ตอนที่ 208 การออกโรงแสนงดงาม

พันธกานต์ปราณอัคคี

ไม่รู้เพราะมั่วชิงเฉินสู้ติดกันหลายยกใช้กระบวนท่าประหลาดออกมามากมายทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กเกิดเกรงกลัวขึ้นมา หรือว่าเดิมทีนางก็เป็นคนระมัดระวังรอบคอบอยู่แล้ว เห็นจู่ๆ มั่วชิงเฉินโยนของสิ่งหนึ่งมาที่นาง จึงรีบเร่งกระพรวนสิบกว่าอันที่บินอยู่กลางอากาศต้านไปในทิศทางที่ของบินมา

 

 

เสียงโครมดังสนั่นดังขึ้น ตามมาด้วยควันกรุ่นคละคลุ้งไปทั่ว ผู้คนที่มุงดูรู้สึกเพียงพื้นที่อยู่ใต้เท้าสั่นแล้วสั่นอีก เสียงร้องตกใจดังขึ้นไม่ขาดสาย

 

 

หลายสิบอึดใจให้หลังควันกรุ่นถึงกระจายหายไป ในที่สุดผู้คนก็เห็นสภาพในลานประลองได้ชัดเจน

 

 

เห็นเพียงกระพรวนที่เบ่งอำนาจพวกนั้นถูกระเบิดจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ตกกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ส่วนที่ที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กอยู่ก่อนหน้านี้ ได้กลายเป็นหลุมใหญ่หลุมหนึ่งไปแล้ว

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรที่มุงดูทั้งหมดรวมทั้งศิษย์นิกายเหอฮวนต่างงงเป็นไก่ตาแตก ไม่ได้สติกลับมาไปชั่วเวลาหนึ่ง

 

 

ทันใดนั้นเสียงไอติดๆ กันอย่างรุนแรงลอยมา จากนั้นก็เห็นมือดำปี๋ข้างหนึ่งค่อยๆ ยื่นออกจากหลุมใหญ่ ตามด้วยมืออีกข้างหนึ่งมาติดๆ ต่อมาคือศีรษะ ในที่สุดผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กก็คลานขึ้นมาอย่างเปลืองแรง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงโซซัดโซเซยืนขึ้นมา แล้วมองไปรอบๆ อย่างงงงัน เมื่อสายตาตกไปที่เศษแตกละเอียดยิบของกระพรวนบนพื้น ก็หน้าถอดสีทันที เงยหน้ามองมั่วชิงเฉินโดยพลัน

 

 

บนใบหน้าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กดำปื้นหนึ่งขาวปื้นหนึ่ง แยกสีไม่ออกแล้ว เสื้อผ้าบนร่างยิ่งถูกเผาจนสิ้น เหลือเพียงผ้าขาดวิ่นไม่กี่เส้นแขวนอยู่บนร่างกายพลิ้วไหวไปตามลม ดูแล้วอนาถยิ่งนัก โชคดีที่นางใส่เกราะอ่อนสีแดงเข้มตัวหนึ่งไว้ข้างใน ไม่ถึงกับต้องโป๊เปลือย

 

 

มั่วชิงเฉินเหงื่อแตกพลั่ก ท่าทางอานุภาพของระเบิดสะท้านฟ้าไม่น้อยจริงๆ ก่อนหน้านี้อยู่ในถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดยังไม่รู้สึกว่ามีอะไร ในสถานที่ธรรมดาที่ไม่มีเขตอาคมป้องกันแม้แต่น้อยนี้ ไม่คิดว่าจะระเบิดจนเป็นหลุมเบ้อเริ่มออกมา

 

 

จากนั้นสายตาตกไปบนเกราะอ่อนสีแดงเข้มของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็ก เกราะอ่อนเช่นนี้ดูก็รู้ว่าเป็นอาวุธเวทป้องกันชั้นดี มิน่าอีกฝ่ายถึงยังมีแรงคลานขึ้นมาจากหลุมยักษ์ได้

 

 

เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ฐานะของหญิงผู้นี้ในนิกายเหอฮวนต้องไม่ต่ำแน่นอน ไม่แน่ตนได้ล่วงเกินผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงท่านไหนเข้าให้อีกแล้ว

 

 

“เจ้า เจ้ามันนางมาร ไม่คิดว่าจะทำลายห่วงทองกระพรวนลั่วอินของข้า ฮือๆ ฮือๆ ข้าจะไปฟ้องอาจารย์!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กยื่นนิ้วมือออก ชี้มั่วชิงเฉินพลางกล่าวโทษ

 

 

