บทที่ 114 เมืองริมน้ำนิรนาม

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

สภาพเช่นนี้ไม่ค่อยปกติ จินเฟยเหยาครุ่นคิด ห่อพลังวิญญาณบนฝ่ามือบางๆ จากนั้นยื่นออกจากฟองแสงนรก นิ้วมือเพิ่งยื่นออกจากฟองแสงนรกก็แตะโดนน้ำเหล่านั้นทันที สัมผัสแล้วเหนียวหนืดยิ่งเหมือนยางไม้ที่ยังไม่แห้ง

“คิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีน้ำแบบนี้ ถ้าข้าไม่มีฟองแสงนรกเสริมอากาศ อาศัยลำน้ำเหนียวข้นเช่นนี้ แค่ว่ายน้ำคงผ่านไปไม่ได้” จินเฟยเหยาเก็บนิ้วกลับ เอ่ยอย่างยุ่งยากใจ

จากนั้นนางก็พูดกับตนเองอีก “น้ำเหนียวหนืดขนาดนี้ อาศัยแค่พลังวิญญาณกระตุ้นฟองแสงนรกให้เดินทางต้องเชื่องช้าจนไม่ไหวแน่” นางเอ่ยพลางมองพั่งจื่อ

พั่งจื่อตะลึง จ้องมองนางด้วยสายตาเดือดดาล

“พอแล้ว ข้าไม่ให้เจ้าออกไปหรอก แค่มองดูเจ้าแวบเดียว ต้องกลัวจนกลายเป็นแบบนี้ด้วยหรือ” จินเฟยเหยายิ้มขมขื่น ข้าไม่ใช่คนเลวขนาดนั้นเสียหน่อย ทำไมต้องมีปฏิกิริยาแบบนี้ด้วย

จินเฟยเหยานั่งลงขัดสมาธิใหม่อีกครั้ง ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเป็นแค่น้ำเหนียวข้น ต่อให้ทางน้ำผนึกตัวเป็นน้ำแข็งก็ขัดขวางนางไม่ได้ นางรวมเส้นใยสีดำไว้ด้านหน้าฟองแสงนรก ถึงจะมีสิ่งของเหล่านี้ขวางสายตา ทว่าความเร็วในการเคลื่อนที่ไปเบื้องหน้าก็ยังเร็วกว่าเมื่อครู่มากนัก ระดับความเร็วจากหอยทากคลานพัฒนามาเป็นหอยทากเดิน

“หรือว่าสวรรค์อิจฉาที่ข้ามีศิลาวิญญาณเต็มพื้นที่มิติ ดังนั้นจึงทรมานข้าแบบนี้ ให้ข้าใช้ศิลาวิญญาณจนหมดเกลี้ยง? ฝันไปเถอะ ครั้งนี้ข้าจะไม่ใช้ศิลาวิญญาณเสริมพลังวิญญาณ ไม่มีสัตว์ปิศาจเสียหน่อย ข้าจะไปอย่างช้าๆ” ครั้งที่แล้วเนื่องจากใช้ศิลาวิญญาณมากเกินไป ทั่วร่างประสบความเจ็บปวดอยู่หนึ่งเดือน จินเฟยเหยายังจำได้อย่างชัดเจน รสชาติเช่นนั้นนางไม่คิดลิ้มลองอีกเป็นครั้งที่สอง

ทางน้ำยากเคลื่อนผ่าน จินเฟยเหยาก็ไม่รีบร้อน เปลี่ยนเวรกับพั่งจื่อเข้าไปกินอาหารและพักผ่อนในอ่างมายาจิ่งเทียน ตอนพั่งจื่อเข้าไป ฟองแสงนรกยังสามารถไปข้างหน้าในน้ำที่เหมือนยางไม้ต่อได้ แต่พอจินเฟยเหยาเข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียน ฟองแสงนรกก็หมดพลังวิญญาณกระตุ้น ได้แต่หยุดอยู่ที่เดิม

