ตอนที่ 210 เสื้อย้อมสีเลือดแสบสัน

พันธกานต์ปราณอัคคี

“ข้า ข้ารู้สึกว่าข้าหลงรักอาจารย์อามั่วเข้าแล้ว…” ศิษย์ชายพรรคเหยากวงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเคลิบเคลิ้ม

 

 

ศิษย์ชายอีกคนหนึ่งพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “ข้าก็เช่นกัน!”

 

 

ศิษย์ชายด้านหน้าหันหน้ามา พูดด้วยกลิ่นอายเข่นฆ่าคละคลุ้งว่า “กล้าคิดมิดีมิร้ายกับอาจารย์อามั่ว ข้าต้องฆ่าพวกเจ้าแน่ๆ!”

 

 

ศิษย์หญิงที่อยู่ข้างๆ ในที่สุดก็อดพูดแทรกไม่ได้ว่า “พวกเจ้าคนโง่เพ้อเจ้อสินะ ว่ากันด้วยตบะเพียงอย่างเดียวชั่วชีวิตนี้พวกเจ้าก็ไล่อาจารย์อามั่วไม่ทันหรอกนะ”

 

 

ศิษย์ชายสามคนใบหน้าปรากฏสีหน้าเจ้าไม่เข้าใจขึ้นพร้อมกัน แล้วเอ่ยพร้อมกันว่า “อาจารย์อามั่วช่างเป็นเสียงสวรรค์ของศิษย์ชายเราจริงๆ เลยนะ!”

 

 

ศิษย์หญิง…

 

 

หนึ่งในยอดเขารองเขาชิงมู่ยอดเขาป่าไผ่

 

 

นักพรตฟางเหยาส่ายกระจกทองแดงในมือ ภาพในกระจกก็เกิดพร่ามัวขึ้นมา

 

 

“คำสาป?” นักพรตฟางเหยาบ่นพึมพำ จากนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “อสูรวิญญาณแปรผัน?”

 

 

นักพรตจื่อซีและนักพรตหมิงจ้าวมองไปที่กู้หลีพร้อมกัน

 

 

กู้หลีมองกลับมา แล้วส่ายศีรษะ

 

 

“ศิษย์น้องเหอกวง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าอสูรวิญญาณของศิษย์ตนเองเป็นอสูรวิญญาณแปรผัน?” นักพรตจื่อซีกัดฟันเอ่ยขึ้น

 

 

เป็นที่รู้กัน เผ่าพันธุ์ของอสูรวิญญาณได้กำหนดพลังความสามารถที่มีมาแต่กำเนิดและพลังแฝงในภายหลัง นั่นคือเครื่องพันธนาการพรสวรรค์ที่หลบซ่อนอยู่ในส่วนลึกของสายเลือดที่โอสถยาวิเศษไม่สามารถทะลวงได้ ทว่าสรรพสิ่งไม่แน่นอน ด้วยสาเหตุที่ยากจะคาดเดาบางอย่าง เมื่อยามที่อสูรวิญญาณเลื่อนขั้นจะมีโอกาสอันน้อยนิดที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง นี่จึงทำให้เกิดอสูรวิญญาณแปรผันที่มีพลังความสามารถพิเศษไม่เหมือนใครขึ้น

 

 

แม้จะบอกว่าอสูรวิญญาณแปรผันก็ใช่ว่าจะเก่งกาจกว่าอสูรวิญญาณเผ่าพันธุ์เดียวกันที่อยู่ระดับเดียวกัน กลับเพราะการแปรผัน ต่อให้เป็นเจ้าของของอสูรวิญญาณก็ไม่รู้ว่าอสูรวิญญาณที่เลื่อนขั้นแล้วจะมีความสามารถพิเศษอะไรเพิ่มขึ้นมาบ้าง นี่จึงหมายถึงอสูรวิญญาณมีพลังแฝงที่ยากจะคาดเดา ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่มีความสามารถสูงส่งก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าสุดท้ายอสูรวิญญาณแปรผันจะวิวัฒนาการเป็นอะไร

 

 