มั่วชิงเฉินอดกระตุกมุมปากไม่ได้ นางควรภูมิใจหรือไม่ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนถึงกับเรียกนางว่านางมารเชียว

 

 

ขี้เกียจพูดมากกับสตรีที่จิตใจยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ มั่วชิงเฉินหันหลังเดินไปข้างลานประลองรีบฉวยโอกาสปรับลมหายใจ

 

 

“เจ้าหยุดนะ ข้า ข้าจะฟ้องอาจารย์ข้าจริงๆ นะ ถึงเวลาอาจารย์ข้าต้องไม่ละเว้นเจ้าแน่!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กเอ่ยด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด

 

 

มั่วชิงเฉินยกเปลือกตาขึ้นอย่างขี้เกียจว่า “เชิญตามสบาย ขืนเจ้าจู้จี้อีก ข้าจะไปฟ้องอาจารย์ข้าเดี๋ยวนี้เลย!”

 

 

ข่มขู่คนใครทำไม่เป็นบ้างล่ะ มั่วชิงเฉินเบ้ปากแอบคิดในใจ

 

 

“ฟู่!” ศิษย์ที่มุงดูไม่น้อยหัวเราะออกมา

 

 

“ศิษย์น้องหวัง มิน่าตั้งแต่ศิษย์น้องมั่วเข้าสำนักเจ้าก็คอยสังเกตอยู่ตลอดเวลา บัดนี้ดูแล้วข้าต่างหากที่ตาไม่มีแวว ยามนี้ถึงพบว่าที่แท้ศิษย์น้องมั่วเป็นคนวิเศษแท้ๆ” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่รอยยิ้มอ่อนโยนยิ้มเอ่ยขึ้น

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่ถูกเรียกว่าศิษย์น้องหวังมีใบหน้าทารกที่น่ารัก ได้ยินดังนั้นจึงขมวดคิ้วว่า “คนวิเศษอะไรกัน เป็นตัวหาเรื่องละสิไม่ว่า”

 

 

ท่ามกลางฝูงชน เยี่ยเทียนหยวนก้มหน้าลง ทำความมีอยู่ให้จางลง ได้ยินคำพูดของมั่วชิงเฉินแล้วใบหน้าดุจรูปสลักน้ำแข็งก็อ่อนโยนลง ริมฝีปากบางที่เม้มแน่นระบายรอยยิ้มออกมาสายหนึ่ง

 

 

เกรงว่าจะมีเพียงคนของนิกายเหอฮวนที่ได้ยินคำพูดของมั่วชิงเฉินแล้วสีหน้าดูไม่ได้ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งบอกผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชมพูที่อยู่ข้างๆ ว่า “รีบไปพาศิษย์น้องหลี่ลงมา”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชมพูได้ยินดังนั้นรีบเดินขึ้นลานประลองไปทันที ลากแขนผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กว่า “ศิษย์น้องหลี่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว เราลงไปกันเถอะ” พูดพลางกระตุกผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กทีหนึ่ง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กดิ้นรนพลางสะบัดมือของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชมพูออก ปากก็ตะโกนว่า “ไม่ ข้าจะประลองกับนางอีก นางทำห่วงทองกระพรวนลั่วอินของข้าพัง จะให้แล้วกันไปเช่นนี้ไม่ได้…”

 

 

ในยามนี้เองจู่ๆ ก็มีเสียงแควกเบาๆ ดังขึ้น ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชมพูงงเป็นไก่ตาแตกในบัดดล จ้องหน้าอกของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กตาไม่กะพริบ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กก้มศีรษะลงอย่างสงสัย ทันใดนั้นก็กรีดร้องขึ้น จับเกราะอ่อนที่อยู่ที่หน้าอกแล้วร้องไห้โฮพลางวิ่งทะยานลงไปอย่างบ้าคลั่ง

 

 

ที่แท้เกราะอ่อนสีแดงเข้มยามที่ต้านระเบิดสะท้านฟ้านั้นก็ปรากฏรอยร้าวขึ้นแล้ว ยังพอเหมาะพอเจาะอยู่ส่วนรอยต่อที่หน้าอก ส่วนรอยต่อเดิมทีก็เป็นส่วนที่เปราะบางที่สุดของเกาะอ่อนป้องกันสีแดงเข้มอยู่แล้ว

 

 

เมื่อครู่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กออกแรงดิ้นปุ๊บรอยขาดก็กว้างขึ้น ส่วนรอยต่อจึงขาดออกจากกันโดยสิ้นเชิง ทิวทัศน์สวยงามของขุนเขาที่หน้าอกจึงโผล่ออกมา

