ตอนที่ 209 เจ้านายและอสูรวิญญาณ

พันธกานต์ปราณอัคคี

บรรยากาศสงบลงอย่างประหลาด ทุกคนต่างมองดูอีกาอ้วนที่บินมาอย่างฉงน

 

 

อีกาไฟสะบัดขน ดูเหมือนเพลิดเพลินกับความรู้สึกที่เป็นที่สนใจจากผู้คนเช่นนี้อย่างมาก

 

 

มันบินเซไปเซมาถึงหน้ามั่วชิงเฉิน จากนั้นแหงนหน้าดื่มสุราหยดสุดท้ายจนหมด โยนขวดน้ำเต้าสุราลงพื้นดัง ‘เคร้ง’ แล้วกางปีกห้อยไว้หน้าอกมั่วชิงเฉินว่า “เจ้านาย เจ้า ในที่สุดเจ้าก็ถูกปล่อยออกมาแล้ว…”

 

 

มั่วชิงเฉินก้มหน้าที่บึ้งตึงลง เห็นกรงเล็บสองข้างของอีกาไฟเกี่ยวอยู่บนรูที่ถูกยันต์ระเบิดไฟของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กระเบิดออกพอดี เห็นเสื้อด้านในสีฟ้าอ่อนวับๆ แวมๆ สีหน้าจึงยิ่งบึ้งขึ้นอีกทันที กัดฟันว่า “อู๋เย่ว์ ไม่เจอกันหลายเดือน เจ้ายิ่งสมบูรณ์ขึ้นแล้วนะ”

 

 

“เจ้านาย!” อีกาไฟเรียกอย่างคับแค้นใจ

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือหิ้วอีกาไฟขึ้นจากหน้าอกตนเอง แกว่งไปมาไปทางนกยูงน้ำเงินที่อยู่ทางด้านโน้นของลานประลอง “ให้โอกาสเจ้าแสดงฝีมือ ไปขยับแข้งขยับขาหน่อย”

 

 

เพิ่งสิ้นเสียง ทุกคนก็เห็นอีกาไฟถูกขว้างไปที่นกยูงขนน้ำเงินหางแดงเป็นเส้นโค้ง

 

 

อีกาไฟออกแรงกระพือปีกหยุดอยู่กลางอากาศ ตาขาวที่เมากริ่มคู่หนึ่งมองนกยูงขนน้ำเงินหางแดงแล้วกะพริบตา

 

 

นกยูงขนน้ำเงินหางแดงมองดูอีกาไฟดำปี๊ดปี๋ที่อยู่กลางอากาศ สะบัดแผงหางทีหนึ่ง แล้วเบือนหน้าไปอย่างไม่แยแส

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวหัวเราะจนตัวสั่นไปหมด “ฮ่าๆๆๆ สหายเต๋ามั่ว คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอสูรวิญญาณของเจ้าคืออีกาตัวหนึ่ง นี่ นี่ยังช่าง…”

 

 

“ส่งเสริมกันและกัน!” จู่ๆ อีกาไฟก็บิดหน้ามารับคำ

 

 

ทุกคนชะงักงัน จากนั้นระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นพร้อมกัน โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวหัวเราะจนโงตัวไม่ขึ้น ปิ่นนกยูงที่เสียบอยู่บนผมสั่นระริก สั่นจนผู้บำเพ็ญเพียรชายที่มุงดูไม่น้อยใจเต้นตึกตัก

 

 

มั่วชิงเฉินกัดฟันส่งเสียงทางจิตว่า “อู๋เย่ว์ ใครสอนศัพท์คำนี้ให้เจ้า?”

 

 

อีกาไฟตอบอย่างได้ใจว่า “ก็ครั้งนั้นไง หัวหน้าตระกูลหวังบอกว่าเจ้าและนักพรตเหอกวงอาจารย์เลื่องชื่อศิษย์เก่งกล้า ส่งเสริมกันและกันพอดี แหะๆ ข้ารู้สึกว่าคำคำนี้ใช้กับเราสองคนก็ได้นี่นา”

 

 

มั่วชิงเฉิน…

 

 

อีกาไฟเพิกเฉยต่อความบึ้งตึงของมั่วชิงเฉิน หันหน้าจ้องนกยูงขนน้ำเงินหางแดง สายตาหยุดอยู่ที่แผงหางห้าสีของมันโดยเฉพาะ และเหล่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวที่หัวเราะไม่หยุดว่า “แว้ดๆ เจ้าอย่าหัวเราะได้หรือไม่ เสียงฟังไม่ได้เลย เจ้าและอสูรวิญญาณของเจ้าก็ส่งเสริมกันและกันนะ คนขี้เหร่คู่กับนกโง่!”