แต่ผ่านไปไม่กี่เดือนจินเฟยเหยาก็เข้าไปอย่างรีบร้อน อยู่ได้ไม่นานก็แล่นออกมาอีก สาเหตุง่ายดายยิ่ง อาหารมีไม่มากแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงของแห้งเล็กน้อย อีกทั้งน้ำก็เหลือไม่มากเท่าใด นางสามารถงดอาหารได้ แต่พั่งจื่อกับต้านิวทำไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเนี่ยนซีที่ร่างกายบอบบางจนไม่อาจต้านแรงลม สุดท้ายนางก็ไม่อยากเข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียน เหลืออาหารและน้ำไว้ให้พวกมัน

ก่อนมามีการเตรียมตัวไว้ นางเคยเทียบแผนที่ อย่างมากสองสามเดือนก็เดินสุดทางน้ำสายนี้ได้ ทางน้ำเหนียวหนืดนี้กลับอยู่เหนือความคาดหมายของนาง ความเร็วระดับนี้ ไม่เร็วกว่านางเดินบนบกเท่าใด

ส่วนตอนนี้น่ะหรือ นางอยู่ในลำน้ำที่ทั้งมืดทั้งเหนียว เดินทางมาหนึ่งปีแล้ว บางครั้งนางยังสงสัย หลังจากตนเองออกไป ขณะที่เห็นแสงอาทิตย์แรก จะตาบอดหรือไม่ ทางน้ำยาวเหยียด ต้องเดินถึงเมื่อใดจึงถึงปลายทาง

วันนี้เป็นอีกวันที่โดดเดี่ยวและน่าเบื่อ จินเฟยเหยาเอนพิงในฟองแสงนรกอย่างเบื่อหน่ายแทบตาย กระตุ้นให้มันไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ทันใดนั้น จินเฟยเหยาก็รู้สึกได้ว่าฟองแสงนรกเพิ่มความเร็วขึ้น นางนึกว่าตนเองตาฝาด ผุดลุกขึ้นนั่งปลดปล่อยการรับรู้ออกไป พบว่าระดับความเร็วเร็วขึ้นจริงๆ

“ฮ่า ในที่สุดก็ผ่านสถานที่บ้าๆ ที่เหนียวหนืดสายนั้นแล้ว” จินเฟยเหยายื่นมือออกจากฟองแสงนรก ไม่รู้ว่าน้ำด้านนอกกลับคืนสู่สภาพเดิมเมื่อใด เพียงแต่สงบนิ่งไม่ขยับดังเดิม แต่ไม่เหนียวหนืดจนมีผลกระทบต่อความเร็วอีก

อารมณ์ของจินเฟยเหยาในตอนนี้เหมือนไม่ได้กินเนื้อมาหนึ่งปีกว่า เบื้องหน้าพลันจัดวางอาหารเลิศรสหนึ่งโต๊ะ นางพยายามถ่ายเทพลังวิญญาณลงในฟองแสงนรกอย่างสุดกำลัง ฟองแสงนรกพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อกวนลำน้ำอันสงบนิ่ง

ภายใต้การรุดหน้าอย่างเต็มกำลังของฟองแสงนรก ใช้เวลาเพียงสิบกว่าวัน จินเฟยเหยาก็พุ่งมาถึงทางออกของทางน้ำสายนี้ ถึงแม้จะไม่เห็นทางออก ทว่าเนื่องจากมีกระแสน้ำและสภาพเหมือนตรงทางเข้าในแม่น้ำลั่วตอนแรก ในที่สุดก็สามารถออกจากที่นี่ได้ จินเฟยเหยาแทบจะหลั่งน้ำตานองหน้า

ยามนี้พั่งจื่อกลับเข้าไปอยู่ในอ่างมายาจิ่งเทียนนานแล้ว มันรู้สึกว่าวันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าในที่มืดมิดไร้แสงตะวันแบบนี้เกินจะทนไหว มิสู้กลับเข้าอ่างมายาจิ่งเทียนไปดูต้านิวดีกว่า ไม่ว่าจินเฟยเหยาจะด่าทอมันอย่างไร มันก็ไม่ยอมออกมา อย่างมากบางครั้งต้านิวก็ออกมาอยู่เป็นเพื่อนนาง

