เล่มที่ 4 บทที่ 109 อาเสวี่ย

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“หงิง หงิง…” ลูกหมาป่าตัวนี้หิวมาก ทันทีที่อยู่ในอ้อมกอดของหลินเมิ้งหยา มันก็เริ่มดิ้นทันที

    ลูบไล้เส้นขนนุ่มนิ่ม หัวใจของหลินเมิ้งหยาใกล้จะละลายเต็มที

    “ป๋ายจื่อ ไปเบิกนมวัวมา เจ้าหมาน้อยตัวนี้จะต้องหิวมากอย่างแน่นอน”

    ลูกหมาป่าตัวใหญ่กว่าฝ่ามือของนางนิดเดียวเท่านั้น ดวงตาเปียกชื้น เห็นได้ชัดว่ามันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

    “ท่านอ๋อง หม่อมฉันสามารถเลี้ยงมันได้หรือไม่เพคะ?”

    อยู่ๆ หัวใจของหลินเมิ้งหยาพลันสั่นไหว

    หมาป่าตัวนี้น่าสงสารมาก เสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก ยิ่งไปกว่านั้นมันยังน่ารักมาก

    “แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นหมาป่า หากวันใดวันหนึ่งมันทำร้ายเจ้าขึ้นมา จะทำเช่นไร?”

    อันที่จริง ก่อนมอบให้นาง เขาเองก็ยังกังวล

    หมาป่ามิได้จริงใจต่อเจ้าของเหมือนอย่างสุนัขทั่วไป พวกมันมีสัญชาตญาณของตนเอง

    หากวันหนึ่งมันทำร้ายหลินเมิ้งหยาขึ้นมา เขาเกรงว่าเขาคงมิอาจยับยั้งได้ทัน

    “วางใจเถิดเพคะ หม่อมฉันจะระวัง อีกอย่าง หม่อมฉันรู้สึกได้ถึงความฉลาดของเจ้าหมาป่าตัวนี้ มันสามารถแยกได้ว่าใครทำดีกับมัน”

    อุ้มลูกหมาป่าตัวน้อย หลินเมิ้งหยาไม่อาจปล่อยตัวมันได้อีกต่อไป

    เจ้าลูกหมาตัวนี้ฉลาดมากจริง ๆ แข้งขาเล็ก ๆ เกาะแขนของนางเอาไว้ อีกทั้งยังคลอเคลียไม่หยุด

    ครู่ต่อมา รังสีของความเป็นแม่แผ่กระจายออกมาจากหลินเมิ้งหยา

    น่ารักอะไรขนาดนี้ หลินเมิ้งหยาหลงรักมันจนวางไม่ลง

    “ได้ เช่นนั้นก็เลี้ยงมันเถิด”

    หลงเทียนอวี้รู้อยู่ก่อนแล้วว่าหลินเมิ้งหยาต้องชอบ ลูกหมาป่าตัวนั้นเองก็เฉลียวฉลาด มันรู้ว่าหลินเมิ้งหยาคือคนที่สามารถให้ข้าวให้น้ำมันกินได้ ดังนั้นมันจึงส่งเสียงออดอ้อนคลอเคลียหลินเมิ้งหยา

    “น่ารักจังเลย! นายหญิงไปเอาหมามาจากที่ไหนหรือเจ้าคะ?”

    หลินเมิ้งหยาอุ้มลูกหมาป่ากลับมายังที่นั่งของตนเอง สาวใช้ทั้งสี่รีบกรูกันเข้ามา

    มือเล็กมือน้อยยื่นเข้าไปสัมผัสตัวมันเบา ๆ

    “มันไม่ใช่หมา แต่มันคือหมาป่า”

    ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกแปลก หลังจากลูกหมาป่าตัวนี้ถูกหลินเมิ้งหยาอุ้ม มันแสดงท่าทีเชื่อฟังอย่างน่าประหลาด ยิ่งไปกว่านั้นยังขายความน่ารักให้กับคนมองอีกด้วย

    คำพูดของหลินเมิ้งหยามิทำให้คนทั้งห้าหวาดกลัว

    ถึงอย่างไรเจ้าหมาป่าตัวน้อยก็แสนน่ารัก แม้มันจะเป็นหมาป่า แต่ถึงกระนั้นก็ยังทำให้ผู้คนหลงรัก

    “เช่นนั้นพวกเราตั้งชื่อให้มันดีหรือไม่”

    อุ้มหมาป่าตัวน้อยกลับไปยังกระโจมของตนเอง เจ้าลูกหมาป่าตัวน้อยเข้าไปดื่มนมวัวอุ่นๆ

    หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด นางรู้สึกว่าชื่ออาเสวี่ยช่างเหมาะกับมันยิ่งนัก

    “ให้มันชื่อว่าอาเสวี่ยแล้วกัน จากนี้ไปพวกเราจะเลี้ยงดูมันที่ตำหนัก

    หลินเมิ้งหยาตัดสินใจ ทว่าดวงตาของสาวใช้ทั้งสี่กลับเบิกกว้าง จะเก็บหมาป่าไว้ในตำหนักกระนั้นหรือ พระชายากำลังล้อเล่นอยู่กระมัง?

