เล่มที่ 4 บทที่ 110 ท่านหญิงหมิงเยว่เยี่ยมเยียน

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ใบหน้าของหลินเมิ้งหยาเริ่มกลายเป็นสีแดง สวรรค์โปรด นับตั้งแต่วันที่ข้ามภพมา เหตุใดนางจึงยิ่งอยู่ยิ่งโรคจิตกันนะ?

    ทุกวันนางถูกชิงหู หลินจงอวี้ห้อมล้อมยังไม่เท่าไร แต่ทุกครั้งที่พบกับหลงเทียนอวี้ สมองที่ตนเองมักจะภาคภูมิใจอยู่เสมอพลันหยุดทำงานกะทันหัน

    “จริงสิ คืนนี้ฮ่องเต้หมิงชวนข้าดื่มเหล้าที่กระโจมงานเลี้ยง เจ้าพักผ่อนเร็วหน่อยแล้วกัน”

    นั่นเท่ากับว่าคืนนี้นางจะต้องนอนคนเดียว

    ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ๆ หัวใจพลันรู้สึกผิดหวังขึ้นมา

    เฮ้อ เหมือนจะมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าประหลาด

    “อีกเรื่อง ฮ่องเต้หมิงต้องการนำตัวหงอวี้กลับ เหตุเพราะนางสร้างปัญหาให้กับเจ้า ดังนั้นเขาจึงฝากมาขอโทษเจ้าด้วย”

    เมื่อนึกถึงใบหน้างดงามเย้ายวนขึ้นมาได้ มุมปากพลันกระตุกยิ้มชั่วร้ายขึ้นมา

    นางเดาเอาไว้อยู่แล้วว่าสตรีคนนั้นจะต้องไม่ได้มาดี ดังนั้นจึงใช้วิธีนั้นจัดการ

    ฮ่องเต้หมิงสบายใจเสียยิ่งกระไร อย่าว่าแต่เรื่องที่บอกว่าจะเอากลับก็เอากลับไปได้ แต่เขายังแอบอ้างชื่อของนางในการเอากลับไปด้วย

    เมื่อคิดได้ว่าบรรยากาศในจวนจะกลับมาสงบอีกครั้ง ความว้าวุ่นในสมองจึงหายไปมากเลยทีเดียว

    “เพคะ เช่นนั้นรีบไปรีบกลับนะเพคะ”

    หลินเมิ้งหยาอุ้มลูกหมาป่าแล้วนั่งลงบนเตียง ช่วงบ่ายไม่มีอะไรมาก ทุกคนเพียงดื่มกินกันอยู่ในกระโจม

    นางขี้เกียจออกไปด้านนอก ดังนั้นจึงอยู่เล่นกับอาเสวี่ยภายในกระโจม

    ชิงหูเลิกอำพรางกาย เขาปรากฏตัวต่อหน้าหลินเมิ้งหยาและเล่นกับอาเสวี่ย

    “คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเลี้ยงพวกหมาป่าได้ดีขนาดนี้”

    อาเสวี่ยตั้งท่าป้องกันชิงหูอย่างดี ทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้ มันจะเข้าไปกัดพร้อมทั้งส่งเสียงขู่ “ฮึ่มฮึ่ม”

    “อะไรกันเล่า ข้าเลี้ยงเพียงอาเสวี่ยตัวเดียวเท่านั้น”

    ชิงหูเบะปาก พร้อมยกตัวอาเสวี่ยด้วยมือข้างเดียวมาวางไว้ตรงหน้าของตนเอง

    “เจ้าเลี้ยงดูเจ้าเด็กหลินจงอวี้ด้วย เผลอๆ เขาอาจจะเป็นหัวหน้าของพวกหมาป่าก็ได้”

    เรื่องของเสี่ยวอวี้ หลินเมิ้งหยาคำนวณไว้ในใจแล้ว

    เมื่อได้เห็นทักษะการต่อสู้ของป๋ายซู หลินเมิ้งหยาจึงลองตั้งทฤษฎีขึ้นมา ทว่า เมื่อคิดได้ว่าพอเขาเติบใหญ่และอาจจะจากนางไป อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็รู้สึกไม่ยินยอม

    “ไม่ว่าจะเป็นหมาป่าหรือเสือ ไม่ช้าก็เร็ว พวกมันต้องขึ้นเป็นผู้นำอยู่ดี ข้าไม่กังวลหรอก จริงสิ เจ้าได้เบาะแสอะไรจากการไปจับตามองหูลู่หนานบ้าง?”

    เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของชิงหูพลันเปลี่ยนไป

    “ไอ้องค์ชายรองนั่นเป็นคนลามกจกเปรตยิ่งนัก ไม่เหมือนกับพ่อหรือพี่ชายเลยแม้แต่น้อย เมื่อคืนข้าได้เห็นลูกน้องของเขาไปลักพาตัวหญิงสาวในหมู่บ้านที่ตีนเขามาสนองตัณหา เกรงว่าศพของหญิงสาวคนนั้นคงถูกเจอในอีกไม่ช้า”

    หัวใจของชิงหูไม่เคยมีคำว่าสงสาร

    ดังนั้นจึงมิได้เข้าไปช่วยเหลือ หลินเมิ้งหยาโกรธเกรี้ยวขึ้นมาในทันใด องค์ชายรองตัวดี เพื่อสนองตัณหาของตนเอง ถึงขนาดลักพาตัวผู้บริสุทธิ์มาปู้ยี่ปู้ยำ น่ารังเกียจเหลือเกิน

    “เจ้าไปตรวจสอบดูว่าศพของนางถูกซ่อนไว้ที่ใด นางมีประโยชน์กับข้ามาก”

    ชิงหูหยักยิ้ม รู้ได้ทันทีว่าหลินเมิ้งหยาคิดจะแก้แค้นผู้อื่น

    “ได้ เจ้ารอข่าวดีจากข้าก็แล้วกัน”

    “นายหญิง องค์หญิงหมิงเยว่ของฮ่องเต้หมิงขอเข้าเฝ้าเพคะ”

    ทันทีที่ร่างของชิงหูหายออกไปจากกระโจม เสียงของป๋ายจีพลันดังขึ้น

    องค์หญิงของฮ่องเต้หมิง? หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะนึกออกว่าฮ่องเต้หมิงพาองค์หญิงมาด้วยสองพระองค์

    หนึ่งในนั้นรู้สึกจะชื่อหมิงเยว่

    “ในเมื่อมาแล้วอย่าให้แขกต้องรอเลย เชิญเสด็จเถิด”

    “เพคะ”

    ทันทีที่สิ้นเสียงลง หญิงสาวหน้าตางดงามสวมใส่ชุดสีเขียวเยื้องย่างเข้ามาภายใน

    หญิงสาวจากซีฟานแตกต่างจากหญิงสาวแห่งต้าจิ้น

    รูปร่างสูงยาวมีเอกลักษณ์

    ใบหน้าสวยงามได้รูป ท่วงท่าสง่างาม

    หากอยู่ในยุคปัจจุบัน นางก็นับว่าเป็นหญิงสาวที่สวยมาก ใบหน้าของหลินเมิ้งหยาประดับรอยยิ้มงดงามมีมารยาท ขณะมองดูหญิงสาวตรงหน้า

    “ถวายคำนับพระชายา”

    “องค์หญิงหมิวเยว่อย่าได้มากพิธีไปเลย”

    ทั้งสองทำความเคารพซึ่งกันและกัน ก่อนจะจ้องมองอีกฝ่าย

    ฮ่องเต้แห่งซีฟานมีหน้าตาหล่อเหลา ดังนั้นลูกชายและลูกสาวของเขาจะมีหน้าตางดงามไม่แพ้กัน

    องค์หญิงหมิงเยว่มีท่วงท่าสง่างามสมเป็นชนชั้นสูง เพียงมองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่ามิใช่เพียงคนธรรมดา

