โดยเฉพาะตอนนี้ หลังเธอได้สติกลับมา สบเข้ากับสายตาสับสนมึนงงของชายหนุ่มและหลูซวงนั้น เล่อเหยาเหยาอยากมุดหน้าลงดินโดยไม่ออกมาอีก
สุดท้ายเล่อเหยาเหยายังก้มหน้า พยักหน้าดุจโขลกกระเทียม พลางเอ่ยว่า
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณพี่ไป๋!”
“ฮ่าๆ เข้าใจก็ดีแล้ว เช่นนั้นเจ้ารีบกลับไปเถอะ ข้ามีธุระ ขอตัวก่อน!”
เอ่ยจบ ตงฟางไป๋ก็ไม่รอให้เล่อเหยาเหยาเอ่ยสิ่งใด รีบหมุนตัวจากไป
เสื้อผ้านั้นปลิวไสว เงาร่างสูงสง่างาม ทำให้คนรู้สึกถึงความสดใสงดงาม
ให้ความรู้สึกคล้ายสวีจื้อหมัว[1]สะบัดแขนเสื้อกว้าง ไม่พรากไปแม้ม่านเมฆสักผืน
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาถอนหายใจและรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เพราะชายผู้นี้ทุกครั้งที่ตนตกอยู่ในอันตราย มักจะปรากฏตัวขึ้นทันที
แต่ทุกครั้ง หลังช่วยเธอให้รอดพ้นจากอันตราย จะจากไปอย่างรวดเร็ว
เขาเป็นเช่นนี้ ช่างคล้ายสายลมเย็น ที่จับต้องไม่ได้
อีกทั้งตอนนี้ เขาช่วยเหลือตนมาสองครั้งแล้ว แต่เธอเพิ่งรู้เพียงว่าเขาชื่อตงฟางไป๋ เรื่องอื่นกลับไม่รู้เลย
และไม่รู้ว่าการพบหน้าครั้งต่อไปของพวกเขา จะเป็นเมื่อใด
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาจึงผิดหวังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทว่าสิ่งที่เธอไม่รู้คือ ความจริงวาสนาของเธอและตงฟางไป๋ ไม่ได้มีเพียงการช่วยชีวิตเช่นนี้เท่านั้น
…
เพราะไม่วางใจ เล่อเหยาเหยาจึงกลับไปส่งหลูซวงอีกครั้ง จากนั้นตนก็ค่อยๆ เดินกลับไปที่วังรุ่ยอ๋อง
หลังจากเดินอยู่เป็นเวลานาน เล่อเหยาเหยาที่เดินอย่างหมดอาลัยตายอยาก ร่างกายไร้เรี่ยวแรง รวมทั้งความเจ็บปวดบนเอว ทำให้เธอต้องกัดฟันเดินกลับมา
หัวหน้าขันทีลี่เห็นว่าดึกแล้วเล่อเหยาเหยาจึงกลับมา กำลังเตรียมตัวสั่งสอน แต่เมื่อเห็นท่าทางไม่สบายของเล่อเหยาเหยา สีหน้าซีดเซียว ดังนั้นจึงเพียงเม้มริมฝีปากแน่นอยู่ชั่วครู่
เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยามีท่าทางเตรียมพร้อมรับการอบรม เพียงเอ่ยเบาๆ ขึ้นประโยคหนึ่งว่า
“ยังไม่รับกลับไปที่ตำหนักหย่าเฟิงปรนนิบัติท่านอ๋องอีก เจ้าเป็นบ่าว จะกลับช้ากว่าเจ้านายได้เช่นไร ใช้ไม่ได้จริงๆ”
สำหรับคำพูดที่ไม่พอใจของหัวหน้าขันทีลี่ เล่อเหยาเหยาไม่ได้สนใจฟังแม้แต่นิดเดียว
เพราะเมื่อเธอได้ยินว่าพญายมกลับมาแล้ว ในใจสั่นไหว ร่างกายราวกับถูกฟ้าผ่าตอนกลางวัน
สมองพลันว่างเปล่า ดวงตางดงามพลันเบิกกว้าง ก่อนเอ่ยถามหัวหน้าขันทีลี่ว่า
“อะไรนะ ท่า…ท่านพูดว่า ท่านอ๋องเขา เขามิใช่…” ไปจัดการโจรสลัดหรือ! เหตุใดถึงกลับมาเร็วเช่นนี้!
