปิศาจตัวนี้มีลิ้น จินเฟยเหยาคงเชื่อทันทีว่าสัตว์ปิศาจตัวนี้เป็นแค่กลไกที่สร้างขึ้นจากหิน ในผลึกน้ำแข็งที่ทุบออกมา สิ่งที่แช่แข็งอยู่ล้วนเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับก้อนหิน ถูกทุบออกมาเป็นรูขนาดใหญ่ก็ไม่เห็นกระดูกและริ้วสีเลือดใดๆ เป็นการทุบกำแพงศิลาที่ทั้งหนาและแข็งแกร่งอย่างยิ่งโดยสมบูรณ์

ส่วนพั่งจื่ออยู่ด้านนอกก็เริ่มโจมตีสัตว์ปิศาจตัวนี้

จินเฟยเหยาถูกมันผลักเข้าไป ต้องฉวยโอกาสตอนที่ยังไม่ถูกย่อยและตนเองยังไม่ต้องเปลี่ยนอากาศรีบช่วยคนออกมา มันลองตวัดลิ้นที่แข็งแกร่งราวกับลูกธนูออกมาอย่างรวดเร็ว โจมตีสัตว์ปิศาจตัวนี้ในระยะไกลหลายครั้ง หนังที่เหมือนกำแพงหินของมันไม่มีบาดแผลเลยสักนิด มีแต่พืชน้ำและสาหร่ายถูกโจมตีร่วงลงมา สัตว์ปิศาจลืมตามองพั่งจื่ออย่างไร้จิตวิญญาณ จากนั้นมันหลับตาลงอย่างช้าๆ ราวกับตั้งอกตั้งใจย่อยจินเฟยเหยา

เรื่องนี้ทำให้พั่งจื่อร้อนใจแทบแย่ มันพุ่งเข้าไปราวกับคลุ้มคลั่ง ใช้ขาหน้าฟาดบนหัวสัตว์ปิศาจ ฟาดตบหลายสิบครั้งเสียงดังเพี๊ยะพะจนเปื้อนพืชน้ำและสาหร่ายสีเขียวไปทั้งมือ ทว่าสัตว์ปิศาจตัวนี้ไม่มีบาดแผลเลยสักนิด ถ้าไม่ทำก็ไม่ทำเลย ถ้าทำก็ต้องทำจนถึงที่สุด พั่งจื่อพ่นน้ำพิษในร่างออกมาทั้งหมด

น้ำพิษสีขาวน้ำนมก้อนใหญ่ลอยอยู่รอบกายมัน เพราะในน้ำไม่มีกระแสน้ำ ดังนั้นทั้งหมดจึงรวมตัวอยู่รอบพั่งจื่อ มันใช้มือป้ายน้ำพิษลงบนสัตว์ปิศาจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำ หรือเป็นเพราะผิวหนังภายนอกของสัตว์ปิศาจตัวนี้ไม่เกรงกลัวน้ำพิษ พั่งจื่อทรมานอย่างเสียเปล่าอยู่นานก็ไม่ได้ผลเลยสักนิด

พั่งจื่อสิ้นหวัง จะทำอย่างไรดี นานถึงปานนี้แล้ว ในสมองของมันปรากฏภาพจินเฟยเหยาเหลือแต่กระดูก

ทันใดนั้น บนผิวหนังสัตว์ปิศาจเบื้องหน้ามันก็ปรากฏชั้นผลึกน้ำแข็ง พั่งจื่อตกตะลึงก่อนจะได้สติคืนมา นี่เป็นน้ำแข็งนรกของจินเฟยเหยา นางยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้กลายเป็นกระดูก อยู่กับจินเฟยเหยามานาน มันจึงรู้ว่าไฟนรกผนึกเป็นน้ำแข็งนี้ร้ายกาจยิ่ง ขอเพียงทุบให้น้ำแข็งแตกก็สามารถทำให้สิ่งของด้านในแตกไปด้วย

พริบตา ในใจของมันก็มีความหวังเกิดขึ้น ยกมือขึ้นเตรียมทุบไปอย่างต่อเนื่อง ในขณะนี้เองสัตว์ปิศาจตัวนี้พลันเบิกตากว้างทำให้พั่งจื่อหวาดกลัว จากนั้นก็เห็นผลึกน้ำแข็งด้านหน้าปรากฏรอยปริแตก รอยปริแตกใหญ่ขึ้นทุกที ระเบิดออกมาดังตูม พั่งจี่อก็ถูกแรงระเบิดครั้งนี้ดีดออกมาพุ่งไปไกลลิบ

“ในที่สุดก็ออกมาได้ ผิวหนังของเจ้านี่หนาจริงๆ” จินเฟยเหยาที่กำลังเดือดดาลอยู่ในฟองแสงนรกลอยตามน้ำสีเหลืองที่พุ่งออกมา