 

 

“ซี้ด!” คนไม่น้อยสูดลมเข้าอย่างแรง จากนั้นหัวเราะร่วนขึ้นมา

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวโกรธจนหน้าแดง มองอีกาไฟด้วยความโกรธว่า “เจ้าเดรัจฉานขนแบน เจ้าพูดเหลวไหลอะไร!”

 

 

อีกาไฟค่อยๆ สางขนของมัน ใช้ปีกข้างหนึ่งชี้นกยูงขนน้ำเงินหางแดงว่า “มันอสูรวิญญาณชั้นสี่ตัวหนึ่ง ยังพูดไม่ได้อีก สู้ไม่ได้แม้อสูรวิญญาณชั้นสองเช่นข้า ไม่ใช่นกโง่คืออะไร? ส่วนเจ้า แว้ดๆ สู้ไม่ได้แม้เส้นผมสักเส้นของเจ้านายข้า!” พูดพลาง ยังใช้ปีกดึงขนเส้นเล็กมาเส้นหนึ่งออกมาส่ายไปมา

 

 

ผู้คนที่มองดูยิ่งหัวเราะจนโงตัวไม่ขึ้น พวกเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าระหว่างสองสำนักปะทะกันจะน่าสนุกสนานถึงเพียงนี้

 

 

“ศิษย์น้องเหอกวง ไยเจ้าไม่เคยพูดมาก่อน ว่าศิษย์หลานชิงเฉินยังมีอสูรวิญญาณสุดที่รักเช่นนี้ตัวหนึ่ง?” นักพรตจื่อซีที่ดูสภาพการณ์ที่เชิงเขาผ่านกระจกทองแดงอมยิ้มถามขึ้น

 

 

กู้หลีดื่มชาทิพย์อึกหนึ่ง กระแอมว่า “ทุกครั้งที่ศิษย์พี่ใหญ่มา อู๋เย่ว์ก็พอดีดื่มจนเมาทุกครั้งไป”

 

 

“อู๋เย่ว์?” นักพรตจื่อซีเกือบพ่นชาออกมา

 

 

ศิษย์น้องเหอกวงเอ๋ย ในเวลาเช่นนี้เจ้าอย่าใช้น้ำเสียงอ่อนโยนถึงเพียงนี้เรียกอีกาตัวหนึ่งจะได้หรือไม่?

 

 

มีเสียงดังมาจากในกระจกทองแดงอีก

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวโมโหว่า “เดรัจฉานขนแบน เจ้าหุบปาก คนที่มีตาต่างดูออกว่าเจ้ากำลังพูดเหลวไหลอยู่!”

 

 

บอกว่าอสูรวิญญาณของนางพูดไม่ได้ก็ช่างเถอะ ทว่าไม่คิดเลยว่าจะบอกว่านางสู้ไม่ได้แม้เส้นผมสักเส้นของมั่วชิงเฉิน สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่มั่นใจในความงามของตนเองมาตลอดแล้วละก็ เป็นสิ่งที่รับไม่ได้

 

 

อีกาไฟยื่นปีกออก น้ำลายกระเซ็นไปทั่วว่า “ถุย ใครพูดเหลวไหลกัน เจ้าโง่ที่ตาขึ้นอยู่ที่ก้น บลาๆๆ…” ไม่นึกเลยว่าจะด่าไม่หยุดและไม่ซ้ำแบบกันเป็นเวลามากกว่าหนึ่งเค่อ

 

 

ต่อให้มั่วชิงเฉินฉวยโอกาสเวลาช่วงนี้ฟื้นฟูพลังวิญญาณได้เล็กน้อย กลับอยากหาซอกที่พื้นมุดเข้าไปแทบทนไม่ไหว

 

 

สัมผัสได้ถึงสายตาที่อยากฆ่าคนของมั่วชิงเฉิน อีกาไฟหุบปากอย่างยังไม่สาแก่ใจ เหลือบมองผู้คนที่มุงดูปราดหนึ่งว่า “พวกเจ้าว่ามาสิ เจ้านายข้าและเจ้าโง่นี่ใครสวยกว่า?”

