บทที่ 107 ไร้ประโยชน์

คู่ชะตาบันดาลรัก

“นายท่านสามขอรับ…” ผู้ใต้บังคับบัญชาลังเลที่จะพูด

นายท่านสามหลับตาพยายามสงบสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยลืมตา “ท่านอ๋องไม่ส่งคนมางั้นหรือ”

“ข้าน้อย…ไม่เห็นท่านอ๋อง องครักษ์จากจวนจวิ้นอ๋องบอกว่าท่านอ๋องตกใจมาก…”

นายท่านสามถอนหายใจแล้วโบกมือ “ไม่ต้องพูดแล้ว ข้ารู้แล้ว”

เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าฉีตงจวิ้นอ๋องยอมแพ้จากเขาแล้วอีกทั้งไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบและต้องการขีดเส้นที่ชัดเจนกับเขา

“ไร้ประโยชน์จริงๆ!” นายท่านสามสบถ “ไร้ประโยชน์กันหมด!”

เดิมทีแล้วเขาจะต้องไม่แพ้ ตราบใดที่ปีศาจที่ถูกหินเทพธิดาผนึกอยู่ถูกปลดปล่อยออกมา วัดเป่าหลิงก็จะเกิดโศกนาฏกรรมที่ทำให้ทั่วหล้าต้องตกตะลึง

เมื่อกลุ่มช่วยเหลือเดินทางมาถึงก็จะพบว่าทุกคนได้ตายหมดแล้ว มีอะไรให้ต้องกลัวกัน

คนผู้นั้นที่วิ่งไปหาฝ่าบาทถึงได้มีการสังหารหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องไปเมื่อสิบปีก่อน ครั้งนี้ไม่มีหลักฐานแน่ชัดจึงไม่ถูกตัดสินลงโทษ

แต่ตอนนี้ในเวลาสำคัญเช่นนี้กลับท้อถอยเสียแล้ว

“ต้องเป็นอู่อี้คนถ่อยผู้นั้นแน่ๆ ที่ทำให้ท่านอ๋องเปลี่ยนใจ ข้าน่าจะกำจัดเขาไปตั้งนานแล้วเพียงแต่ไม่อยากให้เกิดปัญหามากกว่านี้กลับปล่อยให้เขาใช้ประโยชน์จากช่องโหว่เสียได้” เขาหัวเราะเสียงเย็น

“นายท่านสามขอรับ” ทหารหน่วยกล้าตายผู้หนึ่งพูดขึ้น “ไปหาท่านอ๋องจะดีกว่าหรือไม่ขอรับ แจ้งให้ท่านทราบ…”

“ไม่จำเป็นแล้ว” นายท่านสามตอบ “ไม่มีเวลาแล้ว แม้พวกเขาจะหาเหาใส่หัว เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเกรง ของเมื่อครู่อยู่ที่ใด พวกเจ้านำไปฝังไว้กี่แห่ง…”

ตัวฝูเห็นว่าพวกเขาหยิบชามสีเข้มออกมาด้านในมีแสงสีแดงจางๆ

“อาวุธชั่วร้าย!” นางตกใจ “พวกท่านจะทำอะไรกันแน่”

พูดแล้วนางก็รีบไปแย่งมันมา

คุณหนูเคยบอกกับนางว่าหากมีอาวุธวิเศษก็ต้องมีอาวุธชั่วร้าย อาวุธวิเศษมีไว้เพื่อปราบปรามสิ่งชั่วร้าย อาวุธชั่วร้ายก็มีไว้เพื่อทำร้ายคนเช่นกัน

วัตถุที่มีโลหิตชั่วร้าย แน่นอนว่าต้องเป็นอาวุธชั่วร้าย!

แต่นางตัวคนเดียวจะไปสามารถแย่งมาจากชายฉกรรจ์เหล่านี้ที่มีวรยุทธ์ได้อย่างไร หนึ่งในนั้นเอื้อมมือมาผลักนางจนล้มลงกับพื้นศอกถูกกระแทกจนรู้สึกเจ็บปวด

“พวกท่านหยุดนะ! นั่นเป็นอาวุธชั่วร้าย อย่าไปยุ่งกับมัน!”

ไม่มีผู้ใดสนใจนาง ทั้งสามคนแยกย้ายแล้วหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว

ตัวฝูทั้งโกรธทั้งกังวล “นายท่านสี่เจ้าคะ! ท่านทำอย่างนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ อาวุธชั่วร้ายจะทำร้ายผู้คน!”