    “เอ๋? ไม่มีใครเลี้ยงลูกหมาป่าหรอกนะเจ้าคะ ท่านไม่กลัวว่ามันจะแว้งกัดท่านตอนโตหรือ?”

    ป๋ายจื่อมองทางนายหญิงตัวเอง ท่าทางหวาดกลัวเล็กน้อย ตอนนี้ยังไม่เป็นไร แต่ถ้าหากมันโตขึ้นและทำร้ายคนในตำหนักหลิวซินจะทำเช่นไร?

    นางเป็นเพียงเด็กสาวอ่อนแอ เพียงหมาป่าตัวนี้กัด นางก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว

    “พวกเจ้ากำลังกลัวอะไรกันอยู่? วางใจเถิด หากพวกเราเลี้ยงดูมันตั้งแต่ยังเด็กและเลี้ยงดูมันด้วยความจริงใจ มันจะต้องจริงใจต่อพวกเราแน่นอน แล้วแบบนี้มันจะทำร้ายพวกเราได้อย่างไร?”

    คำพูดของหลินเมิ้งหยาได้รับความเห็นด้วยจากป๋ายซู

    เด็กคนนี้มักจะนิ่งเงียบอยู่เสมอ อาจพูดออกมาบ้างเป็นบางครั้ง แต่ทุกครั้งที่พูดล้วนมีเหตุผล

    “ข้าคิดว่านายหญิงพูดได้ไม่เลว ยิ่งไปกว่านั้นข้าเคยได้ยินเรื่องที่ว่ามีคนอาศัยอยู่กับหมาป่า อีกทั้งยังมีเด็กน้อยผู้ถูกทอดทิ้งอาศัยกับหมาป่าอีกด้วย”

    หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง ในโลกปัจจุบันเองก็มีเรื่องเล่าของเด็กชายกับหมาป่า ดังนั้นเจ้าลูกหมาป่าตัวนี้จะต้องกลายเป็นหมาป่าเชื่องๆ ในอนาคตเป็นแน่

    “ในราชวงศ์แห่งซีฟานเองก็มีคนเลี้ยงหมาป่าจนเชื่อง ดังนั้นพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก”

    หลงเทียนอวี้พาหูเทียนเป่ยเดินเข้ามา หูเทียนเป่ยจึงส่งเสียงอธิบาย

    เมื่อได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาขององค์รัชทายาทแห่งซีฟาน ป๋ายจื่อพลันหน้าแดงก่ำ นางรีบมุดเข้าไปหลบหลังหลินเมิ้งหยาทันที

    “ที่แท้องค์รัชทายาทก็เสด็จมาถึงที่นี่ เชิญนั่งเพคะ”

    หลินเมิ้งหยากลับแสดงความใจกว้าง นางสังเกตเห็นแววตาหลงใหลในสายตาของป๋ายจื่อ

    อันที่จริงหูเทียนเป่ยเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย แต่น่าเสียดาย เกรงว่าราชวงศ์แห่งซีฟานจะมีความซับซ้อนมากกว่าที่พวกนางได้เห็น

    “หมาป่าตัวนี้มีสัญชาตญาณที่ดี หากต้องการเลี้ยงสัตว์ร้ายพวกนี้ ขอเพียงใส่ใจ พวกมันจะกลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่แสนเชื่อฟังแน่นอน ที่ซีฟานของพวกเรา หมาป่าหิมะเปรียบเสมือนสัตว์วิเศษที่พระเจ้าประทานให้”

    ท่าทางของหูเทียนเป่ยเสมือนชอบอาเสวี่ยมาก แต่น่าเสียดายที่หมาป่าตัวนี้ไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย

    หลังจากกินนมอิ่มแล้ว มันวิ่งเข้าไปขดตัวนอนที่ขาของหลินเมิ้งหยา

    วางศีรษะลงบนเท้าของหลินเมิ้งหยา ก่อนจะหลับไป

    “ลูกหมาป่าตัวนี้ยังเด็กมากเกินไป พอกินอิ่มก็นอน ไม่เห็นเหมือนราชาแห่งหมาป่าตรงไหน”

    หูเทียนเป่ยอาศัยอยู่ที่ซีฟาน เขาจึงรู้จักอุปนิสัยของหมาป่าเหล่านี้ดี

    คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นสายพันธุ์ของราชาแห่งหมาป่า

    “เกรงว่าเทียนเป่ยซง1คงมิได้มาที่นี่เพียงเพื่อชื่นชมหมาป่าหิมะใช่หรือไม่?”