 

 

ทุกคนรู้สึกเพียงว่ามีสายลมเย็นพัดผ่านวูบหนึ่ง ต่างมองฟ้าพร้อมกันอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่าพูดขัดกับจิตใต้สำนึก จะถูกฟ้าผ่าหรือไม่?

 

 

“รีบพูดมาสิ เรื่องที่เห็นชัดๆ เช่นนี้จะพูดเหลวไหลขัดต่อจิตใต้สำนึกไม่ได้นะ!” อีกาไฟเร่งรัดอย่างหมดความอดทน จากนั้นบ่นพึมพำเบาๆ ว่า มนุษย์นี่ช่างซับซ้อนจริงๆ

 

 

“อาจารย์อามั่ว…” ศิษย์ที่มุงดูแข็งใจ กัดฟันพูดขึ้น

 

 

ศิษย์เหยากวงหน้าตาซื่อๆ คนหนึ่งแอบกระตุกเสื้อคนข้างๆ ว่า “ศิษย์พี่ เช่นนี้ไม่ดีกระมัง…”

 

 

ศิษย์ข้างๆ ค้อนเขาควักหนึ่งว่า “โง่ พวกเราพูดแค่ว่าอาจารย์อามั่ว ไม่ได้พูดว่าอาจารย์อามั่วสวยเสียหน่อย!”

 

 

ศิษย์เหยากวงที่หน้าตาซื่อๆ ตาเป็นประกายทันที จากนั้นตะแบงเสียงดังว่า “อาจารย์อามั่ว…”

 

 

เดิมทุกคนก่อนหน้าก็พูดอย่างไม่มั่นใจอยู่แล้ว คนคนนี้เพิ่งมาพูดตามทีหลังอีก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วคนทั่วทั้งเชิงเขาล้วนได้ยินเสียงตะโกนใสแจ๋วนี้ สายตามองสวบๆ มาพร้อมกัน

 

 

มีศิษย์พึมพำเสียงเบาว่า “นี่เป็นศิษย์เขาลูกไหนน่ะ ไม่คิดว่าจะสามารถพูดได้อย่างเต็มภาคภูมิถึงเพียงนี้ ช่างน่านับถือจริงๆ…”

 

 

คนรอบๆ ศิษย์หน้าซื่อๆ ต่างถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างใจสื่อถึงกันได้ สีหน้าบอกว่าไม่รู้จักคนผู้นี้

 

 

“ศิษย์น้องหม่า ยังไม่รีบลงมืออีก อย่าถูกแผนถ่วงเวลาของอีกฝ่ายเข้าล่ะ” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งส่งเสียงทางจิตว่า ในใจแอบคิดว่า มั่วชิงเฉินคนนั้นฟูมฟักอสูรวิญญาณสุดยอดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกันนะ หรือว่าคือคนใกล้หมึกติดสีดำ?

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวถึงใจเย็นลง มองมั่วชิงเฉินแล้วยิ้มนิ่งเรียบว่า “สหายเต๋ามั่ว พวกเราอย่าตีฝีปากกันเลย ลงมือให้เห็นฝีมือที่แท้จริงเถอะ” พูดจบยื่นมือเปล่าออกดึงปิ่นนกยูงที่ผมลง แล้วขีดใส่อากาศ

 

 

ก็เห็นแสงวิญญาณกระจายลอยขึ้น บินร่ายรำไปทางมั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินที่ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่สิ้นเปลืองพลังวิญญาณ ย่อมโยนมุกสีแดงออกมาเป็นกำๆ ผลิออกเป็นดอกไม้สีสดใสขึ้นกลางอากาศต้านการโจมตีของอีกฝ่ายไว้สิ้น

 

 

“เปลี่ยนรุกเป็นรับ ท่าทางพลังวิญญาณของนางเหลือไม่มากแล้วจริงๆ” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งบ่นพึมพำ สีหน้าดีใจ

 

 

“ชิงเกอ ท่าทางชิงเฉินพลังวิญญาณไม่พอแล้ว” มั่วหลีลั่วเอ่ยเสียงเบา สีหน้าปรากฏแววกังวล

 

 

