บทที่ 115 รถปลาทองของเสี่ยวหมาง

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

จินเฟยเหยาเหาะอยู่กลางอากาศ เกาะเล็กๆ ด้านล่างผ่านเบื้องหน้าไปทีละเกาะ ไม่รอให้นางมองเห็นทิวทัศน์ด้านล่างชัดเจน เสาน้ำสายหนึ่งพลันพ่นออกมาจากในทะเลสาบ โจมตีเข้าบนร่างของนางพอดี จินเฟยเหยาหลบไม่ทัน ถูกเสาน้ำโจมตีโดน กลิ้งลงไปกระทบน้ำในทะเลสาบด้านล่าง

เสาน้ำปรากฏขึ้นในทะเลสาบเพื่อก่อกวนจินเฟยเหยาเท่านั้น ถึงแม้จะมีพลังมากและปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ทว่าไม่ได้คิดจะเอาชีวิตนาง เพียงโจมตีนางให้ร่วงจากกลางอากาศ หลังนางร่วงลงในทะเลสาบ เสาน้ำที่โจมตีก็หายไป เหลือแต่จินเฟยเหยาที่ลอยเท้งเต้งในน้ำเพียงลำพัง

“ท่านเซียนท่านนี้ อยากนั่งรถลากปลาหรือไม่? ราคายุติธรรมอย่างยิ่ง อีกทั้งยังสามารถทัศนาจรรอบทะเลสาบ” ในขณะนี้เอง เสียงอ่อนหวานก็ดังขึ้นข้างกาย

จินเฟยเหยาลอยอยู่กับที่ หันหน้าไปมอง ปลาทองสามตัวหยุดอยู่ข้างกายนาง ด้านหลังลากเรือน้อยที่ส่วนหลังมีหลังคาเย็นสบาย รอบหลังคาแขวนม่านไม้ไผ่ที่ม้วนขึ้น ในเรือสามารถนั่งได้สองคน หัวเรือมีสตรีงดงามผู้หนึ่งนั่งอยู่ อายุยี่สิบกว่าปีไม่มีพลังการบำเพ็ญเพียร

เห็นจินเฟยเหยาไม่เอ่ยวาจา เพียงแต่มองนางอย่างแปลกใจ สตรีผู้นั้นยิ้มให้ “เกรงว่าท่านเซียนคงมาเมืองวั่นเซียนสุ่ยเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงเหยียบของวิเศษเหาะเหินจนถูกเสาน้ำโจมตีร่วงลงมา ข้าขับรถลากปลาโดยเฉพาะ ปกติรับส่งคนในทะเลสาบแห่งนี้พาทัศนาจรรอบทะเลสาบชมทิวทัศน์และแนะนำเกาะแต่ละแห่ง ไม่ทราบท่านเซียนต้องการรถหรือไม่? ถึงจุดหมายค่าใช้จ่ายคิดตามระยะทางใกล้ไกล แตกต่างกันไปตั้งแต่หลายสิบเศษศิลาวิญญาณจนถึงศิลาวิญญาณสิบก้อน หากทัศนาจรรอบทะเลสาบ ห้าสิบศิลาวิญญาณชั้นล่าง วันนี้รถคันนี้ถูกท่านเซียนเหมา คิดจะไปที่ใดก็ได้”

ฟังจากคำพูดของนาง ดูเหมือนที่นี่จะเหยียบอาวุธเหาะเหินไม่ได้ ทว่าเห็นได้ชัดว่ามีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากเหยียบอาวุธเวทเหาะเหินได้ ถ้าอย่างไร ในขณะนี้เอง ก็มีผู้บำเพ็ญเซียนสองคนบินผ่านกลางอากาศเหนือศีรษะนางไปอีก ไม่เห็นมีเสาน้ำโจมตีพวกเขา จินเฟยเหยาครุ่นคิด ตนเองเพิ่งมาถึง ไม่มีธุระเร่งร้อนอะไร จึงเหมารถทั้งคัน ดังนั้นนางจึงลอยออกจากน้ำในทะเลสาบ กระโดดขึ้นบนรถเล็กๆ ของสตรีผู้นี้