เห็นพั่งจื่ออยู่ในน้ำเบื้องหน้า จินเฟยเหยาก็ชี้มันแล้วด่าทอเป็นการใหญ่ “เจ้านี่ เจ้าเห็นสัตว์ปิศาจตัวนี้แต่แรกแล้วสินะ ดังนั้นจึงผลักข้าไปป้อนมัน”

จินเฟยเหยาไม่ได้มีโทสะในปากสัตว์ปิศาจมาตลอด ก็เพื่อรอหลังจากออกมาค่อยหาเรื่องพั่งจื่อ ตอนนี้เห็นพั่งจื่อยังมีชีวิตอยู่ จินเฟยเหยาก็พุ่งไปหาอย่างรวดเร็ว ยื่นมือคว้าพั่งจื่อยกเข้ามาในฟองแสงนรก จากนั้นนางก็ยกหมัดขึ้นต่อยอย่างแรง

“อ๊บ!” พั่งจื่อร้องลั่นคิดจะอธิบาย น่าเสียดายที่จินเฟยเหยาไม่ฟังมัน สองหูไม่ได้ยินเสียงร้องตะโกนของมัน อัดจนพอใจก่อนค่อยว่ากัน

“ฮึ ครั้งหน้าถ้าเจ้าทำแบบนี้อีก ข้าจะอัดเจ้าให้ตาย วันนี้จะปล่อยเจ้าไปก่อน” จินเฟยเหยานั่งขัดสมาธิอยู่ในฟองแสงนรก ใช้พลังวิญญาณกระตุ้นฟองแสงนรกให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ส่วนพั่งจื่อนั่งหน้าบวมตุ่ยอยู่ข้างๆ แค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

ใบหน้าทั้งหมดของสัตว์ปิศาจถูกจินเฟยเหยาทำลาย เผยให้เห็นรูขนาดยักษ์ พูดให้ถูก น่าจะเป็นร่างของสัตว์ปิศาจตัวนี้กว้างเท่ากับทางน้ำทั้งหมดพอดี ทางน้ำถูกอุดอย่างแน่นหนา ถ้าคิดจะไปต่อ ก็ต้องผ่านร่างกายของมัน คิดถึงว่าด้านหลังตัวมันต้องไม่โล่งเหมือนปากแน่ หลังจากจินเฟยเหยารอให้น้ำที่ขุ่นเหล่านั้นสลายหายไป ก็ใช้หมัดไฟนรกต่อยไปด้านในอย่างแรง

ไฟนรกมีขนาดหยาบใหญ่เท่าถังน้ำ พุ่งเข้าไปในร่างสัตว์ปิศาจ น้ำนิ่งเหล่านี้เคลื่อนไหวเนื่องจากไฟนรกพาขยับตามการพุ่งของไฟนรก ในน้ำระเบิดออกเป็นแสงสีฟ้าเสียดแทงนัยน์ตา หลังแสงสีฟ้าผ่านพ้น ในลำน้ำก็กลับคืนสู่ความสงบนิ่งดังเดิม

จากนั้น จินเฟยเหยาก็พาพั่งจื่อลอยเข้าไป

ที่จริงนางใช้พลังวิญญาณกระตุ้นฟองแสงนรกได้รวดเร็วกว่าพั่งจื่อผลัก ทว่านางทำเพื่อหยอกล้อพั่งจื่อล้วนๆ จึงให้มันออกไปผลักข้างนอก ตอนนี้นางไม่มีอารมณ์หยอกล้อพั่งจื่อแล้ว ดังนั้นจึงใช้พลังวิญญาณจะได้ไปเร็วขึ้นหน่อย

ทางน้ำยาวสองร้อยกว่าจั้งเต็มๆ ทั้งหมดเป็นเศษซากของสัตว์ปิศาจที่ไม่ทราบชื่อตัวนี้หลังจากถูกไฟนรกเผาไหม้ สัตว์ปิศาจตัวนี้ไม่รู้อยู่ที่นี่มานานเพียงใด เศษซากส่วนมากลอยปะปนอยู่ในทางน้ำ พอดูก็รู้ว่าสัตว์ปิศาจตัวนี้ขยับไม่ได้ อีกทั้งศีรษะของมันก็ใหญ่โตไม่เบา คาดว่าน่าจะอยู่มาเกินหลายร้อยปีจึงติดอยู่ในทางน้ำแบบนี้ แม้แต่ร่างก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของทางน้ำ น่าสงสารจริงๆ

ในใจจินเฟยเหยาเกิดความรู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก ถ้าคนผู้หนึ่งถูกกักขังเช่นนี้ ตายก็ตายไม่ได้ ขยับก็ขยับไม่ได้ อยู่คนเดียวโดดเดี่ยวแบบนี้มาหลายร้อยปี ต้องหวังให้มีคนสังหารตนเองปลดเปลื้องออกจากชีวิตเช่นนี้แน่