เห็นสีหน้าตกตะลึงของเล่อเหยาเหยา หัวหน้าขันทีลี่เพียงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า
“ท่านอ๋องเพิ่งกลับมาเมื่อครู่ เจ้า…เอ๊ะ ข้ายังพูดไม่จบ เจ้าบ่าวผู้นี้”
หัวหน้าขันทีลี่ยังพูดไม่จบ เล่อเหยาเหยาก็พุ่งไปที่ตำหนักหย่าเฟิงราวกับสายลมแล้ว หัวหน้าขันทีลี่จึงทั้งจนใจและไม่สบอารมณ์มองตามไป
แต่เล่อเหยาเหยาก็ไม่สนใจ อีกทั้งเมื่อรู้ว่าพญายมกลับมา เธอรู้สึกว่าร่างกายเธอคล้ายเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ความเจ็บปวดบนเอว พลันหายเจ็บทันที
ตอนนี้ในใจเธอมีเพียงความคิดเดียวคือ…
อยากเจอเขายิ่งนัก!
เล่อเหยาเหยาก็ไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับใจตนกันแน่
เห็นชัดว่าทั้งหวาดกลัวเกรงกลัวพญายม และหลังผ่านเรื่องที่หออวี๋หงมา ก็ไม่ชื่นชอบ คิดเพียงอยากไปจากเขา
แต่เมื่อเขาจากไปจริง หายไปจากสายตาของเธอ เธอก็กลับเริ่มคิดถึงเขา
สวรรค์!
เธอเสียสติไปแล้วหรือ!
เล่อเหยาเหยาทั้งขัดแย้งสับสนในใจ แต่ฝีเท้ากลับไม่ได้หยุดก้าวเดิน
อาจเพราะเธอเสียสติไปแล้ว!
…
ในขณะเดียวกัน ภายในห้องหนังสือในตำหนักหย่าเฟิง
เวลานี้มีชายหนุ่มสามคน ที่มีลักษณะต่างกันนั่งอยู่ แต่ละคนหล่อเหลาดุจเทพเซียน!
เห็นเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้จันทน์แดง สวมเสื้อคลุมชั้นดีสีน้ำเงิน คอเสื้อและขอบเสื้อต่างใช้เส้นไหมสีเงินปักเป็นภาพเมฆไหลออกมา
หน้าตาหล่อเหลา ท่าทางเบิกบานสดใส อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าเด่นชัด เพียงมองก็จะเห็นบุรุษที่เต็มไปด้วยบุคลิกดั่งพระอาทิตย์!
ส่วนที่นั่งอยู่ด้านข้างชายชุดสีน้ำเงิน กลับเป็นบุรุษที่เย็นชา มีบุคลิกแตกต่างกับชายชุดสีน้ำเงินอย่างสิ้นเชิง
สวมเสื้อคลุมสีดำทั่วร่าง เอวคาดด้วยสายคาดเงิน บนเสื้อคลุมปักด้วยลวดลายดอกอิงซู่ (ดอกฝิ่น) ทำให้ชายหนุ่มผู้นี้คล้ายดอกอิงซู่ที่เบ่งบานเย้ายวนยามค่ำคืน เย้ายวนใจทว่าแฝงด้วยพิษร้าย
ส่วนที่นั่งอยู่ตรงข้ามทั้งสองคน เป็นชายหนุ่มชุดสีขาวผู้หนึ่ง!
ชายหนุ่มชุดขาวนี้ รูปร่างสูงโปร่ง สดใสมีชีวิตชีวา
เส้นผมดำดุจม่านน้ำตก เสื้อผ้าสีขาวกรีดกราย ทำให้คนรู้สึกคล้ายสายลมเย็นอันอ่อนโยน และรู้สึกสบายตาเมื่อมอง!
ชายสามคนนี้คนหนึ่งเย็นชา คนหนึ่งสดใส คนหนึ่งอ่อนโยน ทว่าถึงอย่างไรทุกคนต่างก็หล่อเหลาจนทำให้คนปลาบปลื้มหลงใหล
เวลานี้ หนานกงจวิ้นซีที่สวมชุดสีน้ำเงิน กำลังดื่มชาพลางเล่าเรื่องที่ไท่ซานให้แก่ชายหนุ่มชุดขาวฟังอย่างสมจริงสมจัง
“ไป๋ เจ้าไม่รู้ดอกว่าศิษย์พี่ใหญ่ของข้าคือเทพเซียน! โจรสลัดทางไท่ซานอาละวาดเช่นนี้ ทำให้คนปวดหัวอย่างยิ่ง แต่ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าเพียงออกไปลงมือจัดการ เด็ดศีรษะของหัวหน้าโจรสลัดนั้นลงมา โจรสลัดพวกนั้นไม่มีผู้นำ จึงต่างหนีไปคนละทิศคนละทาง ทำให้พวกเราตีจนแตกพ่ายได้ ฮ่าๆ ช่างมีความสุขยิ่งนัก!”