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าประหลาด มุมปากสั่นแผ่วเบา ฝืนกลั้นไว้ไม่ให้เสียงหัวเราะเล็ดออกมา ในใจกลับอดคร่ำครวญไม่ได้ว่า ที่แท้คนเขาดูแล้วหน้าเด็ก แต่ความจริงซ่อนรูปไว้หรือนี่…บาปกรรม บาปกรรม ตนจะพัฒนาไปในทางชั่วร้ายต่อไปไม่ได้แล้ว

 

 

หากมั่วต้าเหนียนอยู่ยมโลกรู้เข้า เกรงว่าจะกระโดดออกมาจริงๆ ทึ้งหนวดร้องไห้ฟูมฟายว่า “เหตุใดเมื่อไม่มีข้าคอยดูแล เด็กหญิงตัวน้อยๆ ที่เชื่อฟังน่ารักยามเด็กๆ ก็โตมาอย่างผิดทาง กลายเป็นสาวน้อยที่ชั่วร้ายแล้วล่ะ!”

 

 

ในบรรดาศิษย์ที่มุงดู ศิษย์ผู้ดูแลคนหนึ่งน้ำตานองหน้าเช่นกัน ท่านอาจารย์อาเจ้าสำนักขอรับ ในที่สุดศิษย์ก็รู้แล้วว่าศิษย์พี่มั่วใช้อะไรระเบิดถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดห้องหมายเลขสามแล้ว

 

 

ยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งถูกปล่อยออกไปอย่างเงียบๆ

 

 

ส่วนทางด้านนิกายเหอฮวน ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กร้องไห้จนหายใจไม่ออกแล้ว

 

 

ศิษย์ร่วมสำนักทั้งหลายมองดูศิษย์น้องเล็กที่ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลด้วยสีหน้าเห็นใจ ในใจกลับอดรู้สึกโชคดีไม่ได้ โชคดีที่คนที่ขึ้นไปไม่ใช่ตนเองน่ะสิ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งตบไหล่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กเบาๆ ส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์น้องหลี่ เจ้าอย่าร้องอีกเลย วันนี้แม้ขายหน้า แต่อย่างไรเสียเจ้าก็ปลอดภัย เจ้าดูของที่มั่วชิงเฉินโยนออกมานั่นสิ ไม่เพียงแต่ระเบิดห่วงทองกระพรวนลั่วอินของเจ้าจนแหลกแล้ว ยังทำลายเกราะอ่อนวิญญาณสีชาดของเจ้าอีก อานุภาพนั้นช่างน่ากลัวโดยแท้ สามารถรักษาชีวิตกลับมาได้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว”

 

 

ในใจกลับแอบคิดว่า ศิษย์น้องหลี่ช่างนิสัยเหมือนเด็กจริงๆ ก็เพียงแค่แพลมนิดแพลมหน่อยเท่านั้น จำเป็นต้องร้องไห้ถึงเพียงนี้ไหม สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ ยังแอบยิ้มแทบไม่ทันเลย ทว่าพูดก็พูดเถอะ โชคดีที่ศิษย์น้องหลี่ปลอดภัย มิเช่นนี้ตนกลับไปเกรงว่ายิ่งยากจะอธิบายแล้ว

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กฟังคำเกลี้ยกล่อมจากผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้ง ในที่สุดก็หยุดร้องไห้ จับเสื้อผ้าที่คนอื่นคลุมให้นางไว้แน่นแล้วหลบเข้าไปท่ามกลางศิษย์ร่วมสำนัก

 

 

เขาชิงมู่

 

 

เจ้าสำนักนักพรตฟางเหยาฟังการรายงานของศิษย์ผู้ดูแลจบ สีหน้าเหลือเชื่อมาก มองไปที่กู้หลีทันที

 

 

กู้หลีภายนอกดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลับยกน้ำชาขึ้นดื่มไม่หยุด โคนหูแดงเรื่อขึ้นมา

 

 

เป็นครั้งแรก ที่เขาเกิดความสงสัยและหวั่นไหวอย่างลึกซึ้งต่อเรื่องที่รับมั่วชิงเฉินเป็นศิษย์

 

 

นักพรตจื่อซีกลับตีหัวชกอก โวยวายตรงๆ ว่า “น่าเสียดาย เหตุใดผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณถึงไปดูการประลองไม่ได้ล่ะ!”

