ตอนที่ 100.1 การปรากฏตัวของตงฟางไป๋ (1) (รีไรท์)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

ขณะที่เล่อเหยาเหยาถูกสายตาเศร้าของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ทำให้ตกตะลึงจนยังไม่ได้สติ เหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับเม้มริมฝีปากแดงแน่นชั่วขณะ ก่อนจะไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา เพียงหมุนตัวจากไปอย่างรวดเร็ว

เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น คิ้วเข้มน่ามองอดขมวดขึ้นไม่ได้

ไม่พูดแม้คำเดียว นั่นหมายความว่าเช่นไร เขาให้เธอออกไป หรือไม่อนุญาตกันแน่

คำตอบเดียวนี้ เล่อเหยาเหยาล้วนไม่ได้ยินจากปากของพญายมเลย

วันรุ่งขึ้น เมื่อเธอตื่นขึ้นมาตอนเช้า วางแผนเข้าไปปรนนิบัติพญายม กลับรับข่าวที่ทำให้เธอตกตะลึง นั่นคือ…

พญายมออกจากวังไปแล้ว!

ว่ากันว่าเพราะทางไท่ซานนั้นมีโจรสลัดออกอาละวาด ชาวประมงบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ทำให้ฮ่องเต้ทรงปวดศีรษะ

หลังพญายมได้รับข่าว รีบนำคนขี่ม้ารีบร้อนไปที่ไท่ซาน

ลือกันว่าเรื่องโจรสลัดทางไท่ซานครั้งนี้ แม้พญายมจะมีความสามารถเหนือคนทั่วไป แต่ว่าครั้งนี้กลับไม่รู้จะกลับมาเมื่อใด

อาจจะสิบวัน หนึ่งเดือน หนึ่งปีหรือสองปี หรืออาจจะสามปีห้าปีก็บอกไม่ได้

แน่นอนว่าคำพูดพวกนี้ เล่อเหยาเหยาได้ยินมาจากปากของขันทีน้อยในวังอ๋อง

สามหรือห้าปีหรือ!

นั่นมิใช่หมายความว่า ต่อไปเธอก็ไม่ต้องเจอหน้าพญายมทุกวันหรอกหรือ แม้พญายมจะกลับมา สามปีให้หลัง เธอก็ไปจากที่นี่แล้ว!

ผลลัพธ์เช่นนี้ สำหรับเธอควรถือว่าดีมากทีเดียว

เมื่อคืน เธอเกลียดจนอยากรีบไปจากวังอ๋อง หนีจากพญายมไปให้ไกล

แต่ไม่รู้เหตุใด เมื่อพญายมจากไป และนึกถึงว่าจะไม่ได้เจอเขาแล้ว ใจเธอกลับอึดอัด คล้ายมีก้อนหินกดทับเอาไว้

สวรรค์! เธอเป็นอันใดกันแน่

เห็นชัดว่าตนไม่ชอบพญายมนั้นมิใช่หรือ เขาจากไปก็ดีมิใช่หรือ แต่เหตุใดตอนนี้ในใจเธอจึงเจ็บปวดเช่นนี้!

ความรู้สึกของตนเวลานี้ ทำให้เล่อเหยาเหยาสับสนยิ่งนัก

อีกทั้งช่วงเวลาที่ไม่มีพญายมอยู่

เล่อเหยาเหยาพบว่าตนทำสิ่งใด คล้ายไร้เรี่ยวแรง และไร้จุดหมาย

ตนดูสับสนมึนงงตลอดวัน ใช้ชีวิตอย่างเลื่อนลอย

ทุกวันหลังตื่นนอนตอนเช้า ไปปัดกวาดที่ตำหนักหย่าเฟิงหนึ่งรอบ จากนั้นก็ไม่มีงานให้เธอทำอีก