ต้วนชิงเกอพยักหน้า สายตาไม่ออกห่างจากลานประลอง “บัดนี้ก็ดูอสูรวิญญาณของใครจะชนะก่อนแล้ว”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ที่อยู่อีกด้านหนึ่งถอนใจว่า “อสูรวิญญาณชั้นสองสู้กับอสูรวิญญาณชั้นสี่ ยกนี้เกรงว่าศิษย์น้องมั่วจะไม่สู้ดี”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังหน้าทารกฮึเสียงเย็นว่า “สมน้ำหน้า ใครให้นางอวดเก่งล่ะ!” จากนั้นเสียงต่ำลงว่า “นั่นก็ไม่แน่ นางหนูนั่นก่อเรื่องเก่งปานนี้ ใครจะไปรู้ล่ะว่าอสูรวิญญาณของนางจะเลียนแบบนางหรือไม่”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋หัวเราะเบาๆ ขึ้นมา

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังเบือนหน้าไปอย่างโมโห พึมพำว่า ศิษย์พี่อู๋นี่ชอบหัวเราะอย่างประหลาดเช่นนี้เรื่อยเลย

 

 

นกยูงขนน้ำเงินหางแดงแม้ยังพูดภาษาคนไม่ได้ อย่างไรเสียก็เป็นอสูรวิญญาณชั้นสี่ที่เทียบเท่ากับระดับสร้างรากฐานระยะปลายในมนุษย์ คำพูดที่อีกาไฟพูดมาแม้ไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด ความหมายโดยประมาณกลับฟังเข้าใจ

 

 

มันที่ภูมิใจในความสวยงามฉลาดของตนเองเสมอมาอั้นไฟโกรธไว้เต็มท้องตั้งนานแล้ว เมื่อเปิดออก ย่อมไม่เกรงใจแน่นอน

 

 

ก็เห็นเพียงนกยูงขนน้ำเงินหางแดงสะบัดแผงหาง ตาสีเขียวด้านบนเปล่งแสงวิญญาณออกมาเป็นลำแสงทันที

 

 

เดิมทีตาที่แผงหางก็มากมายนับไม่ถ้วนอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีลำแสงเล็กและยาวนับไม่ถ้วนตัดกันกวาดมาทางอีกาไฟ

 

 

อีกาไฟร้อง ‘แว้ดๆ’ สองที รีบบินขึ้นฟ้าไป

 

 

นกยูงขนน้ำเงินหางแดงไม่ถนัดบิน ลำแสงวิญญาณมีการจำกัดด้านระยะห่างเช่นกัน เมื่ออีกาไฟบินสู่ฟ้าสูงเช่นนี้ นอกจากถูกแสงวิญญาณเมื่อแรกเริ่มกวาดโดนเล็กน้อย ขนร่วงลงมาเส้นหนึ่ง ลำแสงวิญญาณของนกยูงขนน้ำเงินหางแดงตอนหลังก็ทำอะไรมันไม่ได้แล้ว

 

 

อีกาไฟหยุดอยู่บนฟ้าสูงตะโกนอย่างได้ใจว่า “มาสิ เจ้านกขี้เหร่ อย่านึกว่าเจ้าชั้นสี่ข้าก็จะกลัวเจ้านะ”

 

 

นกยูงขนน้ำเงินหางแดงร้องคำรามออกมาเสียงหนึ่ง จากนั้นสะบัดแผงหาง ก็เห็นขนหางสีแดงที่ขอบรอบหนึ่งเป็นเหมือนลูกธนู ลากแสงวิญญาณสีแดงยิงไปยังอีกาไฟอย่างเร็ว

 

 

อีกาไฟตกใจจนร้องแว้ดเสียงหนึ่ง อ้าปากพ่นลูกไฟออกมาลูกหนึ่งขวางธนูลูกหนึ่งที่เข้าใกล้มันที่สุดไว้ จากนั้นกอดหัวหนีหัวซุกหัวซุน

 

 

แล้วก็เห็นนกยูงขนน้ำเงินหางแดงที่สง่างามบนพื้นยิงขนหางสีแดงออกอย่างใจเย็น อีกาดำปี๊ดปี๋กลางอากาศหนีหัวซุกหัวซุนอย่างทุลักทุเล และพ่นลูกไฟออกมาเป็นระยะเป็นการกู้หน้า

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนในที่สุดก็กระปรี้กระเปร่าขึ้น มีคนโห่ร้องเสียงดังขึ้นมา