ตอนนี้ใกล้จะถึงทางออกแล้ว จินเฟยเหยาคร้านจะเรียกพั่งจื่อออกมา ตนเองตื่นเต้นดีใจตามกระแสน้ำที่ไหลไปข้างหน้า ในที่สุดก็มาถึงทางออกของทางน้ำสายนี้ ข้างหน้ามีเพียงรอยแตกกว้างประมาณฝ่ามือมองผ่านรอยแตกออกไปข้างนอก นางเห็นแสงอาทิตย์สาดส่องในน้ำ ด้านนี้ยังคงงดงามดังเดิม

จินเฟยเหยายื่นสองมือออกแรงผลัก ก้อนหินที่ขวางทางเบื้องหน้าก็ถล่ม เผยให้เห็นรูขนาดใหญ่ที่สามารถให้ฟองแสงนรกผ่านไปได้ นางลงไปบนผิวน้ำอย่างยินดีเต็มหัวใจ

“ฮู่ว…” จินเฟยเหยาเก็บฟองแสงนรกกลับคืน ลอยอยู่บนผิวน้ำอันไม่คุ้นเคย หลังเผยให้เห็นผิวน้ำ นางต้องปรับตัวเล็กน้อยกับแสงอาทิตย์ที่ไม่ได้เห็นมาหนึ่งปีกว่า จากนั้นจึงมองไปรอบด้านแล้วตกตะลึงอย่างรุนแรง ทางน้ำนำมาถึงสถานที่ใดกันแน่?

จินเฟยเหยาไม่ได้ใช้พลังวิญญาณลอยบนผิวน้ำ แค่โผล่ศีรษะพ้นน้ำ นั่นเพราะรอบด้าน ทุกแห่งหนล้วนมีแต่คนกับเรือ ถ้านางยังตัวแห้งแบบนี้คงเด่นสะดุดตาเกินไป

สถานที่ซึ่งนางลอยมา เป็นทะเลสาบใหญ่แห่งหนึ่ง น้ำมีสีเขียวใส มีปลาแหวกว่าย ทะเลสาบกว้างใหญ่เพียงใด จินเฟยเหยาที่อยู่ในน้ำไม่ทราบกระจ่าง รู้เพียงแค่ทอดสายตามองไป อย่างน้อยที่สุดมองเห็นเกาะเล็กเกาะน้อยสิบกว่าเกาะในคลองจักษุ บนเกาะมีอาคารบ้านเรือน มีสะพานไม้ สะพานศิลา หรือแท่นกลางน้ำนานาชนิดที่เชื่อมระหว่างเกาะที่ใกล้กัน

บนผิวน้ำในทะเลสาบมีเรือใหญ่น้อยจำนวนมาก พายผ่านกลางดอกบัวสีม่วงที่ลอยอยู่ บางครั้งยังมีผู้บำเพ็ญเซียนบินผ่านผิวทะเลสาบอย่างอิสรเสรี ปลายเท้าสะกิดดอกบัวสีม่วงที่ลอยอยู่เบาๆ จากนั้นก็เหินร่างร่อนลงบนเรือหรือริมฝั่ง ทว่ามีผู้บำเพ็ญเซียนบางคน เหยียบอาวุธเวทเหาะเหินกลางอากาศ ดูราวกับไม่มีการป้องกัน ทั้งเมืองก็คือเมืองเกาะบนทะเลสาบ

นี่เป็นคนละเรื่องกับเมืองที่ไร้ผู้คนอย่างที่จินเฟยเหยาคิด นางแอบดำน้ำว่ายไปเกาะที่ใกล้ที่สุด คิดจะขึ้นฝั่งจากด้านนี้ จากนั้นปลาทองที่ตัวใหญ่กว่านาง ว่ายผ่านข้างกายนางอย่างสง่างาม บนหัวของมันยังแขวนตะเกียงเล็กๆ ไว้ ส่องแสงอันอ่อนโยนออกมา

“ปลาทองตัวใหญ่ยิ่ง” ปลาตัวนี้สวยงามมากจริงๆ จินเฟยเหยาเงยหน้าทอดถอนใจ เห็นปลาทองขนาดใหญ่เหมือนกันสิบตัว ลากอะไรบางอย่างบนผิวน้ำ เห็นตรงด้านล่างที่วาดผ่านผิวน้ำดูเหมือนจะเป็นเรือน้อยที่เหมือนรถม้าคันหนึ่ง

