สุดท้ายท่ามกลางการกระเซ้าเย้าแหย่ หลิวหลีก็หนีไปทิ้งให้หนานกงเวิ่นเทียนอยู่ตรงนั้น พอนางวิ่งออกไปไกลก็ลูบหน้าที่ร้อนผ่าวของตัวเอง ชีวิตคนเราน่ะเหรอ กว่าจะหาคู่ชีวิตที่มีรสนิยมเหมือนกันไม่ง่ายเลยจริงๆ
“ยินดีด้วยนะ เวิ่นเทียน สมปรารถนาสักที” เฟิ่งอิงเสวี่ยกล่าว
“ใช่แล้ว เจ้าหนู ในที่สุดนังหนูสกุลของข้าก็ถูกเจ้าคว้าตัวไปได้สักที” ในใจของเอ๋าเลี่ยก็ยังคงมีความไม่พอใจอยู่บ้าง ไม่ว่าจะมองหนานกงเวิ่นเทียนอย่างไรก็รู้สึกไม่ถูกชะตา
“ถ้าอย่างนั้นข้าต้องเปลี่ยนไปเรียกพี่เขยแล้วสินะ?” จื่อฉีเอียงคอพูดขึ้น
หนานกงเวิ่นเทียนไม่พูดอะไรแต่หน้าร้อนผ่าวจนจะต้มกุ้งสุกได้อยู่แล้ว เขากลัวว่าถ้าเขายิ่งพูดเยอะก็จะยิ่งผิด
เมื่อเห็นหนานกงเวิ่นเทียนหน้าแดงไม่พูดไม่จามาตลอด พวกเขาก็ไม่คิดจะเย้าแหย่ต่อไป
เมื่อเห็นว่าพอสมควรแล้วหลิวหลีก็กลับไปด้วยท่าทีนิ่ง ๆไม่มองสายตาของคนพวกนั้น นางจัดการมาแล้วไม่กลัวหรอก
“อาเลี่ย จื่อฉี อิงเสวี่ย พวกเจ้ารีบดูดซึมเถอะ ถือไว้ก็ร้อนมือเปล่าๆ สู้ใช้ไปเลยดีกว่า” หลิวหลีพูดขึ้น
“ได้สิ”
“นอกจากนี้ข้าอยากจะหยดเลือดบริสุทธิ์หยดนี้ลงในสระโลหิต เผ่ามังกรข้ารู้ว่าคือสระมังกรโลหิต เผ่าอื่นข้าไม่ค่อยแน่ใจว่ามีอะไร ฝากผู้นำเผ่าด้วยแล้วกัน”
“ข้าจะเรียกป๋อเหวินมาเดี๋ยวนี้” เอ๋าเลี่ยพยักหน้า
เอ๋าป๋อเหวินรู้สึกมึนงง เมื่อท่านปรมาจารย์กลับมาจากแดนลี้ลับทำไมดูเหนื่อยล้าและทำตัวลึกลับ แล้วยังพาคนแปลกหน้ากลับมาอีก เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่คนของบ้านสกุลหลง ยัยตัวแสบที่ยืนอยู่ข้าง ๆคนนั้นเขารู้จักเป็นอย่างดี ท่านปรมาจารย์เรียกพบครั้งนี้ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร
“ท่านปรมาจารย์ ท่านอาอิงเสวี่ยจากเผ่าหงส์ ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ ถ้าอย่างนั้นเด็กคนนี้ก็คือคู่พันธสัญญาของท่านหรือ” เอ๋าป๋อเหวินพูดด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ นางเป็นแขกของเผ่ามังกร ป๋อเหวินยินดีต้อนรับไหม” เฟิ่งอิงเสวี่ยพยักหน้ารับ
“แน่นอนว่ายินดีต้อนรับอย่างถึงที่สุด”
“พอได้แล้ว ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมาก ป๋อเหวิน มีของอย่างหนึ่งที่ข้าอยากจะฝากให้เจ้าเอาไปให้ผู้นำทั้งสี่เผ่าที่เหลือด้วยตัวเอง” เอ๋าเลี่ยไม่อยากเห็นพิธีรีตรองจอมปลอมแบบนี้นักหรอก
“ท่านปรมาจารย์ โปรดสั่งมาได้เลย”