ดังนั้นในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร อย่าพูดถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเลย ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็เห็นความสำคัญของอสูรวิญญาณแปรผันเป็นอย่างมาก

 

 

“ศิษย์น้องเหอกวง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะไม่รู้กระทั่งว่าศิษย์เพียงคนเดียวของตนมีอสูรวิญญาณ นี่จะไม่ดูไร้เหตุผลเกินไปหน่อยหรือ?” นักพรตจื่อซีดูแคลนว่า

 

 

นักพรตฟางเหยาเอ่ยตามว่า “นั่นน่ะสิ ศิษย์น้องเหอกวง ต่อให้ศิษย์หลานชิงเฉินไม่ได้พูดกับเจ้ามาก่อน อสูรวิญญาณนั่นกลับใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับอสูรเสือพายุทะลุฟ้า และอินทรีวิญญาณหยกหิมะของเจ้า เจ้าก็ไม่พบพิรุธอะไรบ้างเช่นนั้นหรือ?”

 

 

ภายใต้สายตาจับจ้องของทั้งสามคน กู้หลีเอ่ยอย่างขวยเขินว่า “ทุกครั้งที่อู๋เย่ว์มาหาข้า ก็มาเพื่อขอสุราดื่มเท่านั้น…”

 

 

สามคนหน้าทิ่มพร้อมกัน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งหน้าเขียว สายตากวาดผ่านใบหน้าศิษย์น้องร่วมสำนักที่เหลืออยู่ทีละคนอย่างช้าๆ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนแต่ละคนที่ถูกกวาดผ่านล้วนสีหน้าซีดเซียว รีบก้มหน้าลงทันที

 

 

ในชั่วเวลาหนึ่ง บรรยากาศอึดอัดจนหาใดเปรียบมิได้

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ กดไฟโกรธเต็มทรวงไว้ สายตาดุจดาบเถือกระดูกกวาดผ่านอีกรอบหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพวกนั้นก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าขยับเขยื้อน

 

 

ในที่สุด สายตาของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งก็หยุดอยู่บนตัวศิษย์ร่วมสำนักที่อยู่ที่มุมอับคนหนึ่ง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนั้นใส่ชุดทะมัดทะแมงสีดำทั้งชุด ใบหน้าสวยรูปไข่ดันมีคิ้วตรงคู่หนึ่ง ทำให้ดูสง่าผ่าเผย ริมฝีปากเม้มแน่นโค้งขึ้นเล็กน้อย ดูแล้วยิ่งดื้อรั้นขึ้นหลายส่วน

 

 

นางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ก้มหน้า ยืนอยู่อย่างสงบที่มุมอับด้วยสีหน้าสงบเหมือนยามที่เพิ่งมาถึง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งเกิดคิดอะไรขึ้นมาได้ ยามนั้นตนนำศิษย์หัวกะทิสิบกว่าคนมาท้าประลอง อาจารย์กลับบอกใบ้ให้ตนพาศิษย์น้องร่วมสำนักคนนี้มาด้วย

 

 

พูดไปแล้วในสำนักศิษย์น้องติงคนนี้ก็เป็นตัวประหลาด ปกติก็ถูกศิษย์ร่วมสำนักถากถางเยาะเย้ยไม่ใช่น้อย ตั้งแต่นางสร้างรากฐานแล้ว ไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงถูกอาจารย์รับไว้เป็นศิษย์จดชื่อ ถึงมีชีวิตดีขึ้นหน่อย ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ไม่เห็นอาจารย์จะเอ็นดูนางสักเท่าไร ฐานะยิ่งเทียบไม่ได้กับศิษย์ก้นกุฏิเช่นตนเอง

 

 

ศิษย์พี่น้องที่อยู่ในแวดวงเดียวกันแม้ต่อหน้าไม่ค่อยทำให้นางลำบากใจ กลับยังคงแอบกีดกันนางออกจากกลุ่ม

 

 

ดังนั้นก่อนเดินทางอาจารย์บอกใบ้ให้ตนชวนนางมาด้วย ตนจึงรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ เพียงแต่ติดที่เป็นการบอกใบ้ของอาจารย์ไม่อาจขัดขืนได้ บัดนี้ดูแล้ว หรือว่าเมื่อถึงช่วงเวลาคับขันคนที่กู้สถานการณ์คืนจะกลายเป็นศิษย์น้องติง?