ตรงหัวรถเล็กๆ ปูไม้กระดาน ทว่าในตัวรถรูปสี่เหลี่ยมด้านหลังกลับปูพรมอันงดงาม บนที่นั่งยังมีฟูกที่หนาและสะอาดสะอ้าน เห็นตนเองเปียกโชกไปทั้งตัว นางอดขัดเขินที่จะนั่งด้านในไม่ได้ ยามนี้แสงแดดแผดเผา จินเฟยเหยานั่งลงบนไม้กระดานข้างกายนาง จากนั้นเอ่ยถามว่า “ข้าจะไปเกาะซ่างเซียน แต่ในเมื่อเจ้าก็พาทัศนาจร เช่นนั้นเดินทางไปพลางแนะนำเมืองวั่นเซียนสุ่ยแห่งนี้แก่ข้าเถอะ แต่ก่อนหน้านั้น เจ้าบอกข้าก่อน เหตุใดพวกเขาจึงเหยียบอาวุธเวทเหาะเหินได้ ส่วนข้าโดนเสาน้ำโจมตีร่วงลงมา”

“ท่านเซียน คนที่สามารถเหยียบอาวุธเวทเหาะเหินกลางอากาศได้ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม ขอเพียงเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมขึ้นไป จะไม่ได้รับผลกระทบจากการป้องกันของหมื่นทะเลสาบ สามารถเหาะเหินกลางอากาศได้ตามใจปรารถนา ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนต่ำกว่าขั้นหลอมรวม หนทางไกลต้องนั่งเรือ ระหว่างเกาะที่ใกล้กันก็มีคนกระโดดข้าม ไม่ได้ใช้ของวิเศษ ใช้แค่การกระโดดก็จะไม่เป็นไร” สตรีผู้นั้นดึงสายบังเหียนในมือเบาๆ ปลาทองสามตัวที่หยุดอยู่ในน้ำจึงเริ่มแหวกว่าย

พูดแบบนี้ จินเฟยเหยาจึงเพิ่งสังเกตเห็น นางไม่ได้ตรวจสอบพลังการบำเพ็ญเพียรของผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้น แค่นึกว่าพวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานแน่นอน อย่างไรเสียตอนนางอยู่โลกหนานซาน ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมไม่ชอบออกจากบ้าน จึงพบเห็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมปรากฏตัวขึ้นภายนอกได้น้อยมาก ไหนเลยจะเหมือนที่นี่ มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมบินว่อนทั่วท้องนภา ชั่วครู่หนึ่ง นางพบเห็นผู้บำเพ็ญเซียนอย่างน้อยที่สุดเจ็ดแปดคน

“สถานที่ที่ข้าอยู่ไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมมากมายถึงปานนี้ พวกเขาล้วนชอบหลบอยู่แต่ในถ้ำเซียน ดังนั้นข้านึกว่าคนเหล่านี้คือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน” จินเฟยเหยาหัวเราะอย่างขมขื่น ถ้าตนเองไม่ปัญญาอ่อน คงหาผู้ใหญ่มาสอบถามแทนเด็กที่ฟันยังขึ้นไม่ครบ ก็คงไม่ถูกเสาน้ำโจมตีจนร่วงน้ำ เสื้อผ้าเพิ่งแห้งก็เปียกอีกรอบหรอก

สตรีผู้นั้นเอ่ยอย่างสงสัยอยู่บ้าง “สถานที่ที่ท่านเซียนอาศัยอยู่น่าจะห่างไกลยิ่งสินะ ในโลกระดับวิญญาณ ผู้ที่ชอบร่อนไปทั่วที่สุดคือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม เนื่องจากพวกเขาร่อนไปทั่วทุกแห่ง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานกลับไม่ทำตัวโดดเด่น อย่างไรเสียพลังการบำเพ็ญเพียรยังต่ำอยู่มาก”