“หลิวหลี คู่พันธสัญญาของข้าได้ผ่านการทดสอบสุสานบรรพบุรุษในแดนลี้ลับแล้ว บรรพบุรุษได้ให้เลือดศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละเผ่าให้นาง นางเลยอยากจะนำออกมาหนึ่งหยกเพื่อแจกจ่ายให้กับทุกเผ่า หยดลงไปในสระมังกรโลหิตของเผ่ามังกร เพื่อให้คนรุ่นหลังไว้ใช้ ส่วนของชิ้นนี้ที่ให้เจ้าไปเป็นของสี่เผ่าที่เหลือ ต้องส่งให้ถึงนะ” พอเอ๋าเลี่ยพูดจบ ขวดเล็กๆสี่ขวดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเอ๋าป๋อเหวิน เอ๋าป๋อเหวินมือสั่นรับมา นี่คือเลือดของบรรพบุรุษ
ตอนเตรียมจะขอบคุณหลิวหลี ใบหน้าเอ๋าป๋อเหวินก็ถอดสี เกิดอะไรขึ้นกับคู่พันธสัญญาของท่านปรมาจารย์ ทำไมบนตัวถึงมีกลิ่นอายของอสูรเทพแรงกล้าเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่สามารถแยกออกได้ว่าเป็นชนิดไหน แข็งแกร่งเสียจนเข่าทรุดอย่างอดไม่ได้ “ท่านปรมาจารย์ ข้าขอตัวก่อน” ไปส่งของดีกว่า นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เขาควรอยู่เสียหน่อย
“ข้าน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ” หลิวหลีพูดขึ้นพลางเอามือชี้ไปที่ตัวเอง
“นังหนู เดิมทีก็ถูกฝีมือของเจ้าทำให้ตกตะลึงแล้ว ว่าแต่ทำไมบนตัวของเจ้าจึงมีกลิ่นอายของอสูรเทพแรงกล้าเช่นนี้” เอ๋าเลี่ยยังมีอีกประโยคหนึ่งที่ไม่ได้พูดออกมา เป็นกลิ่นอายของอสูรเทพบรรพกาลเสียด้วย แรงกล้ามากจนถึงขนาดทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
“เรื่องนี้น่ะหรือ เป็นของขวัญที่ท่านผู้อาวุโสอสูรเทพให้มา ตอนนี้น่าจะพูดได้ว่าข้าเป็นอสูรเทพที่มีร่างเป็นมนุษย์” หลิวหลีเหลือบมอง แล้วนึกถึงของขวัญที่อสูรเทพมอบให้
เอ๋าเลี่ยไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูด หากรวบรวมของที่ได้มาคนที่ได้มากที่สุดก็คงเป็นนังหนูนี่แหละ ยังไม่ต้องพูดถึงดวงใจมังกรกับดวงใจหงส์ เลือดบริสุทธิ์ก็ล้ำค่ามหาศาลเช่นกัน นังหนูถึงขนาดได้รับการยอมรับจากอสูรเทพทั้งห้า พอมีสิ่งนี้แล้วก็บอกได้อย่างไม่ต้องเกรงใจเลยว่านังหนูคือราชาแห่งโลกอสูร โชคดีขนาดนี้คงจะไม่มีใครแล้ว
“ใช่แล้ว อาเลี่ย พวกเจ้าล่ะ พอเข้าไปในแดนลี้ลับก็แยกจากกันเลยไม่รู้ว่าพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” หลิวหลีถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ก็เหมือนกับพวกเจ้า ถูกบรรพบุรุษของตัวเองทรมานปางตาย แต่ก่อนมักจะรู้สึกว่าไม่มีใครสามารถต่อกรกับตัวเองได้ แต่บัดนี้รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าเข้าอย่างจัง” เอ๋าเลี่ยคิดไปถึงช่วงเวลานั้น โดนโจมตีเสียจนไม่อยากจะเป็นมังกรแล้ว