    หลงเทียนอวี้ได้ยินบทสนทนาระหว่างหูเทียนเป่ยและหลินเมิ้งหยา ความหงุดหงุดพลันผุดขึ้นในหัวใจ

    คำพูดนี้เรียกสติของหูเทียนเป่ยกลับมา หลินเมิ้งหยาใช้โอกาสนี้โอบอุ้มตัวอาเสวี่ยเข้ามาไว้ในอ้อมกอด

    “ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพราะจะคุยเรื่องการอภิเษก เสด็จพ่อเร่งให้ข้าเลือกชายาที่จะอภิเษกด้วย มิเช่นนั้นพระองค์จะเป็นผู้เลือกให้กับข้า”

    เมื่อพูดถึงเรื่องแต่งงาน หูเทียนเป่ยรู้สึกยุ่งยากใจเสียยิ่งกว่าหลินเมิ้งหยา

    แม้หญิงสาวชนชั้นสูงแห่งต้าจิ้นจะมีใบหน้างดงาม กิริยามารยาทอ่อนโยน แต่พวกนางหาใช่ชายาที่เขาอยากได้ไม่

    ชายาของเขาควรแตกต่างจากผู้อื่น ควรมีความคิดเห็นเฉกเช่นเดียวกับเขาและอยู่ครองรักกันที่ซีฟานอย่างมีความสุข

    ดังนั้น เขาจึงไม่อยากแต่งงานกับลูกคุณหนูตระกูลใหญ่โต

    “สาวใช้ของหม่อมฉันไม่เหมาะสมกับพระองค์ ต้าจิ้นมีสาวงามอีกมากมาย องค์ชายไม่ลองเลือกดูใหม่ดูเพคะ”

    เมื่อเรื่องราวเดินทางมาถึงจุดนี้แล้ว หลินเมิ้งหยาต้องการพูดออกไปให้ชัดเจน

    ป๋ายจื่อมิใช่เพียงสาวใช้ของนาง แต่เปรียบเสมือนน้องสาว

    นางไม่มีทางปล่อยให้ป๋ายจื่อรับความเสี่ยงที่อาจได้ไปแต่มิได้กลับเช่นนี้

    “ข้าเองก็กลับไปคิดดูแล้ว หากข้าต้องเลือกหญิงสาวชนชั้นสูงเหล่านั้นจริงๆ แล้วละก็ ข้ายินยอมเลือกสาวใช้ของเจ้าจะดีเสียกว่า”

    หูเทียนเป่ยเองก็มีเหตุผลที่แน่วแน่ของตนเอง กองกำลังของซีฟานแข็งแกร่งมาก สกุลของเหล่าขุนนางกำลังจับจ้องหมายปองตำแหน่งชายาของเขาอยู่

    เขาไม่อยากกลายเป็นหุ่นเชิดของใคร ดังนั้นเขาจึงต้องการสาวใช้ของหลินเมิ้งหยา

    “หม่อมฉันเข้าใจความรู้สึกของพระองค์ แต่หม่อมฉันเองก็มิอาจยินยอมปล่อยสาวใช้ของหม่อมฉันกลายเป็นเครื่องมือของใครได้”

    หลินเมิ้งหยาออกหน้าปกป้องป๋ายจื่อ หูเทียนเป่ยคิดไม่ถึง

    ที่ซีฟาน ผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องมือชิ้นหนึ่งเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น นางเป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่งเท่านั้น

    “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าข้าเองก็คงไม่มีทางเลือก แต่ถึงอย่างนั้นต้องขอบใจเจ้ามาก”

    หลงเทียนอวี้เป็นเพื่อนของเขา คนซีฟานให้ความสำคัญกับเพื่อนพ้องมาก เมื่อหลินเมิ้งหยาไม่ยินยอมมอบสาวใช้ให้ เช่นนั้นเขาก็ไม่คิดบีบบังคับ

    “การหนีปัญหาหาใช่วิธีการแก้ปัญหาไม่ ราชวงศ์แห่งซีฟานจะต้องมีหญิงสาวที่เหมาะสมกับท่านอย่างแน่นอน ไม่ดีกว่าหรือ หากได้แต่งงานกับพวกนาง”

    คำแนะนำจากหลินเมิ้งหยาทำให้หูเทียนเป่ยหัวเราะขมขื่นพลางส่ายหน้า

    “เรื่องที่เสด็จพ่อได้ตัดสินใจไปแล้ว ไม่อาจมีทางแก้ไขได้ หากใช้วิธีนั้นได้จริง ข้าคงไม่เลือกสาวใช้ของเจ้า”

    ทุกครอบครัวล้วนมีปัญหา ทว่าในราชวงศ์มิอาจหลบหลีกการแก่งแย่งชิงดีไปได้

    หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด สุดท้ายนิ่งเงียบไป

    นางไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องภายในครอบครัวของผู้อื่น

    สนทนากับหูเทียนเป่ยอีกสองสามประโยค ก่อนที่หลงเทียนอวี้จะส่งเขากลับ

    สาวใช้ทั้งสี่ขอตัวออกไปข้างนอกเพื่อปล่อยให้หลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง

    “ท่านคิดว่าหูเทียนเป่ยจะยอมแพ้หรือไม่?”