พอจินเฟยเหยาได้ยินก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าตนเองจะมาถึงโลกระดับวิญญาณโดยบังเอิญ ไม่รู้ว่าในโลกที่ระดับสูงกว่าขั้นหนึ่ง ใช่จะให้คนของโลกระดับดินมาได้ตามใจชอบหรือไม่ แต่ดูท่าทางหากบอกว่าตนเองเป็นคนของโลกระดับดิน คงไม่เป็นผลดี ดังนั้นนางจึงสะกดความแตกตื่นยินดีในใจเอาไว้ เอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ใช่ สถานที่ที่ข้าอยู่ห่างไกลมาก เป็นที่ทุรกันดาร มีผู้บำเพ็ญเซียนไม่มาก ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจมาทำมาหากินที่เมืองวั่นเซียนสุ่ย”

“จะว่าไปก็จริง เมืองวั่นเซียนสุ่ยของพวกเรา เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกวิญญาณเป่ยเฉิน อีกทั้งทุกร้อยปีที่นี่ล้วนมีเรือเหาะลำหนึ่งไปโลกระดับเทพ ดังนั้นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมจำนวนไม่น้อยล้วนอาศัยอยู่ที่นี่ เทียบกับโลกอื่นๆ จะมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมมากกว่าหน่อย” สตรีผู้นั้นยิ้ม เอ่ยตอบรับประโยคหนึ่ง

ในความเห็นของนาง เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนในโลกวิญญาณเป่ยเฉินรู้ดี กลับทำให้จินเฟยเหยาตกตะลึงอย่างรุนแรงจนไม่กล้าพูดมาก ถ้าพูดต่อไป เรื่องที่ตนเองเดินทางมาโดยเส้นทางที่ไม่เหมาะสมต้องเปิดเผยออกมาแน่

ถึงแม้นางอยากจะถามเรื่องของโลกวิญญาณเป่ยเฉินแห่งนี้อีก ทว่าเพื่อความปลอดภัย จินเฟยเหยาจึงหลีกเลี่ยงหัวข้อสนทนาเหล่านี้ “ข้ามาเมืองวั่นเซียนสุ่ยเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เคยได้ยินเรื่องของที่นี่มาบ้าง พอมาถึงที่นี่จริงๆ ตนเองยังเหมือนคนบ้านนอกอยู่ ไม่รู้อะไรเลย อีกทั้งเกาะของที่นี่ก็มีมากมาย แยกแยะได้ไม่หมด เจ้าช่วยแนะนำข้าหน่อย”

“หึหึ” สตรีผู้นั้นหัวเราะ ทว่าไม่ได้ล้อเลียนจินเฟยเหยา ถ้าทุกคนต่างคุ้นเคยกับเมืองวั่นเซียนสุ่ยดี นางยังจะหาเงินได้อย่างไร แนะนำสภาพของเมืองริมน้ำ เดิมทีคืองานของนางอยู่แล้ว ถ้าผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้ยินดี นางก็จะได้รางวัล

นางกระแอมให้คอโล่ง เริ่มแนะนำ “ท่านเซียนอาจจะเคยได้ยินมาว่า เมืองวั่นเซียนสุ่ยมีเกาะนับหมื่น ที่จริงแค่เผยแพร่ออกไปให้ฟังดูดีเท่านั้น ที่จริงเมืองวั่นเซียนสุ่ยมีทั้งหมดแค่สองพันหกร้อยสามสิบเจ็ดเกาะ ไม่ได้มากเหมือนที่ภายนอกเล่าลือกัน”

“สองพันหกร้อยสามสิบเจ็ดเกาะ…” ทะเลสาบแห่งนี้ต้องกว้างใหญ่เพียงใด จินเฟยเหยาหมดวาจา เกาะมากมายปานนี้ ถ้าไม่มีคนนำทางต้องหลงทางแน่นอน แต่นางไม่ได้สอดปากเพียงแค่พยักหน้าฟังสตรีผู้นี้เอ่ยต่อไป

