ตอนที่ 192 มองหน้ากัน

บรรดาสาว ๆ ต่างมองหน้ากันเพราะคำพูดของถังซั่ว ก่อนจะมองไปที่ฉีเซิงเทียนเพื่อขอความช่วยเหลือและพูดอย่างน่าเวทนา “คุณชายฉี”

“ออกไป ไม่ได้ยินหรือไง?” ฉีเซิงเทียนโบกมืออย่างตัดรำคาญ กลุ่มสาว ๆ จึงจำต้องออกไปอย่างไม่เต็มใจ

ภายในห้องรับรองไม่มีกลิ่นของน้ำหอม ทำให้รู้สึกถึงอากาศที่สดชื่นขึ้น ฉีเซิงเทียนสูดดมอากาศได้อย่างเต็มปอดมากขึ้น

เมื่อภายในห้องรับรองสงบลง เสียงของหมินลี่ก็ดังขึ้น “พี่เฉินทำอะไรกันแน่?”

“เป็นเลขา” ฉีเซิงเทียนตอบอย่างลวก ๆ

ถังซั่วที่กำลังเอื้อมมือไปหยิบแก้วไวน์ขึ้นมา จู่ ๆ ก็หยุดชะงัก สีหน้ากลับมาเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนอีกครั้ง “จริงจังกันแล้วงั้นเหรอ? เหมือนฉันจะเห็นเธอสวมแหวนแต่งงาน แบบนี้จะไม่เป็นอะไรเหรอ?”

หมินลี่มองไปที่เขา รู้ตัวว่าตัวเองส่งเสียงดังก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ไม่สามารถปิดบังสายตาที่ดูตื่นเต้นนั้นไว้ได้ เขาอยากจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น!

ในหัวของฉีเซิงเทียนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องทำงานวันนี้พร้อมหยิบตะเกียบขึ้นมา “นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น คนนั้นของพี่เฉิน พวกนายก็รู้ดี ตามนิสัยของเขาจะสนเหรอว่าเธอแต่งงานแล้วหรือไม่ ไม่แน่อันอีหานอาจจะหย่าในเร็ว ๆ นี้ก็ได้ พวกเราจะได้พี่สะใภ้แล้ว หนำซ้ำยังมีหลานชายกับหลานสาวอีก ช่างคุ้มค่าอะไรแบบนี้!”

หมินลี่ยังคงไม่เชื่อ จิ่งเป่ยเฉินที่ดูเฉยชาแบบนั้นจะทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน

ในขณะที่ถังซั่วดื่มจนเมา แต่กลับได้ยินทุกคำพูดที่พวกเขาคุยกัน เมื่อก่อนเวลาพวกเขาเจอกัน มือของเธอไม่ได้สวมแหวน แต่จู่ ๆ กลับสวมแหวนแต่งงาน เป็นไปได้ไหมที่เป็นจิ่งเป่ยเฉินให้เธอ?

เมื่อพูดถึงความเป็นไปได้ เขาก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที แม้จะดื่มไปหลายแก้วจนเมา

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็เดินทางกลับ ในที่สุดอันโหรวก็เข้าใจในสิ่งที่จิ่งเป่ยเฉินพูดกับเธอว่าจะไม่เกรงใจ

ทันใดนั้นรถก็หยุดจอดบนถนนที่มืดและเงียบสงัด เธอมองผู้ชายที่เข้ามาใกล้และปลดเข็มขัดนิรภัยออก พลางเอ่ยถามว่า “นายจะทำอะไร?”

“ทำ”

“จิ่งเป่ยเฉิน ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น!” ทันทีที่เธอเปิดประตูรถก็ถูกเขาจับแขนเอาไว้ ก่อนที่เธอจะสะบัดมือออก

แต่ชั่วพริบตาเขาย้ายตัวจากที่นั่งคนขับขึ้นมาคร่อมบนตัวเธอ เธอกำลังพูดแต่เขากลับเอนเบาะที่นั่งลง ร่างกายของเธอจึงเอนลงตาม

เธอกลืนน้ำลายมองดวงตาอันมืดดำของเขาปริบ ๆ ได้แต่มองโครงร่างของเขาผ่านแสงจันทร์ราง ๆ “นี่มันบนถนนนะ!”

จิ่งเป่ยเฉินสูดหายใจเข้า ปลดเข็มขัดนิรภัยออกและกระซิบข้างหูเธอ “ฉันรู้”

“รู้แล้วยังทำอีก ถ้ามีคนผ่านมาจะทำยังไง?” เธอไม่อยากเป็นที่ถูกจับตามอง!

“ที่แท้เธอก็กังวลเรื่องนี้” เขายิ้มและหัวเราะเบา ๆ “ทางนี้เป็นทางไปบ้านพักวิลล่าของฉัน ไม่มีคนผ่านมาหรอก”

คืนนี้เธอถูกเขามอมไวน์ไปหลายแก้ว แม้แต่ทางกลับบ้านยังไม่ได้มอง ไม่คิดว่าจะเป็นทางไปบ้านของเขา

เธอไม่ควรเชื่อใจเขาจริง ๆ ด้วย!

ไม่นึกเลยว่าจะพาเธอมา!

“งั้นไปบ้านพักวิลล่าของนายไม่ดีกว่าเหรอ?” เธอพยายามรวบรวมสติจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่น้ำเสียงปฏิเสธที่นุ่มนวลของเธอกลับไม่เป็นผล

“ได้สิ แต่ถ้าเธอไปบ้านพัก คืนนี้ฉันจะไม่ปล่อยเธอไปแน่” ความหมายของเขาก็คือหากเธออยู่ที่นี่ยังกลับไปบ้านเธอได้

“นายมันร้ายกาจนัก!” เธอกัดฟันจ้องไปที่เขา เธอไม่ได้อยากให้รถสั่นนะ!