นายท่านสามถอนหายใจ “เอาล่ะ! ในเมื่อเจ้าอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ ก็ไปคุยเป็นเพื่อนข้าดีกว่าหรือไม่!”

เขามองไปที่วงเวทแล้วหันมายิ้มให้ “ในตอนที่ข้ายังเด็กไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คิดแค่ว่าตนเองต้องมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ ผู้ใดจะรู้เล่าว่าจะมีจุดจบเช่นนี้ คนที่อยู่เป็นเพื่อนข้าในวาระสุดท้ายกลับเป็นสาวใช้”

ตัวฝูฟังแล้วก็ยิ่งสับสนมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์อะไร จุดจบอะไร

นายท่านสามโบกมือให้นาง “เจ้าเป็นสาวใช้ที่ดี แต่น่าเสียดายที่วันนี้จะต้องมาตายเป็นเพื่อนข้า”

“อะไรนะเจ้าคะ”

“ในเมื่อเจ้ารู้จักค่ายกลปีศาจก็ต้องรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อวิชานี้แตกสลายใช่หรือไม่ เดิมทีข้าไม่อยากทำเช่นนี้เลย น่าเสียดายที่โลกไม่สามารถช่วยเหลือคนอื่นให้บรรลุผลสมความปรารถนาได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็…”

ประกายแสงมืดมนปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา “มาตายด้วยกันเถอะ!”

…………

ดินปืนถูกนำมากองที่ฝั่งผนังแล้วทอดยาวเข้ามาในห้อง

“พวกเราลงไปข้างล่างกัน” หยางชูพูด

หมิงเวยพยักหน้าและเดินตามเขาลงบันไดหินลงไป

“โชคดีที่พวกเขามาทันเวลาไม่อย่างนั้นถึงเราจะออกไปได้ แต่ก็ไม่ทันอยู่ดีเจ้าค่ะ” นางพูด

หยางชูเห็นด้วย พวกเขากำลังกังวลเกี่ยวกับวิธีที่จะออกไป องครักษ์ที่เจี่ยงเหวินเฟิงส่งมาก็มาถึงพอดี

เพื่อที่จะจัดการกับหินพวกเขาจึงพกดินปืนมาด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องอ้อมเพื่อหาทางออกไปจากที่นี่

หลังจากฟังองครักษ์พูดแล้วหมิงเวยรู้สึกขอบคุณมาก

หมิงเซียงพบเจอนายท่านสามโดยบังเอิญจึงนำเรื่องนี้ไปบอกหมิงเฉิง ซึ่งทำให้กองกำลังมาถึงได้ทันเวลา

ไม่เช่นนั้นทางเข้าอุโมงค์คงถูกปิด และไม่รู้ว่าจะพบพวกเขาได้เมื่อใด

นางเอานิ้วอุดหูใช้เวลาไม่นานเสียงระเบิด ‘ตู้ม’ ก็ดังขึ้น แผ่นดินถึงกับสะเทือน ใช้เวลาสักพักกว่าจะสงบ

“คุณชาย ระเบิดเรียบร้อยแล้วขอรับ!” องครักษ์ที่ทำหน้าที่จุดชนวนตะโกนขึ้น

หยางชูถอนหายใจอย่างโล่งอกและเดินขึ้นบันไดหินไป

พลังของดินปืนได้ทำลายกำแพงทั้งหมด ลมยามค่ำคืนก็พัดผ่านเข้ามา

เหล่าองครักษ์จัดการกวาดเศษหินออกไปจากช่องว่าง เมื่อตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงกลับมารายงาน “คุณชาย ที่นี่คือวิหารที่อยู่ใต้หินเทพธิดาขอรับ”

หมิงเวยมองเห็นแสงสีแดงจางๆ บนหินเทพธิดา นั่นคือวงเวทที่สูญเสียอานุภาพจนโลหิตชั่วร้ายเอ่อล้นออกมา

นายท่านสามวางแผนเริ่มต้นที่หินเทพธิดาจริงๆ

“บ้าที่สุด!” หยางชูก่นด่า “มาถึงจุดนี้แล้วแม้แต่ชีวิตของตนเองเขายังไม่สนใจ ยังคิดจะทำชั่วอีก”

“คนอย่างเขาจะเต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ” หมิงเวยพูด “สำหรับเขาแล้วสิ่งนี้สำคัญกว่าการมีชีวิตอยู่เสียอีก”

หยางชูหัวเราะเสียงเย็น “ในเมื่อไม่อยากมีชีวิตอยู่ก็อย่ามีชีวิตอยู่เลย ไป! ไปฆ่าเขาให้ตายกัน ไปดูว่าเขาจะจัดการตนเองให้หนีรอดไปอีกได้อย่างไร!”