“ข้าไม่เลยนะ บรรพบุรุษของข้าเหมือนจะดีใจที่ได้เห็นข้าด้วยซ้ำ สั่งสอนข้าอย่างอ่อนโยน” จื่อฉีพูดขึ้นพลางส่ายหัว บรรพบุรุษของเขาดีใจมากที่ได้เจอเขา
“เพราะว่าเจ้าเป็นอสูรน้อยตัวแรกในรอบหลายแสนปีละมั้ง” เอ๋าเลี่ยบ่นขึ้น อสูรเทพมักให้การดูแลพวกอสูรน้อยเป็นอย่างดี
“ใช่แล้ว บรรพบุรุษของข้าก็เข้มงวดมากเช่นกัน เพิ่งค้นพบว่าเมื่อก่อนหยิ่งในตัวเองจริงๆ” เฟิ่งอิงเสวี่ยก็พูดเสริมขึ้น ตอนนี้ใจยังหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย
พอหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนฟังจบ รู้สึกว่าคนรุ่นหลังกลุ่มนี้ทำให้บรรพบุรุษต้องไม่สบอารมณ์เพราะความไม่เอาถ่านของพวกเขา การฝึกซ้อมที่แสนหฤโหดก็ไม่สามารถอธิบายใจที่หวังให้ลูกหลานสำเร็จของพวกเขาได้
“บรรพบุรุษคงโมโหที่พวกเราไม่เอาไหน พวกเราก็เหมือนถูกปิดตาเอาไว้ ภูมิใจในตัวเองมากเกินไป” หลิวหลีวิเคราะห์ขึ้น
“เป็นอย่างนั้นจริงๆ” คนพวกนั้นพยักหน้า
“ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ยิ่งไม่ควรทำให้ท่านบรรพบุรุษต้องผิดหวังที่สั่งสอนพวกเรามา” หนานกงเวิ่นเทียนพูดขึ้น
“ก็จริง อาเลี่ย อิงเสวี่ย จื่อฉี พวกเจ้าดูดซับพลังก่อนเถอะ เวิ่นเทียน เจ้าสร้างค่ายกลคุ้มครองให้พวกเขา ข้าจะไปสระมังกรโลหิต” หลิวหลีสั่งการเสร็จก็ส่งสายตาไปให้กับเอ๋าเลี่ย เอ๋าเลี่ยก็เข้าใจในทันที
“ข้าไปก่อนนะ” หลิวหลีพูดจบก็จากไป
“แค่ก ๆ…เดี๋ยวข้าจะพาพวกเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง สามารถดูดซับพลังได้อย่างดีเยี่ยมโดยไม่มีใครมารบกวน พวกเจ้าหลับตาลง”
เอ๋าเลี่ยทำตามสิ่งที่หลิวหลีบอก แล้วนางก็พาพวกเขาไปยังมิติเล็กๆของนาง ตรงนั้นมีพลังเซียนเพียงพอ มีความปลอดภัยสูง แน่นอนว่าคนพวกนั้นไม่รู้สึกสงสัยในคำพูดของเอ๋าเลี่ยอยู่แล้ว มีเพียงจื่อฉีที่ขมวดคิ้วแน่น เอ๋าเลี่ยส่งสายตาข่มขู่ จื่อฉีจึงได้เงียบลง ต้องเป็นคำสั่งจากพี่สาวแน่ ๆ
“เอาล่ะ ลืมตาได้” เอ๋าเลี่ยพูดขึ้น พอมิติของหลิวหลีได้รับพลังเซียนเพิ่มจากสุสานบรรพบุรุษ ทำให้โดยรวมแล้วสามารถทดแทนส่วนที่ขาดหายไป พลังเซียนมีความหนาแน่นมาก ที่สำคัญเลยคือมีพื้นที่กว้างขวาง
“ท่าน… ที่นี่คือ” หนานกงเวิ่นเทียนถามขึ้น พลังเซียนของที่นี่ไม่ได้ด้อยไปกว่าแดนลี้ลับเลย
“ตรงนี้เป็นแดนลี้ลับที่ข้าได้มาโดยบังเอิญ ใช้ยันต์ส่งสารที่จัดทำขึ้นเป็นพิเศษก็สามารถเข้ามาได้แล้ว วางใจเถอะ นอกจากพวกเราก็ไม่มีใครแล้ว พวกเจ้าหาที่ดูดซับพลังได้เลย การบำเพ็ญจึงจะแข็งแกร่ง” เอ๋าเลี่ยเอ่ยคำที่เตี๊ยมกับหลิวหลีไว้ แต่จื่อฉีกลับ…ท่านอาเอ๋าเลี่ยขอรับ ฮือๆ ขาของเขาจะบวมหมดแล้ว