“รถลากปลาทอง…”

จินเฟยเหยาหมดวาจา มีสิ่งของมากมายในเมืองนี้ที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน รู้สึกแปลกใหม่ แต่ตอนนี้ต้องขึ้นฝั่งก่อน จากนั้นค่อยๆ สอบถามว่าตนเองมาถึงที่ใด

บนเกาะแต่ละเกาะล้วนมีท่าเรือเล็กๆ จินเฟยเหยาไม่ได้ขึ้นฝั่งตรงท่าเรือ ทว่าหาสถานที่อันห่างไกลขึ้นเกาะ และหาสถานที่ซึ่งไม่มีคนแห่งหนึ่ง นางใช้เวทอัคคีอบเสื้อผ้าบนร่างให้แห้งก่อน จากนั้นจัดแจงเสื้อผ้าบนร่างจึงเดินออกมา

นี่เป็นเกาะเล็กๆ ที่เล็กอย่างยิ่ง มีเพียงสิบกว่าครัวเรือน บ้านสร้างจากไม้กระดานรั้วทำจากไม้ไผ่ ในสวนมีเสื้อผ้าที่ซักตากแดดและปลาตากแห้ง นางเดินไปตามริมเกาะ บางครั้งบางคราวมีเป็ดร้องแคว๊กๆ เดินจากพุ่มไม้ริมฝั่งลงไปทะเลสาบ และมีแม่ไก่พาลูกเจี๊ยบหาหนอนกินในพุ่มไม้ พอเห็นจินเฟยเหยาปรากฏตัวก็เรียกลูกเจี๊ยบทั้งหมดมาปกป้องไว้ใต้ร่างอย่างระแวดระวัง

บนเกาะเงียบสงบยิ่ง ไม่มีใครสักคน มีแค่เสียงร้องของเป็ดไก่เหล่านั้น เงยหน้าขึ้นมองเหนือศีรษะ จินเฟยเหยาคาดว่าเวลานี้น่าจะเพิ่งผ่านเที่ยงวัน คนที่กินอาหารกลางวันแล้วล้วนกำลังพักผ่อน

“พี่สาว เจ้าคือท่านเซียนหรือ?” ทันใดนั้นด้านหลังนางมีเสียงอ่อนใสดังมา

“อืม?” จินเฟยเหยาหันหน้าไปมอง เด็กชายอายุสี่ห้าขวบคนหนึ่งมุดออกมาจากพุ่มไม้ในมือยังถือไข่ไก่หนึ่งฟอง เขาเงยหน้าขึ้น มองจินเฟยเหยาด้วยดวงตาเป็นประกาย

บังเอิญจริงๆ กำลังคิดจะหาคนมาถามว่าที่นี่คือที่ใดอยู่พอดี ก็มีตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดปรากฏขึ้น เห็นเด็กน้อยเบื้องหน้า จินเฟยเหยามีสีหน้ายินดียิ่ง ย่อกายลงเอ่ยยิ้มๆ “ใช่ ข้าเป็นท่านเซียน เจ้ามีเรื่องอะไร?”

เด็กชายยิ้มขัดเขิน “ท่านแม่ข้าบอกว่า ถ้าเห็นท่านเซียนต้องมีมารยาท ไม่เช่นนั้นจะถูกตำหนิ”

“เจ้ามีมารยาทจริงๆ ท่านเซียนขอถามเจ้าสักหลายคำถามได้หรือไม่? เจ้าตั้งใจตอบข้ามา ข้าจะให้ศิลาวิญญาณแก่เจ้า” จินเฟยเหยาล้วงศิลาวิญญาณก้อนหนึ่งออกมาจากอก ส่ายไปมาเบื้องหน้าเด็กชาย เอ่ยพลางยิ้มตาหยี