“ช้าก่อนเจ้าค่ะ” หมิงเวยรั้งเขาไว้

“ยังมีเรื่องอะไรอีก”

หมิงเวยชี้ไปที่หินเทพธิดา “การปล่อยสิ่งชั่วร้ายออกมาทำร้ายผู้คนไม่ได้ง่ายขนาดนั้น หากเขาวางแผนเช่นนี้จะต้องมีการเตรียมการอย่างอื่นแน่”

“หมายความว่าอย่างไร”

หมิงเวยถอนหายใจเล็กน้อย “พูดตามเหตุผลแล้วโลหิตชั่วร้ายจะเข้าหาสถานที่ที่มีผู้คนจำนวนมาก แต่วัดเป่าหลิงเป็นวัดซึ่งมีพระพุทธเจ้าสถิตอยู่ เพื่อให้บรรลุผลนั่นเกรงว่าจะต้องมีการเตรียมการบางอย่าง”

หยางชูพูด “จะให้ทำอย่างไรท่านพูดออกมาเลย ท่านเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ”

หมิงเวยพยักหน้าแล้วเรียกองครักษ์จำนวนหนึ่ง “พวกท่านรีบไปยังบริเวณรอบๆ วัดเป่าหลิงเพื่อดูว่ามีคนน่าสงสัยหรือไม่ ในมือของพวกเขาน่าจะมีของบางอย่างเพื่อใช้ชี้นำสิ่งชั่วร้าย”

“ขอรับ” องครักษ์ตอบรับแล้วถามกลับ “หากพวกเราหาพบแล้วจะให้ทำอย่างไรขอรับ”

“ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ดึงดูดสิ่งชั่วร้ายจะต้องมีไอโลหิตชั่วร้ายเป็นแน่ ไอโลหิตชั่วร้ายกลัวสิ่งสกปรก ตอนนี้ของสิ่งอื่นไม่สะดวก พวกท่านคงต้องนำมันออกมาจากตัว”

องครักษ์ตกตะลึง “ท่านหมายถึง…”

หยางชูหัวเราะ ‘พรืด’ ออกมา “นางหมายถึงหากพบเจอแล้วให้พวกเจ้าปลดเบาใส่ของสิ่งนั้น”

“……”

มาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าสตรีวัยแรกแย้มใบหน้าขององครักษ์กลายเป็นสีแดง

“เอาล่ะ พวกท่านรีบไปจัดการเถอะ เหลือองรักษ์สองนายไปกับข้าก็พอ ส่วนคนอื่นให้ไปตามหาของสิ่งนั้น” หยางชูพูดถึงเรื่องนี้แล้วหันมาถาม “ให้องครักษ์สองคนมากับเราเพียงพอหรือไม่”

“พอแล้วเจ้าค่ะ” หมิงเวยตอบ “นายท่านสามไม่ได้มีคนมากมายอยู่ข้างกาย อีกทั้งมีคนมารวมตัวกันที่นั่นมากเกินไป หากสิ่งชั่วร้ายไม่ยอมไปแล้วล่ะก็จะต้องเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่”

“ได้ งั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ” เหล่าองครักษ์รวมตัวกันแล้วรีบกลับไปยังวัดเป่าหลิงอย่างรวดเร็ว

ทางด้านหมิงเวยและหยางชูก็ไปที่หินเทพธิดาพร้อมด้วยองครักษ์สองนาย

ในคืนที่มืดมิดพวกเขาปีนขึ้นไปบนเส้นทางภูเขาที่ขรุขระของหินเทพธิดา

แล้วจู่ๆ หยางชูก็ถามนางว่า “ท่านบอกว่าใต้หล้าอยู่ในความรับผิดชอบของปรมาจารย์แห่งชีวิต ถ้าอย่างนั้นหากเกิดสถานการณ์คับขันขึ้นมาท่านจะกลายเป็นหินเหมือนเซียนในตำนานหรือไม่”

ลมพัดผ่านหูไปครู่ต่อมาเสียงของหมิงเวยก็ลอยมา “หากตามกฎของปรมาจารย์แห่งชีวิต ก็คงใช่เจ้าค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นท่านจะทำอย่างไรกัน”

แสงสีแดงอยู่ใกล้มากขึ้น หมิงเวยมองแสงสีแดงที่รั่วไหลออกมาแล้วยิ้ม “ผู้ใดจะรู้เล่า”

……………………………………..