ตำหนักหย่าเฟิงเพราะเจ้าของตำหนักไม่อยู่ จึงดูคล้ายว่างเปล่า และเงียบสงบอย่างมาก

เมื่อเห็นตำหนักหย่าเฟิงที่ว่างเปล่า เพราะตอนนี้พญายมจากไป เหม่ยและซิงก็ต้องติดตามข้างกายเขาไปเช่นกัน

เดิมทีแม้พญายมจะอยู่ในตำหนักหย่าเฟิง ตำหนักหย่าเฟิงก็เงียบสงบมากอยู่แล้ว เขาไม่อยู่ยิ่งเงียบมากขึ้น จนทำให้ใจคน คล้ายขาดสิ่งใดไปบางอย่าง

วันนี้เป็นวันที่สามที่พญายมจากไป เล่อเหยาเหยาหลังจากทำงานในตำหนักหย่าเฟิงเสร็จ ก็เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี จึงไปที่โรงอาหาร

เสี่ยวมู่จื่อนั่งอยู่ที่นั่นรอเธอก่อนแล้ว

เล่อเหยเหยาหลังหยิบอาหารและตักข้าวแล้ว ก็รีบมาหาเสี่ยวมู่จื่อทันที

“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าไม่สบายหรือ”

เล่อเหยาเหยาเพิ่งนั่งลง เสี่ยวมู่จื่อก็เอ่ยถามขึ้นทันที

เล่อเหยาเหยาเมื่อได้ยิน เลิกดวงตางดงามขึ้น คล้ายไม่เข้าใจ

“ข้าไม่ได้ไม่สบาย เสี่ยวมู่จื่อเหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนี้”

เล่อเหยาเหยาไม่เข้าใจคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ

ส่วนเสี่ยวมู่จื่อที่นั่งอยู่ตรงข้ามเล่อเหยาเหยา กลับมองเล่อเหยาเหยาอยู่ตลอด เอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“เสี่ยวเหยาจื่อ พักนี้สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเลย ไม่สบายที่ใดหรือไม่ อีกทั้งข้าเห็นเจ้าหลายวันมานี้ คล้ายไร้ชีวิตชีวา หากเจ้าไม่สบาย มิเพียงสีหน้าที่ดูไม่ดี ทานข้าวกลับทานมากกว่าปกติมากนัก แต่ก็ไม่เห็นเจ้าอ้วนขึ้น”

เมื่อได้ฟังคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยาก็ก้มหน้าลงมองชามข้าวที่สูงดุจภูเขาลูกเล็ก จึงตกใจว่าพักนี้ตนคล้ายทานมากเกินไปจริง!

น่าแปลกที่สุดคือ ไม่ว่าเธอกินมากเพียงใด ต่างไม่รู้สึกอิ่ม

คำนวณจากอายุของร่างนี้ อาจเพราะเหตุผลด้านพัฒนาการด้านร่างกาย จึงทานได้มากมายเพียงนั้น!

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยายิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย ก่อนเอ่ยขึ้นว่า

“เสี่ยวมู่จื่อ เจ้าไม่ต้องห่วงข้า พักนี้ข้ากำลังบำรุงร่างกาย เจ้าก็เหมือนกัน ต้องทานให้เยอะกว่านี้ วันหน้าถึงจะสูงใหญ่!”

“เช่นนี้หรอกหรือ งั้นข้าก็วางใจ เมื่อครูข้ายังกังวลอยู่เลย ”

เสี่ยวมู่จื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยาก็วางใจ จากนั้นก็เริ่มทานข้าวอย่างตะกละตะกลาม

หลังจากเล่อเหยาเหยาและเสี่ยวมู่จื่อทานเสร็จ พ่อครัวหลี่พลันเดินเข้ามาพอดี ก่อนเอ่ยกับเล่อเหยาเหยาว่า

“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้ารู้จักแม่นางน้อยที่ชื่อหลูซวงหรือไม่”

“เอ่อ หลูซวงหรือ”