หลิวหลีมาถึงที่สระมังกรโลหิต มังกรน้อยกลุ่มหนึ่งกำลังดำผุดดำว่ายอยู่ในสระมังกรโลหิตด้วยความสนุกสนาน พอได้ยินเสียงฝีเท้า มังกรตัวน้อยก็หยุดกิจกรรมลง
“เจ้าเองหรือ หลิวหลี เจ้าจำเป็นต้องมาที่นี่อีกหรือ” เอ๋าเทียนขวงเอ่ยขึ้น
“มาดูพวกเจ้าไง แล้วก็เอาของขวัญมาให้พวกเจ้าด้วย พวกเจ้าออกมากันก่อน” หลิวหลีรู้สึกดีต่อพวกมังกรน้อยเหล่านี้มาก
“คืออะไรหรือ คือเนื้อแห้งแบบครั้งก่อนรึเปล่า หลิวหลี” เอ๋าเทียนป้าถามขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อนึกถึงเนื้อแห้งครั้งที่แล้ว มังกรน้อยเหล่านี้ก็อดที่จะน้ำลายสอไม่ได้ อร่อยมากจริงๆ
รอจนมังกรน้อยทุกตัวขึ้นมา หลิวหลีก็หยิบขวดเล็ก ๆออกมา เทของเหลวที่อยู่ด้านในลงไปในสระมังกรโลหิต สระมังกรโลหิตก็เดือดปุด ๆ โหมซัดไปมาอยู่นานถึงจะสงบลง พวกเขาที่ยืนอยู่ด้านหลังก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังแกร่งกล้าบางอย่าง
“หลิวหลี เจ้าใส่อะไรลงไป” เอ๋าเทียนอีถามขึ้น
“ของดีน่ะสิ เลือดบริสุทธิ์ของมังกรบรรพกาล พวกเจ้าดูดซับมันให้ดีล่ะ จำไว้นะต้องค่อยๆเริ่มจากด้านนอกเข้าสู่ด้านใน และรับในปริมาณพอดี อย่าเอาเข้าร่างกายมากเกินไป” หลิวหลีพูดกำชับ
“ขอบคุณนะ หลิวหลี” มังกรตัวน้อยรู้สึกขอบคุณหลิวหลีจากใจจริง มนุษย์คนนี้ดีกับพวกเขามากจริงๆ
หลิวหลีพยักหน้า ไม่เสียแรงที่นางหยดลงเพิ่มอีกครึ่งหยด
เรื่องราวแบบเดียวกันนี้เองก็เกิดขึ้นกับอีกสี่เผ่าที่เหลือด้วยเช่นกัน แสงแห่งบารมีไหลเข้าตัวหลิวหลี ทำให้แสงทองบนตัวของหลิวหลีชัดเจนมากยิ่งขึ้น
หลิวหลีคิดว่านางจัดการธุระเสร็จก็ควรกลับไปฝึกบำเพ็ญได้แล้ว จึงบอกลาเหล่ามังกรตัวน้อย หลิวหลีมาถึงที่พักของเอ๋าเลี่ยแล้วหายตัวเข้าไปในมิติ
หลิวหลีปรับสมดุลสภาพตัวเองให้ดี จากนั้นก็ดื่มเลือดบริสุทธิ์ครึ่งหยด หลิวหลีรู้สึกว่าพื้นฐานของตัวเองตอนนี้ค่อนข้างแน่นไม่ควรจะบรรลุช่วงพลังเร็วจนเกินไป เมื่อดื่มเลือดเข้าไปก็รู้สึกเลือดในร่างกายกำลังร้อนระอุ หลิวหลีกัดฟันอดทนกับความไม่คุ้นชินที่มาพร้อมกับการเคลื่อนไหวของเลือดภายในร่างกาย ค่อยๆหลอมเลือดบริสุทธิ์ทีละน้อย แล้วเส้นลมปราณในร่างกายของนางก็ราวผ่านการประกอบใหม่จำนวนนับครั้งไม่ถ้วน ความแข็งแกร่งของนางเหนือกว่าผู้บำเพ็ญทั่วไปจนมิอาจเปรียบได้
