เล่มที่ 4 บทที่ 119 ความมุทะลุบุ่มบ่ามเสมือนมารร้าย

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

เซี่ยยวี่หลัวกำลังยิ้ม ยามที่นางแย้มรอยยิ้ม คิ้วงามโก่งโค้งช่างดูดียิ่งนัก แววตาเป็นประกายเหมือนดวงดาราทอแสง แต่ก็กว้างไกลไร้ขอบเขตดั่งทางช้างเผือก อ้างว้างวังเวง ไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย

เมื่อนางยิ้มกลับดูน่าสะพรึงกลัวกว่าเวลาโมโหเสียอีก

เถียนเอ๋อทำใจดีสู้เสือ กล่าวต่อ “ว่าอะไร บอกว่าเจ้าหน้าตาเหมือนนางจิ้งจอก! “

อิจฉา นางกำลังอิจฉาอย่างเห็นได้ชัด

เซี่ยยวี่หลัวแย้มรอยยิ้ม จับใบหน้ารูปไข่ของตนเองที่งดงามถึงขีดสุด เอ่ยวาจายั่วโมโหจนเถียนเอ๋อแทบคลั่ง “หน้าตาดีก็เป็นความผิดของข้างั้นหรือ? ใครให้บิดามารดาของท่านไม่มอบหน้าตาเช่นข้าให้ท่านเล่า! ช่วยไม่ได้ ท่านอิจฉาไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา! “

เถียนเอ๋อโมโหจนแทบกระอักเลือด “เจ้า เจ้ามันหน้าไม่อาย! บากหน้าอยากเป็นอนุของเซียวเหลียง เอาตัวเข้าแลกเพื่อหาเงินซื้ออาหารดีๆ ให้เด็กสองคนกิน เซียวยวี่ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ ! “

รอยยิ้มบนใบหน้าเซี่ยยวี่หลัวพลันแข็งทื่อ

เซียวจื่อเซวียนจะพุ่งขึ้นหน้าอีก เซี่ยยวี่หลัวขวางเขาไว้

“เรื่องระหว่างสตรี สตรีย่อมจัดการเอง พวกเจ้าที่เป็นบุรุษอย่าได้ยื่นมือเข้ามายุ่ง ประเดี๋ยวจะถูกหาว่าเจ้าเป็นชายชาตรีรังแกนางที่เป็นหญิงอ่อนแอเอาได้! ” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวเป็นเชิงหยอกล้อ

เซียวจื่อเซวียนหัวเราะขำขันแทบแย่ พี่สะใภ้ใหญ่กล่าววาจาถากถางด้วยสีหน้านิ่งสงบเสียจริง

ยามเซี่ยยวี่หลัวยิ้มช่างงดงามอย่างแท้จริง ทว่า รังสีที่แผ่ออกมาจากตัวนางกลับแฝงเร้นด้วยความเหี้ยมเกรียม เถียนเอ๋อเห็นแล้วก็รู้สึกขวัญผวา

เถียนเอ๋อในขณะนี้รู้สึกกลัวขึ้นมาจริง ๆ

เซี่ยยวี่หลัวเดินขึ้นหน้าสองก้าวช้าๆ เถียนเอ๋อหิ้วตะกร้ามองเซี่ยยวี่หลัวเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ อย่างหวาดกลัว

เถียนเอ๋อถอยหลังอย่างต่อเนื่อง “เจ้า… เจ้าจะทำอะไร? “

เซี่ยยวี่หลัวเดินขึ้นหน้าสองก้าว ยิ้มจนแทบไม่เห็นตา “ไม่ทำอะไรนี่ ข้าเพียงอยากถามท่าน ว่าตาข้างไหนของท่านที่เห็นว่าข้าบากหน้าไปขอเป็นอนุของเซียวเหลียงอย่างหน้าไม่อายกัน? “