เมื่อได้ยินคำถามของพ่อครัวหลี่ เล่อเหยาเหยาตะลึงชั่วขณะ จึงฉุกคิดว่าหลังจากช่วยหลูซวงไถ่ถอนตัว เธอก็ไม่เจอหลูซวงอีกเลย

หากพ่อครัวหลี่ไม่เอ่ยถึง เธอก็ลืมหลูซวงไปแล้ว

ตอนนี้ได้ยินคำพูดของพ่อครัวหลี่ เล่อเหยาเหยากระพริบตาอย่างสงสัย ก่อนเอ่ยถามว่า

“พ่อครัวหลี่ ท่านรู้ว่าข้ารู้จักหลูซวงได้เช่นไร”

“เมื่อครู่ตอนเข้ามาในวังทางประตูหลัง ข้าเห็นแม่นางผู้หนึ่งทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่พอดี สีหน้าดูร้อนใจ คล้ายมองหาใครบางคน ดังนั้นข้าจึงเข้าไปถามไถ่อย่างหวังดี เพราะตอนนี้เป็นหน้าร้อน เห็นแม่นางน้อยยืนอยู่ท่ามกลางแดดจัด เกรงจะเป็นลมแดดได้ง่าย คิดไม่ถึง แม่นางน้อยนั้นกลับเอ่ยว่าอยากพบเจ้า ดังนั้นข้าเลยนำข้อความของเธอมาบอกแก่เจ้า!”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ขอบคุณพี่ใหญ่หลี่”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของพ่อครัวหลี่ เล่อเหยาเหยาฉุกคิดขึ้นมาทันที พลันเอ่ยยิ้มขอบคุณ

ส่วนเสี่ยวมู่จื่อด้านข้าง กลับเอ่ยถามอย่างสงสัย

“หลูซวงหรือ ชื่อนี้เหตุใดจึงคุ้นหูนัก คล้ายจะเป็น…ข้านึกออกแล้ว เธอมิใช่…เอ่อ…”

เสี่ยวมู่จื่อร้องตกใจยังไม่ทันพูดออกมา ก็ถูกเล่อเหยาเหยายื่นมือมาปิดปาก

จากนั้นส่งสายตาปรามเขา บอกให้เสี่ยวมู่จื่อสงบใจลง

อันที่จริงชื่อเสียงของหลูซวง ค่อนข้างโด่งดังในวังอ๋อง แต่ชื่อเสียงนี้กลับไม่ดีเท่าใดนัก

แม้ตอนนี้หลูซวงจะยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่จะพูดเช่นไรเธอเคยอยู่ที่หออวี๋หงมาก่อน

แม้ไม่รู้เพราะเหตุใด หลังจากคืนนั้น หออวี๋หงพลันถูกปิด แต่ชื่อหลูซวงกลับไม่ลืมเลือนไปจากเมืองหลวง

ดังนั้น ตอนนี้ยังอยู่ในโรงอาหาร มีผู้คนมากมาย หากถูกคนได้ยินแล้วนำไปเล่าลือกัน เธอไม่กลัว แต่กลับไม่อยากทำลายชื่อเสียงของหลูซวง

ส่วนเสี่ยวมู่จื่อที่ถูกเล่อเหยาเหยาปิดปาก และเห็นสายตาปรามของเธอ พลันเข้าใจทันที ดังนั้นจึงเบิกตากว้าง ยื่นนิ้วไปที่นิ้วบนมือของเล่อเหยาเหยาที่ปิดปากตนอยู่ บอกเป็นนัยให้เล่อเหยาเหยาปล่อยมือ

เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น สุดท้ายจึงปล่อยเสี่ยวมู่จื่อไป

เสี่ยวมู่จื่อหลังจากหายใจได้ เอ่ยถามสิ่งที่ตนสงสัยในใจออกมา

“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้ารู้จักแม่นางหลูซวงได้เช่นไร เธอไม่ใช่หญิงสาวในหออวี๋หงหรือ ได้ยินว่างดงามราวกับเทพธิดา!”