นางเชื่อว่า ในสถานที่ซึ่งรู้จักผู้บำเพ็ญเซียน ย่อมต้องใช้ศิลาวิญญาณเป็นเงินตรา ใช้สิ่งนี้เป็นสินน้ำใจดีที่สุด จริงเสียด้วย หลังเด็กชายเห็นศิลาวิญญาณดวงตาก็เป็นประกาย เพียงแต่เอ่ยอย่างขลาดเขลาอยู่บ้าง “ท่านแม่ข้าบอกว่า หยิบสิ่งของของผู้อื่นตามใจชอบไม่ได้”

“เจ้าไม่ได้หยิบตามใจชอบ นี่เป็นรางวัลที่เจ้าช่วยข้า” จินเฟยเหยายิ้ม

เด็กชายเอ่ยอย่างตกตะลึง “ท่านเซียนมีเรื่องอันใดให้ข้าช่วยเหลือ?”

“บอกแล้วเจ้าอย่าหัวเราะข้านะ ข้าผู้นี้ความจำไม่ดี คิดไม่ออกว่ามาถึงที่ใด” จินเฟยเหยาเอ่ยเสียงเบา

“อา! นี่เป็นโรค ต้องรักษา” เด็กน้อยฟังแล้วมองนางอย่างเห็นใจ พยักหน้าเอ่ยตอบอย่างจริงจัง

จินเฟยเหยาตะลึงงัน ปิดหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เด็กชายตกใจกลัว ยืนอยู่ด้านข้างมองนางโดยไม่กล้าขยับเขยื้อน รอนางหัวเราะจนพอ จึงวางศิลาวิญญาณลงในมือของเด็กชาย จากนั้นถามว่า “น้องชาย เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด?”

“อืม ที่นี่คือเกาะเฟิงอวี๋” เด็กชายใส่ศิลาวิญญาณไว้ในอกเหมือนของล้ำค่า เอ่ยตอบโดยไม่ต้องคิด

“เกาะเฟิงอวี๋ ที่เจ้าพูดถึงคือเกาะเล็กๆ แห่งนี้สินะ ที่ข้าอยากรู้คือ นี่เป็นเมืองอะไร รอบด้านยังมีเกาะอื่นๆ อีกมิใช่หรือ?” จินเฟยเหยาถามอีก

เด็กชายพยักหน้า ชี้ไปที่เกาะโดยรอบแล้วบอกว่า “ทางนั้นคือเกาะหลี บนนั้นมีท่านเซียนตระกูลหลี่อาศัยอยู่ ทางนั้นเป็นเกาะใหญ่มีบ้านมากมาย ชื่อเกาะซื่อฝาง ปกติพวกเราขายปลาและซื้อของล้วนไปที่นั่น ยังมีเกาะรูปน้ำเต้าทางด้านนั้น ชื่อว่าเกาะน้ำเต้า บนนั้นมีชาวประมงอาศัยอยู่จำนวนมาก ยังมีทางนั้น…”

“เดี๋ยวก่อน เกาะที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ใด ชื่อว่าอะไร?” จินเฟยเหยาฟังจนมึนศีรษะ ดูเหมือนเด็กน้อยคนนี้จะไม่รู้ชื่อของสถานที่แห่งนี้ รู้แค่เกาะที่คุ้นเคยเหล่านั้นชื่ออะไร

“เกาะที่ใหญ่ที่สุด…” ราวกับเด็กชายกำลังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง จากนั้นจึงเอ่ยอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “มีเกาะหนึ่งใหญ่มาก บนนั้นมีท่านเซียนมากมาย ชื่อว่าอะไร ข้าจำได้ว่าท่านแม่เคยบอกว่า จริงสิ ชื่อเกาะซ่างเซียน อยู่ทางนั้น”

นางมองไปตามทิศทางที่เขาชี้ จินเฟยเหยาเห็นแต่เกาะเล็กๆ ท่าทางเกาะซ่างเซียนจะมองจากที่นี่ไม่เห็น

“ขอบใจเจ้ามาก เจ้าช่วยข้าได้มากจริงๆ ข้าไปก่อนนะ” สอบถามได้ความแล้ว จินเฟยเหยาก็ลูบศีรษะของเขา ยิ้มและเอ่ยขอบคุณ จากนั้นจึงนำพรมบินออกมาเหาะไปเกาะหลี