 

 

“ศิษย์พี่ใหญ่ กฎเกณฑ์ของการ ‘เยือนสำนัก’ ก็เป็นเช่นนี้แล” นักพรตหมิงจ้าวรีบปลอบใจ

 

 

นักพรตจื่อซีค้อนควักหนึ่งว่า “กฎเกณฑ์กฎเกณฑ์ นี่ยังต้องให้เจ้าบอกหรือ นึกถึงปีนั้นยามที่ข้ารู้เรื่องกฎเกณฑ์นี้ เจ้ายังเปลือยก้นน้ำมูกไหลอยู่เลยนะ!”

 

 

ใบหน้าหล่อเหลาของนักพรตหมิงจ้าวอั้นจนเป็นสีตับหมู เอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “ความหมายของศิษย์น้องคือ หากศิษย์พี่ใหญ่อยากไปจริงๆ ก็แสร้งเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานก็ได้แล้วมิใช่หรือ”

 

 

นักพรตจื่อซีตบไหล่นักพรตหมิงจ้าวทีหนึ่งโดยพลัน “ศิษย์น้องสาม วันนี้เจ้าช่างหัวไวจริงๆ ไป” พูดพลางก็ลุกขึ้นยืน

 

 

“ศิษย์พี่จื่อซี ศิษย์น้องหมิงจ้าว…” นักพรตฟางเหยาตะโกนหน้าบึ้ง

 

 

นักพรตจื่อซีถอนใจอย่างจำใจ แล้วนั่งลงอย่างผิดหวัง

 

 

นักพรตฟางเหยาจัดเสื้อผ้านั่งตัวตรง พลิกมือปรากฏกระจกทองแดงขึ้นบานหนึ่ง

 

 

สามคนที่เหลือกวาดสายตาไป เห็นเพียงในกระจกทองแดงศิษย์ในชุดเขียวเบียดอยู่ด้วยกัน สีหน้าต่างๆ กันไป หันอีกทีหนึ่ง ก็ปรากฏภาพผู้บำเพ็ญเพียรหญิงงดงามสิบกว่าคนที่ใส่ชุดกระโปรงสีต่างๆ ขึ้นอีก หลังจากนั้นอีก ก็ปรากฏภาพมั่วชิงเฉินที่พิงอยู่ข้างสนามหลุบตาปรับลมหายใจ

 

 

สิ่งที่ปรากฏในกระจกทองแดงก็คือฉากใต้เชิงเขาที่สะดุดตานี่เอง!

 

 

“ศิษย์น้องเจ้าสำนัก…” นักพรตจื่อซีเรียกลากเสียงเสียยาว

 

 

นักพรตฟางเหยากระแอมสองทีว่า “ศิษย์หลานชิงเฉินชนะติดกันห้าคนแล้ว บัดนี้กำลังถึงยามหน้าสิ่วหน้าขวาน พวกเราในฐานะผู้อาวุโสแม้ไม่สะดวกไปดูการประลอง แค่กๆ แต่ใส่ใจเรื่องนี้มากๆ หน่อยก็เป็นเรื่องสมควร”

 

 

ใต้เชิงเขา

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งมองดูเหล่าศิษย์น้องที่บาดเจ็บก็บาดเจ็บ ที่สลบก็สลบ สีหน้ายิ่งดูไม่ได้ขึ้นมา

 

 

ยามนั้นอาจารย์อาเจ้าสำนักให้นางพาศิษย์น้องสิบกว่าคนมาท้าประลองที่เหยากวง นางยังรู้สึกว่าเอิกเกริกเกินไป ทว่าไม่คิดว่าบัดนี้กลับกลายมามีสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายชนะรวดห้าคนติดกัน ศิษย์น้องทั้งหลายยังเกิดความรู้สึกกลัวการสู้ขึ้นมาอีก หากต่อจากนี้ไม่มีคนออกสู้หรือว่านางชนะทั้งเจ็ดยก เช่นนั้นพวกนางก็ไม่มีหน้ากลับสำนักแล้ว

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง เห็นนางยืนอยู่ข้างๆ หลุบตาปรับลมหายใจเงียบๆ ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้

 

 

ต่อให้พลังความสามารถนางแข็งแกร่งเพียงใดก็มีเพียงตบะของระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ไม่พูดถึงพละกำลัง ก็ว่ากันด้วยพลังวิญญาณหรือว่าจะใช้ได้ไม่มีวันหมดหรืออย่างไร?

 

 

พูดเช่นนี้แล้ว การประลองห้ายกนี้ศิษย์น้องห้าคนจุดจบดูไม่ได้ เป็นเพราะนางเจตนาหรือ?