แม้จะถูกตัดสิ่งแสดงความเป็นชายแล้ว แต่ความอยากรู้อยากเห็นคือสัญชาตญาณของทุกคน ขันทีก็ไม่เว้น

เมื่อเห็นเสี่ยวมู่จื่อมีใจอยากรู้ขึ้นมา พ่อครัวหลี่ก็แปลกใจอยู่ด้านข้างเช่นกัน ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงเล่าเรื่องในคืนวันนั้นออกมา

หลังจากฟังเล่อเหยาเหยาเอ่ยจบ เสี่ยวมู่จื่อและพ่อครัวหลี่ต่างตกใจ แต่เล่อเหยาเหยากลับไม่รอให้พวกเขาแสดงความเห็น ก็รีบร้อนวิ่งออกไปทางด้านหลังวัง

เพราะหลูซวงยังรอเธออยู่ที่ประตูหลัง!

เมื่อเล่อเหยาเหยามาถึงประตูหลัง หลังเอ่ยทักทายกับบ่าวผู้ชายที่เฝ้าประตู พร้อมบอกว่าไม่ออกไปไกล เพียงพูดคุยกับสหายสักสองประโยค แล้วจะกลับมา

อันที่จริงวังอ๋องมีกฎเข้มงวด แต่เพราะตอนนี้สถานะของเล่อเหยาเหยาไม่เหมือนเดิม สามารถพักที่ตำหนักหย่าเฟิงได้ นั่นหมายถึงในสายตาท่านอ๋องมีฐานะต่างออกไป ดังนั้นตอนนี้ เมื่ออยู่ในวังอ๋องเล่อเหยาเหยาก็ได้รับการนับถือจากทุกคน

อย่างน้อย แม้จะเป็นบ่าวเช่นกัน แต่ไม่มีผู้ใดกล้ารังแกเธอ

เมื่อเล่อเหยาเหยาออกมาจากประตูหลังของวังมา ก็เห็นใต้ต้นไม้ใหญ่ไกลๆ นั้น มีเงาร่างอ้อนแอ้นร่างหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงนั้นอย่างตั้งหน้าตั้งตารอ

เมื่อเห็นเธอปรากฏตัว เงาร่างนั้นก็พุ่งตรงมาที่เธออย่างรวดเร็ว

“พี่เหยา ในที่สุดท่านก็มา!”

จากนั้นน้ำเสียงสดใสดุจเสียงนกขมิ้นจับใจคนก็ดังขึ้น ก่อนเงาร่างงดงามนั้น จะมาอยู่ตรงหน้าเล่อเหยาเหยา

เห็นเพียงหลูซวงวันนี้ ไม่ได้ประทินโฉมดั่งวันที่อยู่ในหออวี๋หง สีหน้าก็ไม่ได้เย็นชา

บนตัวสวมกระโปรงลวดลายบุปผาสีชมพู แม้เนื้อผ้าจะไม่ถือว่างดงาม ทว่ากลับทำให้นางดูงดงาม

ผมยาวดำขลับ ถูกนางมวยขึ้นอย่างใส่ใจน่ามอง บนศีรษะแม้จะไม่มีเครื่องประดับงดงามใดๆ  ทว่ากลับไม่ลดทอนความงามของนางลงเลย!

สมกับที่เป็นสาวงาม ไม่ว่าสวมใส่สิ่งใด ล้วนน่ามอง ทำให้เล่อเหยาเหยาอดคิดถึงวันที่ตนปลอมตัวเป็นผู้หญิงไม่ได้ เพราะงดงามเช่นนี้เหมือนกัน!

น่าเสียดาย การที่ตนจะกลับไปแต่งกายเป็นผู้หญิงอีกครั้ง เกรงว่าจะต้องรออีกนาน!