อันโหรวรู้ว่าเธอไม่มีทางหลบหนีได้ เธอจึงกัดฟันพูด “เร็วเข้า รีบทำให้มันจบ ๆ!”

“ได้สิ” เขาตอบกลับอย่างมีความสุข

หรือเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ทำให้เธอค่อย ๆ หมดสติ เมื่อเธอตื่นขึ้นมาก็เช้าแล้ว

เธอยกมือขึ้นมาบังแสงแดดที่กระทบเข้ามา สายตาที่ยังไม่ปรับโฟกัส เธอมองเห็นแสงคริสตัลจากโคมไฟด้านบน ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นมองไปรอบ ๆ ห้องสีเย็นขนาดใหญ่

นี่บ้านของจิ่งเป่ยเฉินงั้นเหรอ?

ความทรงจำครั้งสุดท้ายที่เธอจำได้คือภาพเร่าร้อนที่อยู่ในรถ ทำไมตื่นมาถึงอยู่ที่บ้านเขาได้ เขาไม่ได้บอกจะไปเธอส่งที่บ้านหรอกเหรอ?

ก่อนที่เธอจะคิดไปมากกว่านั้น เธอดึงผ้าห่มขึ้นมาและด่าจิ่งเป่ยเฉินในใจ

เธอมองหาเสื้อผ้าที่สวมใส่เมื่อวาน แต่กลับหามันไม่เจอ จึงสวมรองเท้าเดินไปหาที่ตู้เสื้อผ้าสีเนื้อด้านหน้าด้วยความหวัง

แต่เมื่อเธอเห็นชุดแต่งงานแขวนอยู่ด้านข้างเสื้อเชิ้ตสีขาว เธอยืนอึ้งอยู่สักพักก่อนจะเรียกสติตัวเองกลับมา

เขามีชุดเจ้าหญิงตัวน้อยเหมือนในห้องนอนที่โรงแรมนั่วเทียน บ้านของเขาเตรียมเสื้อผ้าให้เธอเอาไว้อย่างเรียบร้อย

จู่ ๆ น้ำใส ๆ ก็ไหลออกจากจมูก ครั้งก่อนที่เธอถามเขาว่าชอบเธอไหม เขากลับไม่ตอบและว่าเธอโง่

เหมือนว่าเธอจะโง่จริง ๆ โอวหยางลี่ที่คบกันมาหลายปีทิ้งเธอไป แต่เธอกลับไม่รู้ว่าใครคือคนที่รักเธอจริง ๆ

เธอค่อย ๆ เอื้อมมือไปหยิบชุดกระโปรงสีขาวออกมาเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลงไปชั้นล่าง

การตกแต่งภายในบ้านพักวิลล่าเป็นสไตล์โทนสีเบจที่เรียบง่าย กว้างขวาง แต่เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นเป็นสินค้าคุณภาพที่ดีที่สุด แม้กระทั่งหยกจำนวนมาก

เธอจำได้ว่าเมื่อก่อนเขาไม่ใช่คนชอบหยก

ไม่มีเงาของจิ่งเป่ยเฉินในห้องนั่งเล่น เธอจึงเดินไปที่ห้องครัวด้วยความงุนงง บนโต๊ะอาหารสีขาวมีแก้วนม ขนมปัง และไข่ดาววางอยู่ แต่ก็ยังคงไม่เจอจิ่งเป่ยเฉิน

ในบ้านพักหลังนี้ดูเหมือนจะมีแค่เขา

จิ่งเป่ยเฉินไปไหน?

เธอไม่เห็นจิ่งเป่ยเฉินจึงนั่งลงกินอาหารเช้า แต่ก็กินอย่างพะวง เมื่อคืนเธอไม่ได้กลับบ้าน หยางหยางกับหน่วนหน่วนต้องเป็นห่วงแน่ ๆ

เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก็คิดว่าจิ่งเป่ยเฉินต้องโทรศัพท์ไปหาหลินจือเซี๋ยวแล้วแน่ ๆ

เธอกินอย่างช้า ๆ เมื่อเธอดื่มนมและวางแก้วลงก็ได้ยินเสียงของจิ่งเป่ยเฉินดังขึ้น

“ช่วงนี้ยุ่ง ๆ ไม่ค่อยมีเวลา เขาอยากเจอฉันที่บริษัท” เขาใส่เสื้อออกกำลังกายสีเทาเดินเข้ามา พลางดึงหูฟังออกและมองมาที่เธอ “ตื่นนานแล้วเหรอ?”

อันโหรวมองไปที่คอเสื้อของเขาที่มีหยาดเหงื่อเล็กน้อย สายลมที่พัดผมของเขาทำให้ดูหล่อเหลา เผยโครงหน้าที่บึ้งตึงของเขาอย่างชัดเจน ดูเย้ายวนแต่เช้าเลยนะ “นายไปวิ่งมาเหรอ? ”

“ไม่ต้องห่วง ไม่บังคับเธอไปกับฉันหรอก” เขาเดินเข้าไปหาเธอด้วยท่าทางสบาย ๆ ก่อนจะจูบไปที่แก้มของเธอเบา ๆ โดยที่เธอไม่ได้ขัดขืน “ฉันไปอาบน้ำแต่งตัวก่อน อย่าลืมแต่งหน้า”

ใบหน้าขาว ๆ ของเธอแดงระเรื่อขึ้น เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินออกไปไกลถึงได้รู้สึกตัว ในบ้านเขามีเครื่องสำอางด้วยเหรอ?

เธอกำลังสงสัยว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง ความกังวลของเธอนั้นมีมากมายเหลือเกิน