เถียนเอ๋อกล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย “ข้าเห็นเซียวจื่อเซวียนส่งข้าวให้พ่อเซียวเหลียงทุกมื้อ เจ้าดูแลพ่อเซียวเหลียง เจ้ากล้าพูดหรือว่าไม่ได้ทำเพื่อประจบเซียวเหลียง? เซียวเหลียงรับซื้อผักตี้เอ่อ ไม่ให้ใครไปช่วย เหตุใดต้องให้เจ้าไปช่วยงาน? ตัวเจ้านอกจากจะมีใบหน้าดูดี ยังทำอะไรเป็นอีก! หากเจ้าไม่ได้มีอะไรกับเซียวเหลียง เขาจะให้เจ้าช่วยงานหรือ? จ่ายเงินให้โดยที่เจ้าไม่ต้องทำอะไรเลย! “

เซี่ยยวี่หลัวแทบอยากหัวเราะ นี่มันตรรกะบ้าบออะไรกัน

เซี่ยยวี่หลัวถลึงตามองเถียนเอ๋อ พร้อมกล่าวโดยเค้นเสียงลอดไรฟัน

“เซียวเหลียงรับซื้อผักตี้เอ่อในหมู่บ้าน ทุกเช้าบิดาของเขางานยุ่งจนแทบไม่มีเวลากินข้าว ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าเขาจะกินอะไร? บ้านข้าทำอาหาร ทำเพิ่มสำหรับอีกหนึ่งคนแล้วอย่างไร? ล้วนเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน ข้าแค่เห็นว่าบิดาเซียวเหลียงอยู่บ้านคนเดียวไม่ได้กินข้าว จึงช่วยดูแลเล็กน้อย แต่ท่านกลับหาว่าข้าประจบเซียวเหลียงอย่างหน้าไม่อาย เทียนเอ๋อ ท่านยังมีหัวจิตหัวใจบ้างหรือไม่? “

มีชาวบ้านจำนวนหนึ่งเดินมา ได้ยินวาจาของเซี่ยยวี่หลัว ไตร่ตรองสิ่งที่เซี่ยยวี่หลัวกล่าวมาโดยละเอียด จะไม่มีเหตุผลได้อย่างไร?

“นั่นสิ พวกเราไม่รอบคอบเอง ภรรยาเซียวยวี่กล่าวถูกแล้ว บิดาเซียวเหลียงอยู่คนเดียว พวกเรายังไม่เคยคิดเลยว่าคนชราอยู่คนเดียวจะกินอะไร! “

“ภรรยาเซียวจิน เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้เจ้าเป็นฝ่ายผิด ครั้งก่อนเจ้ากับภรรยาไฉซุ่นใส่ร้ายภรรยาเซียวยวี่ หัวหน้าหมู่บ้านโมโหเพียงใด หรือว่าเจ้าลืมไปแล้ว? “

เซี่ยยวี่หลัวยิ้มอย่างเย็นเยียบพร้อมกล่าว “หากท่านรู้สึกว่ายังถูกขังในศาลบรรพชนไม่นานพอ ข้าสามารถไปพูดกับหัวหน้าหมู่บ้านให้ท่านได้ จะช่วยบอกว่าท่านคิดถึงศาลบรรพชนยิ่งนัก ยังอยากไปคุกเข่าที่นั่นอีก ข้าเชื่อว่า หัวหน้าหมู่บ้านต้องยินดีที่จะส่งท่านไปแน่นอน เหล่าบรรพบุรุษสกุลเซียวก็คงอยากให้ท่านไปเซ่นไหว้พวกท่านแน่! “

สีหน้าของเถียนเอ๋อพลันดูขาวซีด

หากโดนขังในศาลบรรพชนอีก เซียวจินต้องตีนางตายแน่ แต่ความบาดหมางระหว่างนางและเซี่ยยวี่หลัว จะคลี่คลายง่ายๆ ได้อย่างไร!