    “เคยได้ยินท่านพี่เทียนเป่ยเล่าว่าท่านอ๋องอวี้และชายาอวี้ล้วนเหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก พอมาได้เห็นจึงได้รู้สึกว่าทั้งสองพระองค์งดงามสมคำล่ำลือ”

    น้ำเสียงขององค์หญิงหมิงเยว่หวานใส แม้จะมิได้เยินยอ แต่ก็มิส่งความรู้สึกไม่สบายใจมาให้

    น้ำเสียงจริงใจ จนทำให้รู้สึกอยากฟัง

    หลินเมิ้งหยาหัวเราะ คำพูดเช่นนั้นหาใช่ความจริง ตกลงองค์หญิงหมิงเยว่มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?

    “ป๋ายจี เข้ามาชงชาให้แขก”

    สาวใช้ทั้งสี่ยืนอยู่ด้านหลังหลินเมิ้งหยา เมื่อเทียบกับสาวใช้ของคนอื่นแล้ว พวกนางเหมือนคุณหนูของตระกูลมากกว่า

    สายตาขององค์หญิงหมิงเยว่มองสำรวจใบหน้าของสาวใช้ทั้งสี่ หลินเมิ้งหยาพอจะเดาสถานการณ์ได้แล้ว

    ที่แท้ก็มาเพราะป๋ายจื่อ

    “ตอนที่ยังอยู่ซีฟาน ทุกคนล้วนพูดว่านางกำนัลของหม่อมฉันมีความสามารถ แต่เมื่อเทียบกับพระชายาแล้ว หม่อมฉันไม่คิดเห็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้วเพคะ”

    เบี่ยงเบนความสนใจไปที่สาวใช้ หลินเมิ้งหยาทำเพียงยิ้ม

    หูเทียนเป่ยจอมเจ้าเล่ห์ เขาไม่กล้าพูด ดังนั้นจึงส่งน้องสาวมาเจรจาอย่างนั้นหรือ?

    “หม่อมฉันได้ยินมาว่าท่านพี่ไม่ยอมเลือกคุณหนูผู้ดีแห่งต้านจิ้น แต่กลับชอบสาวใช้ของพระชายามาก น่าแปลกเหลือเกิน เกรงว่าสายตาของท่านพี่ช่างแหลมคมยิ่งนัก”

    ดูเหมือนจะพึงพอใจในตัวป๋ายจื่อมาก แต่หลินเมิ้งหยาสงสัยเล็กน้อย เหตุใดครอบครัวนี้จึงไม่เหมือนกัน

    “องค์หญิงเอ่ยชมเกินไปแล้วเพคะ ป๋ายจื่อเติบโตมาพร้อมกับหม่อมฉัน อีกทั้งยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ดังนั้นหม่อมฉันจึงไม่อาจทนได้หากนางต้องแต่งงานไปอยู่ซีฟาน”

    พูดไปพูดมา สุดท้ายมาเพียงเพราะอยากได้ป๋ายจื่อไปแต่งงาน

    “พระชายาพูดถูกแล้วเพคะ เหตุเพราะใช้งานนางมาอย่างเนิ่นนาน ดังนั้นจึงรู้สึกผูกพัน แต่ว่าพี่ชายของหม่อมฉันพึงใจในตัวป๋ายจื่อมาก แม้ว่าสาวใช้ของหม่อมฉันจะมิได้มีความสามารถมากมายนัก แต่ถึงกระนั้นก็ยังถือว่าใช้งานได้เป็นอย่างดี เช่นนั้น พระชายาลองพิจารณาเลือกสาวใช้ประจำตัวของหม่อมฉันไปรับใช้แทนนางได้หรือไม่เพคะ”

    คำพูดขององค์หญิงหมิงเยว่เริ่มทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกไม่พอใจ

    นางเอ่ยออกไปหลายครั้งแล้วว่าป๋ายจื่อมิใช่เพียงเครื่องมือหรือสาวใช้ แต่เปรียบเสมือนน้องสาว

    เหตุใดคนพวกนี้จึงคิดว่าสาวใช้มิใช่คนเหมือนพวกเขากันเล่า?