สำหรับคำพูดของหนานกงจวิ้นซี ชายหนุ่มชุดขาวด้านข้าง เพียงจิบชาอย่างสง่างาม ก่อนยิ้มอย่างอ่อนโยนและเอ่ยขึ้น
“โจรสลัดพวกนั้น ข้าเคยได้ยินมาบ้าง ตอนนี้พวกท่านไปจัดการแล้ว เหล่าชาวประมงที่ใช้ชีวิตโดยอาศัยทะเลก็คงปลอดภัยและมีความสุขเสียที”
“ฮ่าๆ ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว! แต่ว่าศิษย์พี่ใหญ่ พักนี้ท่านดูแปลกไปนะ”
พอพูดถึงตรงนี้ หนานกงจวิ้นซีคล้ายฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ พลันหันหน้าไปเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่นั่งนิ่งเงียบอยู่ด้านข้างตลอดเวลา
เมื่อถูกกล่าวถึง เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงหันหน้าไป เลิกดวงตาเย็นชาขึ้น ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า
“ข้าแปลกเช่นไรหรือ”
“นั่นท่านย่อมไม่รู้แน่! วันนั้นท่านพลันรีบร้อนเรียกข้าไปที่ไท่ซาน บอกว่ามีโจรสลัดกลุ่มใหญ่ แต่โจรสลัดพวกนั้น มีคนไปจัดการอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ท่านลงมือ แต่ท่านกลับพลันเดินทางไป คล้ายมีเรื่องร้อนใจบางอย่าง หลังไปถึงที่นั่น คล้ายร้อนรนอยู่ตลอดวัน ที่สำคัญคือวันนั้นอันตรายอย่างยิ่ง แต่ท่านกลับบุกเข้าไปในรังของโจรสลัด โชคดีที่วรยุทธท่านไม่ด้อย แต่ที่นั่นมีโจรสลัดจำนวนมาก หากพวกมันรู้ตัว แม้ท่านจะเป็นถึงพญายม สุดท้ายต้องกลายเป็นพญายมที่สิ้นชื่อแน่นอน ข้าว่านะศิษย์พี่ใหญ่ พักนี้ท่านป่วยใช่หรือไม่ ไป๋อยู่ที่นี่พอดี ไป๋ เจ้ามาดูอาการศิษย์พี่ใหญ่ของข้าหน่อยเถิด!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงเม้มริมฝีปากบาง ขมวดคิ้วแน่น ภายในสายตาปรากฎความสงสัยขึ้นมา
หรือเขาจะเป็นดังที่ศิษย์น้องพูดจริงๆ !
อาจเป็นเพราะพักนี้เขาคล้ายไม่เป็นตัวของตัวเอง
โดยเฉพาะคืนนั้นที่หออวี๋หง เขาที่ถูกวางยาปลุกกำหนัด หากพูดตามหลักการ ต้องหาผู้หญิงมาเพื่อช่วยระบายยาปลุกกำหนัดนั้นให้กับเขา แต่เขากลับใช้ขันทีน้อยผู้นั้น
ตอนนี้เมื่อนึกถึงคนผู้นั้นดิ้นรนอยู่ใต้ร่างตน ใบหน้าลังเล น้ำตาที่ไหลริน และสายตาน่าสงสารในวันนั้น ทำให้เขาทั้งสงสารและคิดมิดีมิได้
เขารู้ว่าหลังผ่านคืนนั้นไป เกรงว่า ‘เขา’จะไม่อยากเห็นหน้าตนอีกแล้ว
เพราะวันนั้น ‘เขา’เอ่ยออกจากปากว่าต้องการไปจากวังอ๋อง พูดอย่างแน่วแน่ ไร้เยื่อใย หรือในวังอ๋องไม่มีสิ่งใดที่เขาจะทำให้ ‘เขา’ตัดใจไปไม่ได้ หรือทำให้ ‘เขา’ผูกผันจริงๆ ! อย่างเช่นตัวเขา…
เพราะเรื่องวันนั้น เมื่อเห็นสายตากล่าวโทษและสีหน้าแน่วแน่จะจากไปของ‘เขา’ทำให้ใจเขาเกิดหวาดกลัวขึ้น