ส่วนฟากหนึ่งเอ๋าเลี่ยก็ใช้ดวงใจมังกร เดิมที่คิดว่าร่างกายตนแกร่งกล้ามากแล้วแต่กลับรู้สึกถึงความแตกต่างเช่นกัน เลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกาย ทำให้เอ๋าเลี่ยรู้ว่าที่แท้ตัวเองยังมีช่องว่างให้พัฒนาได้อีก เมื่อหลอมรวมเข้ากับดวงใจมังกร เอ๋าเลี่ยก็ต้องอดทนต่อการประกอบขึ้นใหม่ของเส้นลมปราณที่แตกหักไป เมื่อเปล่งเสียงคำรามออกมา เอ๋าเลี่ยพลันรู้สึกว่าภายในร่างกายของตัวเองเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นใหม่ ราวกับมีกลิ่นอายของความเก่าแก่ นี่ตัวเองมีกลิ่นอายของบรรพบุรุษติดมาด้วยหรือ เอ๋าเลี่ยรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เช่นเดียวกัน เฟิ่งอิงเสวี่ยกับจื่อฉีก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน หนานกงเวิ่นเทียนที่ดื่มเลือดบริสุทธิ์ของหงส์เข้าไป พลังบำเพ็ญเพียรของเขาก็คงที่อยู่ในช่วงแยกจิตระยะกลาง หลิวหลีก็คงที่อยู่ในช่วงแยกจิตระยะกลางเช่นเดียวกัน
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในเผ่าอสูรเทพไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาของทั้งห้าสกุลไปได้ ผู้นำสกุลต่างก็คาดเดาว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับการมาเยี่ยมเยียนของหลิวหลี พวกเขาต่างก็ได้ยินมาจากลูกหลานว่า หลิวหลีคือคนเดียวที่สามารถเข้าไปในสุสานบรรพบุรุษได้ในรอบหลายแสนปีมานี้ ไม่รู้ว่าได้อะไรมาจากข้างในบ้าง
เมื่อทุกคนบรรลุช่วงพลังเรียบร้อยแล้ว เอ๋าเลี่ยก็พาทุกคนออกไป อย่างไรเสียที่นี่ก็ยังคงเป็นความลับ ยังไม่ถึงเวลาป่าวประกาศให้ใครรู้
“หลิวหลี เจ้าจะไปเยี่ยมเยียนทั้งห้าสกุลเพื่อเอาเลือดบริสุทธิ์ไปให้หรือ” หนานกงเวิ่นเทียนถามขึ้น
“ใช่แล้ว ยังเหลืออีกหนึ่งหยดเลยคิดว่าจะเอาไปให้กับทุกสกุลที่เหลือข้าจะเป็นคนจัดการเอง” หลิวหลีกล่าว บรรพบุรุษให้นางมาเยอะขนาดนี้คงตั้งใจเช่นนี้แหละ
“หลิวหลี เจ้าไม่เคยคิดที่จะเก็บของพวกนี้ไว้ใช้เองหรือ อย่างไรเสียของพวกนี้ต่างก็เป็นของหายาก” เอ๋าเลี่ยพูดขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์
“ไม่ล่ะ ข้าจะกล้าได้อย่างไร บรรพบุรุษไว้ใจข้าขนาดนี้ ให้ข้ามาตั้งเยอะ แน่นอนว่าต้องไว้ให้แบ่งลูกหลานของพวกเขาแน่นอน” หลิวหลีอธิบายเหตุผลว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น
เอ๋าเลี่ยเหมือนกับจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมเหล่าบรรพบุรุษจึงได้ใจกว้างกับหลิวหลีถึงเพียงนี้
“อีกอย่างข้าก็ได้มาเยอะแล้วเหมือนกัน” อย่างเช่นความน่าเกรงขามของอสูรเทพระดับสุดยอดบนร่างนาง
…………………………………………………………………