    “ใช่ว่าหม่อมฉันไม่ไว้หน้าองค์หญิง แต่เรื่องนี้หม่อมฉันพูดออกไปอย่างชัดเจนแล้ว ป๋ายจื่อเปรียบเสมือนน้องสาวของหม่อมฉัน นางหาใช่สาวใช้ธรรมดาไม่ หากองค์ชายต้องการแต่งงานกับนาง เช่นนั้นจำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากนางด้วย”

    รอยยิ้มขององค์หญิงหมิงเยว่เจือไว้ซึ่งความเย็นชา

    นางไม่เข้าใจ ทั้งที่เป็นเพียงสาวใช้เท่านั้น อีกทั้งนางเดินทางมาขอร้องด้วยตัวเองแล้ว เหตุใดพระชายาจึงไม่ตอบตกลง

    “หากทั้งสองแคว้นได้เชื่อมความสัมพันธ์กัน จะต้องเกิดความรุ่งโรจน์อย่างยิ่ง อย่าว่าแต่สาวใช้ของพระชายาเลย แม้จะเป็นองค์หญิงแห่งต้าจิ้นก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ หม่อมฉันเข้าใจความรู้สึกของพระชายา แต่เพื่อความสงบสุขของทั้งสองแคว้นแล้ว พวกเราควรจะเสียสละบ้างมิใช่หรือเพคะ?”

    วาทศิลป์เฉียบคม หาได้มีความโอบอ้อมอารีเหมือนอย่างตอนมาไม่

    หลินเมิ้งหยาเข้าใจได้ในทันที เกรงว่าองค์หญิงคงจะหมดความอดทนแล้วสินะ

    ไม่มีทางเลือก เช่นนั้นนางคงต้องเถียงกับองค์หญิงดูสักตั้ง

    คิดหรือว่าหลินเมิ้งหยาจะเถียงแพ้?

    “สงครามล้วนเป็นความทะเยอทะยานของผู้ฝักใฝ่ในอำนาจ จะมีราษฎร์สักกี่คนที่ยินยอมพลีชีพเพื่อทำสงครามเหล่านั้น? คนบริสุทธิ์มากมายต้องล้มหายตายจาก เหตุใดผู้กุมอำนาจจึงมิยอมปล่อยวางความทะเยอทะยานของตนเองเล่าเพคะ? เพียงเพื่อความต้องการส่วนตัว แต่ความสุขของคนจำนวนมากต้องถูกทำลาย แต่กลับกล่าวอ้างว่าเป็นความสมัครใจของราษฎร์เอง สิ่งนี้มิต่างอะไรจากโจรเลยนะเพคะ”

    ทุกคนในห้องคิดไม่ถึงเลยว่าพระชายาของตนเองจะมีวาจาล้ำลึกถึงเพียงนี้

    “คำพูดของพระชายาดูจะรุนแรงไปสักนิด ตั้งแต่สมัยโบราณ แน่นอนว่าความขัดแย้งเกิดขึ้นเพราะความทะเยอทะยาน แต่ถ้าหากบ้านเมืองของเราถูกกดขี่และเหยียบย่ำ เช่นนั้นท่านจะยังยอมอดทนต่อไปหรือไม่?”

    ซีฟานคือเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของต้าจิ้น ทุกปีจะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้

    ทรัพยากรที่ดีที่สุดล้วนถูกต้าจิ้นริบไว้ ดังนั้นสำหรับแคว้นนี้แล้ว จึงมิต่างอะไรจากการถูกปล้นความยุติธรรมไป

    “การแต่งงานจะสามารถแก้ไขปัญหาระหว่างแคว้นได้อย่างนั้นหรือเพคะ? ความขัดแย้งระหว่างแคว้นมีมาอย่างเนิ่นนาน ใช่ว่าพูดเพียงประโยคสองประโยคจะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ เมื่อหนึ่งร้อยยี่สิบปีก่อน ทหารม้าของซีฟานแข็งแกร่งมาก กำลังทหารของต้าจิ้นเองก็มิได้ด้อยไปกว่ากัน ซีฟานยกพลประชิดเมือง ฮ่องเต้แห่งต้าจิ้นยอมจำนวน แต่สุดท้ายทหารของต้าจิ้นถูกสังหารไปหนึ่งแสนห้าหมื่นคน อีกทั้งฮ่องเต้แห่งซีฟานยังประพฤติมิชอบกับราชสกุลแห่งต้าจิ้น เช่นนั้นท่านคิดว่าต้าจิ้นควรเผชิญหน้ากับซีฟานเช่นไร?”