 

 

ถูกต้อง นางต้องจงใจใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนที่สตรีหน้าบางเป็นแน่ เจตนาเพิ่มความกดดัน! จุดประสงค์ของความกดดัน ย่อมอยู่ที่ให้คู่ต่อสู้ถอยโดยไม่สู้! และหากคนคนหนึ่งมั่นใจว่าสามารถสู้ชนะคู่ต่อสู้ทั้งหมดได้ จะใช้วิธีนอกลู่นอกทางไปไย!

 

 

เมื่อผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งคาดเดาถึงตรงนี้จู่ๆ ก็มั่นใจขึ้นมา พลังวิญญาณไม่พอก็คือจุดอ่อนที่ถึงแก่ชีวิตของคู่ต่อสู้!

 

 

คิดถึงตรงนี้ไม่ลังเลอีกต่อไป แล้วส่งเสียงทางจิตให้ศิษย์ร่วมสำนักที่ใส่ชุดกระโปรงยาวระพื้นสีน้ำเงิน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวพยักหน้าแผ่วเบา เดินไปกลางลานประลอง

 

 

มั่วชิงเฉินถอนใจในใจอึดหนึ่ง เดินไปถึงตรงกลางเช่นกัน ฝ่ายตรงข้ามไม่โง่เสียหน่อย จะให้เวลานางปรับลมหายใจตลอดเวลาได้อย่างไรกัน และบัดนี้พลังวิญญาณในกายนางเหลือไม่ถึงสามส่วนแล้ว

 

 

“สหายเต๋ามั่วฝีมือดีจริงๆ บัดนี้ก็ให้น้องขอคำชี้แนะสักครั้งเถอะ” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวคารวะครั้งหนึ่งอย่างสง่า หากไม่รู้เรื่องยังนึกว่าเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ในโลกฆราวาส

 

 

มั่วชิงเฉินคารวะกลับว่า “สหายเต๋าเกรงใจไปแล้ว”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวดวงตาที่งดงามมองไปรอบๆ แล้วยิ้มขึ้นทันที เมื่อยื่นมือเรียวออกมา ก็เห็นเงาสีน้ำเงินสายหนึ่งปรากฏขึ้นบนพื้น จากนั้นรำแพนอย่างช้าๆ หางนกยูงห้าสีที่มีสีน้ำเงินเป็นพื้นปรากฏปราณวิญญาณขึ้นรางๆ ดูแล้วงดงามเป็นพิเศษภายใต้แสงอาทิตย์ที่สดใส

 

 

ไม่คิดเลยว่าจะเป็นนกยูงสีน้ำเงินตัวหนึ่ง!

 

 

“นกยูงขนน้ำเงินหางแดง!” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังหน้าทารกในฝูงชนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ที่อยู่ข้างๆ เปลี่ยนจากสีหน้าอ่อนโยนยามปกติ เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “หลายคนผลัดกันต่อสู้กันผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันเพียงคนเดียว ยังจะบวกอสูรวิญญาณเข้ามาอีก ช่างน่าขันเสียจริง!”

 

 

ในอีกมุมหนึ่ง ใบหน้างดงามของมั่วหลีลั่วเย็นดุจน้ำแข็ง โมโหว่า “รังแกกันเกินไปแล้วจริงๆ ไม่ได้ ข้าจะไปเปลี่ยนชิงเฉินลงมา!”

 

 

ต้วนชิงเกอฉุดมั่วหลีลั่วไว้แน่นเอ่ยว่า “ศิษย์พี่มั่วอย่าวู่วาม ชิงเฉินมิใช่คนมุทะลุ หากสู้ไม่ไหวย่อมหาทางถอยเองได้ พวกเราคอยดูก่อนเถอะ”

 

 

“สหายเต๋ามั่ว น้องชินกับการสู้พร้อมอสูรวิญญาณ คิดว่าเจ้าคงไม่ถือสาหรอกกระมัง?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวถามช้าๆ

 

 

มั่วชิงเฉินมองนกยูงน้ำเงินปราดหนึ่ง ดูเหมือนหลับตาอย่างจำใจ กลับใช้ความผูกพันทางจิตวิญญาณที่มีเฉพาะกับอสูรวิญญาณร้องเรียกว่า “อู๋เย่ว์ ขืนเจ้าไม่ไสหัวมาจากเขาชิงมู่อีก ข้าก็จะให้เจ้าเลิกสุรา!”

 

 

เพียงชั่วครู่ ทุกคนก็เห็นอีกาที่อ้วนจนมองตาแทบไม่เห็นตัวหนึ่งกอดขวดน้ำเต้าสุรา บินแถไปแถมาเป็นเส้นโค้งประหลาดเข้ามาจากบนฟ้า