เล่อเหยาเหยาถอนหายใจออกมา ก่อนมองไปที่หลูซวงที่ยิ้มแย้มดุจบุปผาตรงหน้า

อาจเพราะตอนแรกที่หออวี๋หง นางไม่ยินพร้อมใจ ดังนั้นหลูซวงจึงใช้ความเย็นชาดุจน้ำค้างแข็งมาเป็นเกราะป้องกันตนเอง

แต่วันนี้นางแตกต่างออกไป ตัวนางเป็นอิสระแล้ว ดังนั้นจึงกลับมาเป็นสาวน้อยที่ควรมีชีวิตอันสดใสมีชีวิตชีวา

เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยารู้สึกดีใจ ก่อนพลันฉุกคิดขึ้นได้ เอ่ยปากออกไป

“วันนี้เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่”

ตอนนี้เป็นช่วงฤดูร้อน ตอนกลางวันอุณภูมิจึงสูงอย่างยิ่ง

พระอาทิตย์นั้นลอยเด่นอยู่สูง แสงแดดเผาไหม้พื้นดินจนราวกับมีควันระเหยออกมา

เมื่อมองคนอ่อนแอ้นตรงหน้าอีกครั้ง แม้ที่นี่จะมีต้นไม้ใหญ่บดบัง แต่ยังทำให้นางร้อนจนใบหน้าแดงก่ำออกมา

ดูแล้วช่างงดงามและน่ารักเสียจริง งดงามจนหาที่เปรียบมิได้!

ส่วนหลูซวงหลังจากได้ยินคำพูดเล่อเหยาเหยา เห็นชัดว่าดูกังวลและขวยเขิน ใบหน้าเรียวเล็กก้มต่ำลงหลบตา มือเล็กขาวผ่องคู่นั้น เพราะกังวลใจ จึงจับเสื้อผ้าตนแน่น จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า

“ข้ามาหาพี่เหยา ตอนนั้นพี่เหยารับปากว่าจะมาหาข้า แต่สามวันแล้ว พี่เหยาไม่มา ดังนั้น ดังนั้นข้า…”

“เอ่อ มีเรื่องนี้ด้วยหรือ”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลูซวง เล่อเหยาเหยามีสีหน้ามึนงง ก่อนพลันคิดย้อนกลับไปถึงเรื่องในวันนั้น

คล้ายมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นจริง

ทว่าวันนั้น เธอเพียงปลอบใจหลูซวงจึงเอ่ยเช่นนั้นออกไป เพราะเธอไม่ใช่เธอคนเดิม บ้านหลูซวงอยู่ที่ใด เธอล้วนไม่รู้! จะไปเยี่ยมได้เช่นไร

ตอนนี้เมื่อได้ฟังหลูซวงพูด เล่อเหยาเหยารู้สึกผิดในใจ เพราะตอนแรกตนรับปาก แต่ว่ากลับไม่ได้ทำ

ดูจากท่าทางของหลูซวง ต้องรออยู่ที่บ้านทุกวันเป็นแน่ เมื่อรอไม่ไหวและร้อนใจ ถึงมาหาเธอ!

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยายื่นมือลูบท้ายทอย ก่อนหัวเราะออกมาพลางเอ่ยขอโทษ

“เรื่องนี้ ต้องขอโทษด้วย พักนี้ข้ายุ่งนิดหน่อย”

“พี่เหยาไม่ต้องขอโทษหรอก ข้ารู้ว่าพี่ยุ่งมาก ทว่า ทว่าข้าเพียงอยากมาดูว่าพักนี้พี่เหยาสบายดีหรือไม่ วันนี้ได้เห็นพี่เหยา ข้าก็วางใจ เช่นนั้น ข้าขอตัวกลับก่อน”

เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา หลูซวงรีบร้อนเอ่ยขึ้น

รู้สึกเสียใจไม่หยุด ตำหนิว่าตนไม่มีเหตุผล