เซี่ยยวี่หลัวจูงมือเด็กสองคนกลับบ้าน ตักน้ำอุ่นมาให้เด็กสองคนล้างหน้าจนสะอาด จากนั้นจึงให้ขนมคนละหนึ่งชิ้น เมื่อเห็นพวกเขากินขนมคำเล็กด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่ได้ตกใจกลัวเพราะถ้อยคำของเถียนเอ๋อเมื่อครู่นี้ นางจึงผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก

อย่างไรเซียวจื่อเซวียนก็โตกว่าหน่อย เรื่องที่เมื่อครู่เขาจะพุ่งไปชนคนอื่นด้วยความบุ่มบ่าม เซี่ยยวี่หลัวก็ยังต้องคุยกับเขาให้เข้าใจ

ปล่อยให้เซียวจื่อเมิ่งเล่นกับกระต่ายเพียงลำพัง เซี่ยยวี่หลัวพาเซียวจื่อเซวียนเข้าไปในห้อง

“วันนี้เจ้าจะพุ่งชนเถียนเอ๋อ เจ้าเคยคิดหรือไม่ ว่าหากเจ้าชนนางล้มจริง จนนางบาดเจ็บ หรือถ้านางแสร้งทำทีเป็นบาดเจ็บ ผลที่จะตามมาจะเป็นเช่นไร? ” เซี่ยยวี่หลัวเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง

เวลานั้นเซียวจื่อเซวียนโมโหจนแทบคลั่ง “ข้าไม่อาจทนเห็นนางว่าร้ายท่านเช่นนั้น ทั้งที่ความจริงพี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนหางานนี้มาให้ทุกคน แค่ไม่อยากถูกนินทาเลยไปหาท่านปู่เซียว แม่ต้าหมินไม่รู้จักสำนึกบุญคุณก็ไม่เท่าไร กลับยังมาใส่ความว่าท่านประจบท่านอาเซียวเหลียง นาง… ช่างน่าชังนัก! “

เมื่อเห็นเซียวจื่อเซวียนออกหน้าพูดแทนนาง ภายในใจเซี่ยยวี่หลัวรู้สึกดียิ่ง

“เด็กโง่ พี่สะใภ้ใหญ่รู้ว่าเจ้าทำเพราะหวังดีต่อพี่สะใภ้ใหญ่ แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ ว่าหากวันนี้เจ้าชนใส่เถียนเอ๋อจริง จนนางบาดเจ็บ เราจะแบกรับผลที่ตามมาได้งั้นหรือ? ” เซี่ยยวี่หลัวเอ่ยถามเสียงเบา

เซียวจื่อเซวียนในเวลานั้นเหมือนราชสีห์ตัวน้อยที่คลุ้มคลั่งก็มิปาน หากชนใส่เถียนเอ๋อจริง เดิมทีนางก็ไม่ใช่คนน่าคบหาที่จะพูดคุยได้ง่ายๆ อยู่แล้ว หากนางสร้างเรื่องอะไรขึ้นมาอีก เบาหน่อยก็เรียกร้องขอเงินหรือสิ่งของ หนักหน่อยเกรงว่าชั่วชีวิตนี้คงถูกเถียนเอ๋อเกาะติดเป็นแน่

“แม่ต้าหมินไม่ใช่คนที่จะพูดคุยได้ง่าย พี่สะใภ้ใหญ่ไม่อยากให้เจ้าถูกกุมจุดอ่อนเพียงเพื่อเรื่องเล็กแค่นี้ เช่นนั้นได้ไม่คุ้มเสีย! ” เซี่ยยวี่หลัวอธิบายอย่างใจเย็น

“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าเข้าใจขอรับ แต่ว่านาง… นางว่าท่านเช่นนั้น! ” ภายในใจเซียวจื่อเซวียนยังคงรู้สึกโมโหอย่างไม่อาจสงบลงได้ “ท่านไม่โกรธหรือขอรับ? “