“ที่จริงเกาะเหล่านี้ล้วนมีการแบ่งแยกประเภทโดยเฉพาะ เกาะเล็กๆ ที่ขาดแคลนปราณวิญญาณก็ให้คนธรรมดาอย่างพวกเราอาศัยอยู่ เกาะที่มีปราณวิญญาณน้อยก็เช่นเดียวกัน ทว่าเกาะที่มีพื้นที่มาก ให้เป็นเกาะสำหรับทำการค้า สถานที่อยู่อาศัยและทำการค้าล้วนแบ่งแยกออกจากกัน แค่ดูระดับความครึกครื้นบนเกาะก็สามารถแยกหน้าที่ของเกาะเหล่านี้ได้ ส่วนเกาะที่มีปราณวิญญาณเข้มข้นปกติล้วนเป็นที่ตั้งของตระกูลผู้บำเพ็ญเซียน ยังมีเกาะจำนวนไม่น้อยที่ให้บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนเช่าอยู่อาศัย เหมือนเกาะซ่างเซียนที่ท่านเซียนจะไปก็คือสถานที่บริหารจัดการงานทุกอย่างในเมืองโดยเฉพาะ” นางอธิบายอย่างช้าๆ

จินเฟยเหยาพยักหน้า เด็กน้อยชี้ทางได้ถูกต้อง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมืองวั่นเซียนสุ่ยต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าเมืองหรือค่าที่พักอาศัยหรือไม่

“ผู้บำเพ็ญเซียนที่มาถึงเมืองวั่นเซียนสุ่ย เรื่องแรกที่ต้องทำก็เหมือนท่านเซียน ไปเกาะซ่างเซียนทำมุกเข้าเมืองเม็ดหนึ่ง จากนั้นก็เช่าสถานที่พักอาศัย แล้วซื้อแผนที่เกาะเมืองวั่นเซียนสุ่ยสักฉบับ มีแผนที่เกาะ ทุกคนล้วนหาสถานที่ที่อยากไปพบได้อย่างสบายๆ ข้ารู้จักคนขายแผนที่ผู้หนึ่ง แผนที่ที่เขาทำนอกจากมีชื่อเกาะ ยังมีสถานที่ตั้งของตระกูลต่างๆ ในแต่ละเกาะ แม้แต่ร้านค้าที่มีชื่อเสียงก็ยังมีสัญลักษณ์ ทั้งยังไม่แพง ฉบับหนึ่งแค่สองร้อยศิลาวิญญาณชั้นล่างเท่านั้น” สตรีผู้นั้นอธิบาย ยังไม่ลืมสนับสนุนการค้าของคนรู้จัก

“เช่นนั้นก็ซื้อฉบับหนึ่ง” จินเฟยเหยาตอบรับอย่างสบายๆ นางต้องการแผนที่อย่างยิ่ง เพียงแต่ราคาสินค้าของที่นี่น่าตื่นตระหนกเกินไป เหตุใดพอเอ่ยปากตามสบายครั้งหนึ่งก็หลายสิบหลายร้อยศิลาวิญญาณนะ ในโลกหนานซานใครจะกล้าซื้อแผนที่ฉบับละสองร้อยศิลาวิญญาณ หรือเห็นว่าข้าไม่เคยมาที่นี่จึงจงใจฟันกำไรข้า แต่สำหรับนางแล้วเงินจำนวนนี้ถือเป็นเงินเล็กน้อย ฟันก็ฟันสิ ขอเพียงลดเรื่องยุ่งยากได้ก็พอ

ถึงตอนท้ายเสื้อผ้าของจินเฟยเหยาก็แห้ง จึงนั่งในฟูกนุ่มๆ ในตัวรถ ทันใดนั้นพลันนึกได้ว่าต้านิวและเนี่ยนซีไม่ได้ออกมาอาบแสงอาทิตย์หนึ่งปีกว่า และยังกินอาหารจนหมด จึงรีบให้สตรีที่ชื่อเสี่ยวหมางคนนี้ไปหาสถานที่กินอาหาร เงื่อนไขไม่มาก ขอเพียงสถานที่กว้างขวาง ถึงโทรมหน่อยก็ไม่เป็นไร

ได้ยินคำพูดนี้ เสี่ยวหมางจึงมองดูรอบด้าน มีเพียงเกาะเซี่ยชีที่ให้คนธรรมดาซื้อขายสินค้า นางลังเลนิดหน่อย พาท่านเซียนไปสถานที่เช่นนี้จะถูกตำหนิหรือไม่ นางครุ่นคิดแล้วเอ่ยกับจินเฟยเหยาว่า “ท่านเซียน ถ้าอย่างไรไปข้างหน้าอีกหน่อย เกาะเฟิงชานด้านหน้ามีร้านอาหารดีๆ ร้านหนึ่ง ที่นี่มีเพียงร้านขายของกินบนเกาะเซี่ยชี แต่สถานที่ทรุดโทรมยิ่ง แค่ให้บรรดาชาวประมงมาซื้อของกิน ไม่กล้าพาท่านเซียนไป”