 

 

ศิษย์พรรคเหยากวงทั้งหมดเงยหน้าขึ้น มองตาไม่กะพริบ

 

 

มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรหน้าตาซื่อๆ คนหนึ่งข้างเชิงเขา สองมือประกบกันหลับตาแล้วบ่นพึมพำว่า “ท่านเซียนมั่วต้องชนะให้ได้นะ ต้องชนะให้ได้นะ…”

 

 

ในยามนี้เองจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องอนาถขึ้นเสียงหนึ่ง ขนดำกระจุกหนึ่งปลิวร่วงล่องลอยลงมาจากบนฟ้า

 

 

อีกาไฟชะงักงัน จากนั้นร้องไห้ฟูมฟายตะโกนว่า “ฮือๆ ขนที่สวยงามของข้า!”

 

 

เสียงเศร้าและแหลมจนทุกคนตกใจสะดุ้งโหยง

 

 

นกยูงขนน้ำเงินหางแดงชะงักทีหนึ่งเช่นกัน แล้วเปล่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้น จากนั้นสะบัดแผงหางยิงขนหางสีแดงออกไปอีกหลายอัน

 

 

อีกาไฟกลับไม่ขยับเขยื้อนแล้ว จ้องขนหางสีแดงที่ยิงมาอย่างดุดัน ปากพึมพำว่า “เจ้านกขี้เหร่นี่ ในเมื่อชอบยิงขนถึงเพียงนี้ ไยขนที่น่าเกลียดทั้งตัวนี่ยังร่วงไม่หมดเสียที?”

 

 

หากมีคนอยู่ตรงหน้าก็จะพบว่า เดิมในตาของอีกาไฟที่มีตาขาวมากกว่าตาดำ จู่ๆ ก็มีแสงสีม่วงแวบผ่าน

 

 

หลังจากแสงสีม่วงแวบหายไป จู่ๆ นกยูงขนน้ำเงินหางแดงที่อยู่บนพื้นก็ขนร่วงจนหมดท่ามกลางสายตาของทุกคน จากท่าทางที่สง่างามกลายเป็นไก่เนื้อตัวขาวโพลนทันที

 

 

นกยูงขนน้ำเงินหางแดงก้มหน้าลง จากนั้นชะงักงัน ต่อจากนั้นเปล่งเสียงเศร้าและแหลมยิ่งกว่าอีกาไฟร้อยเท่าเสียงหนึ่ง ใช้ปีกสั้นๆ ปิดหน้าแล้วพุ่งไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาว

 

 

ทางด้านนั้นมั่วชิงเฉินกำลังสู้กับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวอย่างสุดกำลังยังไม่พบความผิดปกติทางด้านนี้ เมื่อนกยูงขนน้ำเงินหางแดงพุ่งเข้ามาก็เหยียบกระโปรงยาวระพื้นของนางเข้าพอดี

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวเมื่อขยับตัวจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงการหกล้มด้วยท่าหน้าทิ่มลงถลาออกไปอย่างสวยงาม เหลือเพียงกระโปรงยาวครึ่งตัวที่สวยงามยิ่งกว่าไว้ที่เดิม

 

 

นกยูงขนน้ำเงินหางแดงคับแค้นใจจนไม่ทันได้สนใจเจ้านายว่าเป็นเช่นไรแล้ว มองดูกระโปรงยาวที่เหยียบอยู่ ล้มตัวลงกลิ้งรอบหนึ่ง ใช้กระโปรงยาวห่อตัวที่ไม่มีขนสักเส้นไว้

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวล้มจนมึน ลุกขึ้นนั่งมองนกยูงขนน้ำเงินหางแดงที่ใช้กระโปรงยาวห่อตัวไว้แล้วกะพริบตาอย่างสงสัย นี่มันเรื่องอะไรกัน เอ๊ะ กระโปรงนั่นไยคุ้นตาเช่นนี้นะ?

 

 

รู้สึกว่าลมพัดมาเย็นวาบ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวก้มหน้าดู แล้วส่งเสียงร้องเศร้าและแหลมกว่าอสูรวิญญาณของตนเสียอีก จากนั้นเลือดลมพุ่งขึ้นข้างบนด้านหน้ามืดลง หมดสติไปเพราะอับอายและโกรธแค้นเกินจะทน