    หลินเมิ้งหยากังวลเล็กน้อย องค์ชายแห่งซีฟานแต่ละคนรับมือได้ยาก แม้หูเทียนเป่ยจะดูเหมือนคนตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่รู้ว่าเขายังมีกลอุบายอันใดเก็บซ่อนเอาไว้

    หากเขาจะเอาตัวป๋ายจื่อไปให้ได้จริงๆ เช่นนั้นเรื่องราวจะยุ่งยากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

    “ข้าคิดว่าเขาไม่มีทางยอมแพ้ ไม่มีใครยินยอมปล่อยให้คนอื่นขัดขวางแผนการของตนเอง เทียนเป่ยเป็นคนมีความทะเยอทะยาน เจ้าคิดหรือว่าเขาจะยอมทิ้งโอกาสนี้ไป?”

    หลินเมิ้งหยานั่งลงบนเก้าอี้ แกล้งลูกหมาป่าในอ้อมกอด

    เรื่องของป๋ายจื่อทำให้นางกระวนกระวายเป็นอย่างมาก

    “แต่เจ้าสบายใจเถิด ข้าจะพยายามคุยกับเขา”

    เสียงทุ้มต่ำที่ถูกส่งออกมาทำให้หัวใจของหลินเมิ้งหยาเสมือนได้รับการปลอบโยน

    อันที่จริงนางมีแผนซ่อนเอาไว้ในใจ

    หากวันใดป๋ายจื่อถูกบีบบังคับให้ไปแต่งงานกับหูเทียนเป่ยขึ้นมา

    เมื่อถึงเวลานั้น นางไม่เกรงใจเลยที่จะใช้กลอุบายลักขื่อเปลี่ยนเสา

    หลินเมิ้งหวู่ยินยอมที่จะแต่งงานด้วยมิใช่หรือ? เช่นนั้นส่งนางไปไม่ดีกว่าหรือ

    “ท่านอ๋องจะเข้าร่วมการจับเสือในวันมะรืนจริงหรือเพคะ?”

    การช่วยเสือเป็นเพียงความคิดของหลินเมิ้งหยาเท่านั้น เมื่อลองครุ่นคิดดูแล้ว นางรู้สึกว่ามันบ้าบิ่นเกินไป

    เสือไม่อาจแยกได้ว่าใครเป็นคนดีหรือเลว เมื่อเวลาจวนตัว หลงเทียนอวี้ได้รับบาดเจ็บขึ้นมาจะทำเช่นไร?

    “เจ้ากำลังเป็นห่วงข้าหรือ?”

    หลงเทียนอวี้ถามกลับด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มที่พบเห็นได้ยากยิ่ง

    ช่วงนี้ที่อยู่ต่อหน้าหลินเมิ้งหยา เขามักจะยิ้มบ่อยขึ้น

    ห้วงอารมณ์ที่มิอาจพบเห็นบนใบหน้าของเขาได้บ่อยนักยิ่งถูกเปิดเผยออกมาให้เห็นมากขึ้นทุกที

    รอยยิ้มและแววตาอ่อนโยนจนคนมองใจละลาย

    นี่คือเสน่ห์ของหลงเทียนอวี้ แม้แต่นางยังอดที่จะหลงใหลไม่ได้

    “เจ้าเหม่อลอยอะไร?”

    หลงเทียนอวี้มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยท่าทางขำขัน หลังจากที่พวกเขาค่อยๆ คุ้นเคยกันแล้ว หญิงสาวคนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อน อีกทั้งเขายังเห็นกับตาตัวเอง

    บางครั้งสดใส บางครั้งน่ารัก บางครั้งหลงใหล ทั้งหมดนั้นทำให้หลินเมิ้งหยาเข้ามามีที่นั่งในหัวใจของเขา

    บางที หากได้ใช้ชีวิตกับนางไปตลอดชีวิต ก็คงไม่ได้แย่เท่าไร

    “หม่อม…หม่อมฉัน…ไม่ได้เป็นไร…”

หมายเหตุ

       ซง1 คือคำเรียกพี่ น้อง มิตรสหาย มักเป็นคำต่อท้ายชื่อเพื่อแสดงความสนิทสนมและให้เกียรติ