“ไม่ต้องแล้ว ไปที่นี่เถอะ หากชักช้าข้ากลัวว่าจะหิวตายเสียก่อน” จินเฟยเหยาไม่พูดพร่ำทำเพลง ให้นางไปที่นี่ทันที ยังจะร้านอาหารระดับสูงอะไรอีก สามตัวด้านในหิวโหยอยู่นานขนาดนี้ เนี่ยนซีน่ะช่างเถอะ พั่งจื่อกับต้านิวกินเก่งอย่างยิ่ง ราคาถูกเป็นดีที่สุด ใช้ของราคาถูกมายัดให้พวกมันอิ่มท้อง ข้าจะได้ไปกินร้านอาหารระดับสูงคนเดียว

“เช่นนั้นข้าจะพาท่านเซียนไปเดี๋ยวนี้” เห็นท่าทางจินเฟยเหยารีบร้อนอย่างยิ่ง นางจึงรีบให้ปลาทองลากรถว่ายไปทางเกาะเซี่ยชีอย่างไม่เข้าใจ

เกาะเซี่ยชีเป็นเพียงเกาะเล็กๆ กว้างสิบกว่าหมู่ บนเกาะมีร้านค้าหลายร้าน ยังมีแผงเล็กๆ ที่รับและขายปลาที่ท่าเรือ ร้านอาหารร้านเดียวก็อยู่ข้างท่าเรือ เป็นเพิงแห่งหนึ่งมีโต๊ะสามตัวรวมเป็นร้านอาหารร้านหนึ่ง ยามนี้เพิ่งผ่านเวลาอาหาร ภายในร้านอาหารว่างเปล่า มีเพียงสามีภรรยาชราคู่หนึ่งกำลังล้างชามและตะเกียบอยู่ด้านข้าง

เสี่ยวหมางพาจินเฟยเหยาไปจอดที่ท่าเรือแห่งนี้ รอบด้านมีหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ เจ็ดแปดแห่ง บรรดาชาวประมงกำลังสำราญกับการเอ้อระเหยหลังเที่ยงวัน รถปลาทองจอดที่นี่ ทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ ทุกคนมองเสี่ยวหมางและจินเฟยเหยาอย่างสงสัย

เสี่ยวหมางนำจินเฟยเหยามานั่งในร้านอาหารอย่างไม่สบายใจ ก้มหน้าเกรงว่าจินเฟยเหยาจะมีโทสะ ไหนเลยจะรู้จินเฟยเหยาเห็นร้านอาหารเรียบง่ายเช่นนี้ ก็แอบยินดีในใจ เอ่ยสามีภรรยาคู่นั้นที่ตะลึงงันอยู่ด้านข้าง “รีบยกอาหารมา นำของที่กินได้ทั้งหมดในร้านมาให้ข้า” สามีภรรยาชราตะลึงงัน ไม่กล้าไปทำอยู่บ้าง ผู้ใดจะกล้าทำอาหารหยาบๆ ให้ท่านเซียน ถ้าเกิดมีโทสะขึ้นมา ยังคิดเปิดร้านอยู่หรือไม่

“อา ทำไมไม่ไปทำ หรือว่าพวกเจ้าเก็บร้านแล้ว?” จินเฟยเหยามองคนทั้งสองนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

เห็นนางไม่รังเกียจและจะกินอาหารที่นี่จริงๆ เสี่ยวหมางรีบเอ่ยว่า “ท่านเซียนไม่รังเกียจร้านของพวกเจ้า รีบไปนำอาหารมา เร็วหน่อย”

สามีภรรยาชราทั้งสองจึงเชื่อว่าท่านเซียนจะกินอาหารที่นี่จริงๆ วิ่งออกไปง่วนอยู่บนเตาด้วยความรู้สึกสับสนปนเปในใจ