    เวลาที่หลินเมิ้งหยาไม่มีอะไรทำ นางมักจะนั่งอ่านประวัติศาสตร์เหล่านั้น

    ซีฟานและต้าจิ้นมีความแค้นต่อกันมาอย่างช้านาน แม้จะแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กัน แต่เกรงว่าอีกไม่นานทั้งสองจะต้องก่อสงครามอีกเป็นแน่

    เมื่อถึงเวลานั้น ป๋ายจื่อจะตกเป็นเบี้ยตัวหนึ่งเท่านั้น

    “คิก คิก หม่อมฉันยังห่างชั้นกับพระชายามาก วางใจเถิด หากป๋ายจื่อไปอยู่ที่ซีฟาน นางจะไม่ได้พบกับความทุกข์ทรมานแต่อย่างใด”

    ในเมื่อยื่นมือเข้าไปตบหน้าไม่ได้ น้ำเสียงขององค์หญิงหมิงเยว่จึงอ่อนโยนลง ใบหน้าประดับไว้ซึ่งรอยยิ้ม หลินเมิ้งหยาเองก็ทำใจให้เย็นลง แต่ถึงกระนั้นยังคงไม่ยอมเปิดทางให้ง่ายๆ

    “จะได้รับความทุกข์ทรมานหรือไม่ค่อยว่ากันวันหลังเถิดเพคะ รบกวนองค์หญิงกลับไปบอกองค์รัชทายาทด้วยว่าหากต้องการแต่งงานกับเด็กคนนี้จริง ขอให้เขาแสดงความจริงใจออกมา มิเช่นนั้น ต่อให้ฮ่องเต้หมิงเสด็จมาด้วยตนเอง หม่อมฉันก็ไม่มีวันตอบตกลง”

    เมื่อได้เห็นหลินเมิ้งหยายึดมั่นถือมั่นในคำพูดของตนเอง สีหน้าขององค์หญิงหมิวเยว่เริ่มไม่น่ามอง

    นางลุกขึ้น และเดินออกจากกระโจมของหลินเมิ้งหยาไป คาดว่าจะต้องด่านางในใจอย่างแน่นอน

    มองดูใบหน้าดีอกดีใจของป๋ายจื่อ หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด

    หากยังไม่จัดการเรื่องนี้ เกรงว่าจะต้องลำบากนางอีกนาน

    “นายหญิง เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ เสือขาวตัวนั้นกระโจนออกจากกรง ตอนนี้คนในค่ายกำลังออกไปตามล่าเจ้าค่ะ”

    ป๋ายซ่าววิ่งเข้ามาสีหน้าเลิ่กลั่ก ด้านนอกเกิดความวุ่นวาย

    หลินเมิ้งหยาอุ้มอาเสวี่ยวิ่งออกไปดูสถานการณ์

    “เสือตัวนี้หนีออกไปได้อย่างไร?”

    องครักษ์ตั้งแนวป้องกันสามชั้นในทุกกระโจม ทว่าด้านนอกกลับเกิดเสียงโหวกเหวกโวยวายดังลั่น

    “ได้ยินมาว่าเพื่อการล่าในอีกสามวัน ดังนั้นจึงต้องบำรุงเสือตัวนั้นให้แข็งแรงที่สุด แต่เพราะคนให้อาหารไม่ทันระวัง เมื่อปลดโซ่ตรวนออก เสือตัวนั้นก็กระโจนออกมาทันที”

    ป๋ายซ่าววิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าให้ฟังจากเสียงโหวกเหวกโวยวายด้านนอก