ค่อยๆ ไปข้างหน้า จินเฟยเหยาใช้การรับรู้ค้นหาในเศษซาก คิดจะดูว่ามีผู้บำเพ็ญเซียนที่เคยถูกสัตว์ปิศาจตัวนี้กลืนกินหรือไม่ แต่ระดับการกัดกร่อนของของเหลวสีเหลืองเหล่านี้รุนแรงยิ่ง ปกติไม่น่าจะมีอะไรเหลือ

“แม้แต่ตานสัตว์ปิศาจก็ไม่มี เจ้านี่เป็นสัตว์ปิศาจขั้นใดกันแน่ ดูไม่ออกเลยจริงๆ”

จินเฟยเหยาหมดหวัง นางไม่ได้หวังสิ่งของของบรรพชนรุ่นก่อน ทว่านางยังนึกว่าจะได้ตานสัตว์ปิศาจตัวนี้มา คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ตานสัตว์ปิศาจก็ยังไม่มี โชควาสนาย่ำแย่จริงๆ

ทันใดนั้น การรับรู้ของนางก็กวาดผ่านกองซากสัตว์ปิศาจและดินโคลนหนา รู้สึกได้ถึงปราณวิญญาณเบาบางขุมหนึ่ง ในใจจินเฟยเหยายินดี รีบใช้มือคว้าจับในความว่างเปล่า มุกสีขาวเม็ดหนึ่งลอยออกมา ดูลักษณะแล้วไม่ใช่ตานสัตว์ปิศาจ นางไม่กล้านำมาไว้ในฟองแสงนรกทันที ทว่าให้มันหยุดอยู่นอกฟองแสงนรก แล้วใช้การรับรู้ตรวจสอบ

ใช้การรับรู้กวาดดูหลายรอบก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ นางจึงนำมุกเข้ามา จินเฟยเหยาถือมุกไว้เบื้องหน้า พบว่าด้านบนมีอักษร ‘พาน’ น่าจะเป็นสิ่งของของผู้บำเพ็ญเซียน มองดูอยู่ครู่หนึ่งนางก็ใส่มุกลงในกระเป๋าเก็บของ ไม่ได้ใช้พลังวิญญาณชำระมุกเม็ดนี้ทันที ในทางน้ำที่สถานการณ์ไม่ชัดเจนเช่นนี้ กระทำเรื่องใช้พลังวิญญาณชำระวัตถุที่ไม่รู้จัก ก็คือการรนหาที่ตาย

เก็บมุกขนาดเท่ากำปั้นเม็ดนี้ จินเฟยเหยาใช้การรับรู้ค้นหาในเศษซากที่เหลือต่อว่ามีสิ่งของที่มีปราณวิญญาณหรือไม่ น่าเสียดายที่ในซากสัตว์ปิศาจที่ลอยออกมา นางไม่พบสิ่งที่มีปราณวิญญาณใดๆ อีก

จินเฟยเหยาถอนหายใจ ได้แต่พาพั่งจื่อลอยไปข้างหน้า ยังเป็นทางน้ำอันมืดมิดดังเดิม น้ำไม่ไหลเลยสักนิด ไม่ว่าปลาหรือสัตว์ปิศาจก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นอีก พวกนางลอยอย่างโดดเดี่ยวในทางน้ำอยู่เช่นนี้ เวลานี้ต่อให้พั่งจื่อคิดจะเข้าอ่างมายาจิ่งเทียน จินเฟยเหยาก็ไม่ให้มันกลับเข้าไป สถานที่ที่โดดเดี่ยวและน่าเบื่อขนาดนี้ ไม่หาเพื่อนไว้สักคนจะทานทนได้อย่างไร

“ทางน้ำ อุโมงค์ใต้ดิน ข้าไม่อยากมาสถานที่เช่นนี้อีกแล้ว ไม่อยากทนอีกแล้วจริงๆ ต่อไปข้าจะไปแต่สถานที่ที่มองเห็นท้องนภา สถานที่มืดมิด เย็นชื้น เล็ก และแคบแบบนี้ ใครอยากจะไปก็ให้เขาไปเถอะ” จินเฟยเหยาด่าทอเบาๆ ทางน้ำอันไร้ขอบเขตนี้ ทำให้อารมณ์ของนางตกต่ำลงจนถึงขีดสุด

ด่าไปด่ามา นางพลันพบว่า ฟองแสงนรกไม่ขยับ ตนเองกำลังใช้พลังวิญญาณกระตุ้นอยู่ชัดๆ นานแล้วทำไมจึงไม่เห็นฟองแสงนรกขยับสักนิด เกิดอะไรขึ้น?

จินเฟยเหยาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปมากขึ้น ภายใต้การกระตุ้นของพลังวิญญาณ ฟองแสงนรกค่อยๆ ขยับอย่างช้าๆ ทว่าด้านหน้าปรากฏแรงต้านถ่ายทอดมาจากการใช้การรับรู้และพลังวิญญาณ ความรู้สึกแบบนี้เหมือนขณะนี้นางไม่ได้ว่ายอยู่ในน้ำ ทว่ากำลังเจาะทะลุภูเขา