“ข้าต้องโกรธอยู่แล้ว! เพียงแต่ สีดำย่อมไม่อาจกลายเป็นสีขาว สีขาวก็ไม่อาจกลายเป็นสีดำ ข้าได้กระทำหรือไม่ ภายในใจข้ารู้ดีว่าไม่ได้กระทำผิดต่อผู้ใด ไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายให้นางฟัง เราทำในส่วนของเรา เกี่ยวอะไรกับพวกเขาด้วย? หากเผชิญกับคนที่มีเหตุผล พวกเราสามารถอธิบายให้เข้าใจ แต่หากเผชิญกับคนไร้เหตุผลล่ะ? หากเป็นคนที่มีจิตใจเหมือนแม่ต้าหมินในวันนี้ ต่อให้พวกเราอธิบายแค่ไหนหรือโมโหไปจะมีประโยชน์อะไร? จื่อเซวียน ไม่จำเป็นต้องโมโหกับคนที่ไม่คู่ควรให้เราโมโห และอย่ากลายเป็นคนไร้เหตุผลเพียงเพราะอีกฝ่ายไร้เหตุผล”

เซี่ยยวี่หลัวเกลี้ยกล่อมอย่างใจเย็น “ความมุทะลุบุ่มบ่ามเสมือนมารร้าย แม้แต่เวลาที่พวกเราโมโหที่สุด ก็จะปล่อยให้มารร้ายตัวน้อยในใจเราออกมาไม่ได้”

เซียวจื่อเซวียนไม่มีอารมณ์โทสะอย่างเมื่อครู่แล้ว นั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ ตั้งใจฟังเซี่ยยวี่หลัว

“คนที่ดูหมิ่นเหยียดหยามเรา ไม่ว่าเราทำอะไรก็ผิด คนที่เชื่อใจเรา ไม่ว่าทำอะไรก็ไม่จำเป็นต้องอธิบาย”

เซียวจื่อเซวียนเงยหน้ามองเซี่ยยวี่หลัว แววตาไม่มีความสับสนอย่างเมื่อครู่อีก เป็นประกายเหมือนมีหมู่ดาราทอแสง เขามองเซี่ยยวี่หลัว กล่าวอย่างหนักแน่น “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าเข้าใจแล้วขอรับ! ต่อไปข้าจะไม่บุ่มบ่ามเหมือนวันนี้อีก”

เซี่ยยวี่หลัวลูบศีรษะเขาเสมือนเป็นการให้รางวัล พร้อมยิ้มด้วยความรักใคร่เอ็นดู “ดีมาก จื่อเซวียนของข้าช่างเป็นเด็กดีจริงๆ “

เซียวจื่อเซวียนเดินขึ้นหน้าสองก้าว พิงในอ้อมอกเซี่ยยวี่หลัว

บนกายพี่สะใภ้ใหญ่มีกลิ่นหอมเบาบาง ไม่ได้เข้มข้นดังกลิ่นหอมของดอกไม้ แต่กลับทำให้จิตใจสงบลงได้ในชั่วพริบตา เซี่ยยวี่หลัวกอดเขาไว้ ในขณะนั้นเอง เซียวจื่อเมิ่งพุ่งพรวดเข้ามา บางทีอาจเพราะเล่นอยู่ข้างนอกนานแล้ว พบว่าตัวเองอยู่ตามลำพัง จึงมาหาพวกเขา

เมื่อเห็นเซียวจื่อเซวียนพิงอยู่ในอ้อมอกพี่สะใภ้ใหญ่ เซียวจื่อเมิ่งแย้มรอยยิ้ม กางแขนทั้งคู่ “พี่สะใภ้ใหญ่ข้าก็จะกอดเจ้าค่ะ! “

โอบกอดเด็กสองคนไว้ในอ้อมกอด ภายในใจเซี่ยยวี่หลัวรู้สึกดีเสียยิ่งกว่ากระไร

ในเวลานี้เอง เสียงเคาะประตู “ก๊อกก๊อกก๊อก” ก็ดังขึ้นจากด้านนอก “ภรรยาอายวี่ เจ้าอยู่บ้านหรือไม่? “

เป็นเสียงของเซียวเหลียง

เซียวเหลียงมาหานาง กลับทำให้เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกตกใจเล็กน้อย “ท่านอาเซียวเหลียง…”

“ภรรยาอายวี่ ข้าอยากถามเจ้าเรื่องหนึ่ง! เจ้ารู้จักซ่งฉางชิงงั้นหรือ? “

ซ่งฉางชิง?