สวรรค์รู้ว่าตั้งแต่เด็กจนโต ยังไม่เคยมีเรื่องใด ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจและหวาดกลัวมาก่อน
แต่ตอนนี้ เขากลับหวาดกลัวว่า‘เขา’จะจากไป
เพราะกลัว ‘เขา’ จะพูดว่าอยากจากไปอีกครั้ง ดังนั้นวันถัดมาหลังได้รับข่าว ทางไท่ซานมีโจรสลัดออกอาละวาด ทำให้ชาวประมงหวาดกลัว เขาจึงไม่คิดสิ่งใด รีบอาสาไปจัดการโจรสลัดทางไท่ซานให้ราบคาบด้วยตนเอง
เดิมที เขาเพียงอยากใช้ช่วงเวลานี้ ทำให้ตนได้สติขึ้น เพราะช่วงนี้เขาก็รู้สึกว่าตนเริ่มจะเปลี่ยนไปจากเดิม
แต่คิดไม่ถึง ไปถึงไท่ซานเพียงวันเดียว เขาก็เริ่มคิดถึงคนตัวเล็กนั้น ไม่รู้ว่าหลังรู้ว่าเขาจากมา ‘เขา’จะมีปฏิกิริยาเช่นไร!
จะตื่นเต้นดีใจ จนต้องจุดพลุเฉลิมฉลอง! หรือจะไม่สบายใจรู้สึกผิดหวัง!
อาจจะเป็นอย่างแรกมากกว่า
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ เขายังคิดถึง ‘เขา’อย่างมาก
พอวันที่สอง แม้เขาจะอยู่ที่ไท่ซาน แต่ใจกลับโบยบินกลับมายังวังอ๋อง
แทบอยากให้ด้านหลังของตนมีปีกงอกขึ้นมา จะได้บินกลับมาที่วังอ๋อง ดูว่า ‘เขา’สบายดีหรือไม่
วันที่สาม เขาเปลี่ยนไปเป็นร้อนรน เพราะจากวังอ๋องมาเป็นวันที่สาม ในใจเขา สมองเขา คิดถึง ฝันถึง ล้วนคือรอยยิ้มของคนตัวเล็กนั้น ดังนั้นเขารู้ว่าตนเดินเข้าไปในกองไฟ และอยู่ในวังวนนั้นแล้ว
ดังนั้น วันนี้ตอนเช้าเพื่อจะได้รีบกลับมาดูคนตัวเล็กนั้น เขารู้ชัดว่าตนบ้าบิ่นเกินไป แต่ยังบุกเข้าไปในรังโจรสลัด ภายใต้คมดาบนับพัน ตัดศีรษะของหัวหน้าโจรสลัดผู้นั้นลง ทำให้โจรพวกนั้นต่างพลันหนีแตกกระเจิง
เวลานั้น เขาก็รู้ว่าเรื่องที่เหลือไม่เกี่ยวข้องกับตนแล้ว เพราะเวลานั้นเขาคิดว่าในที่สุดเขาจะสามารถกลับมาดูคนตัวเล็กนั้นแล้ว แม้เขาต้องจ่ายสิ่งตอบแทนบางอย่างก็ตาม
ความคิดเริ่มโบยบิน พลันรู้สึกว่ามีสายตาสองคู่มองมาที่ตนพร้อมกัน ทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋พลันได้สติ เพื่อไม่ให้ทุกคนเอ่ยเรื่องของตนอีก เขาจึงเฉไฉเปลี่ยนหัวข้อขึ้นมาว่า
“ไป๋ เรื่องของท่าน จัดการไปถึงไหนแล้ว”
เมื่อเหลิ่งจวิ้นอวี๋ตั้งใจเปลี่ยนเรื่อง ชายหนุ่มชุดขาวก็ไม่คาดคั้นถามอีก แม้เขาจะสนใจเรื่องเกี่ยวกับสหายผู้นี้ของตนอย่างมาก
ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ใบหน้ายิ้มแย้มของชายหนุ่มชุดขาว กลับพลันปกคลุมด้วยความเศร้า น้ำเสียงดูโศกเศร้าบางส่วน
[1] สวีจื้อหมัวกวีโรแมนติกในวรรณคดีสมัยใหม่ของจีน เขาเป็นทั้งกวี นักเขียนและนักวิชาการที่มีชื่อเสียงและมีผลงานกวีนิพนธ์โดดเด่น