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งแม้ในใจไม่อยากเชื่อ แต่เมื่อถึงยามนี้กลับได้แต่รักษาม้าตายดุจม้าเป็น[1] จึงเอ่ยกับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำว่า “ศิษย์น้องติง เจ้าเต็มใจมาประลองยกสุดท้ายนี้หรือไม่?”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำยกตาขึ้น แล้วพยักหน้าเบาๆ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งซาบซึ้งเล็กน้อยว่า “ศิษย์น้องติง เกียรติของนิกายเหอฮวนเรา ก็มอบหมายให้เจ้าแล้ว”

 

 

ในที่สุดผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำก็เปิดปากว่า “น้องจะสู้สุดความสามารถ” เสียงสงบจนใกล้เคียงกับเย็นชา ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งโล่งอกขึ้น

 

 

มองดูผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำเดินขึ้นมาอย่างสุขุมใจเย็น มั่วชิงเฉินสีหน้าจริงจังขึ้น ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนี้ดูแล้วแม้ธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับทำให้นางสัมผัสได้ถึงอันตราย ก็ราวกับสิงโตหลับที่เก็บเขี้ยวเล็บขึ้น ดูไร้พิษสงความจริงกลับมีพลังการทำลายล้างที่น่ากลัว และความรู้สึกเช่นนี้กลับไม่มีในผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหกคนก่อนหน้าที่พลังความสามารถแตกต่างกันไปของนิกายเหอฮวน

 

 

เยี่ยเทียนหยวนที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนเดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้เพราะเหตุใด ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำของนิกายเหอฮวนที่ปรากฏตัวเป็นอันดับสุดท้ายคนนี้ ทำให้เขาเกิดกังวลขึ้นมา

 

 

มั่วหลีลั่วเก็บรอยยิ้มที่มุมปากขึ้น ขมวดคิ้วว่า “ชิงเกอ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำคนนี้ไม่ธรรมดา”

 

 

ต้วนชิงเกอใบหน้าฉายแววกังวลขึ้นแวบหนึ่ง พยักหน้าว่า “ข้าก็รู้สึกเช่นนั้น บัดนี้พลังวิญญาณของชิงเฉินคงเหลือไม่เท่าไรแล้วแน่ๆ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนี้เกรงว่าจะสร้างปัญหาให้นาง”

 

 

“เฮ่อ เจ้าว่าชิงเฉินนางไยต้องอวดเก่ง สู้เจ็ดคนตามลำพังด้วยนะ อย่าว่าแต่นางเลย ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายคิดจะชนะผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลางเจ็ดคนรวดเดียวก็ลำบากแสนสาหัส” มั่วหลีลั่วถอนใจด้วยความเคือง

 

 

ต้วนชิงเกอปากขมุบขมิบ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร ในใจกลับเดาบางอย่างได้รางๆ แล้วรีบกดลงไปอีก

 

 

“ขอสหายเต๋ามั่วโปรดชี้แนะ” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำคำนับอย่างเป็นทางการหนึ่งที

 

 

มั่วชิงเฉินคำนับกลับอย่างเคร่งครัด “สหายเต๋าเกรงใจเกินไปแล้ว โปรดชี้แน่ะ”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำเม้มปากที่บางมากว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็เก็บของไม่เป็นเรื่องพวกนั้นขึ้น แล้วสู้กันดีๆ สักตั้งเถอะ” พูดจบสองมือแวบแสงวิญญาณ พุ่งตัวบุกมาที่มั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มเยาะทีหนึ่ง การบำเพ็ญวิชายุทธ์ยกระดับจิตใจคือรากฐานของผู้บำเพ็ญเพียร ส่วนคาถา อาวุธเวท ยันต์ อสูรวิญญาณ ค่ายกลต่างๆ เป็นเพียงแค่วิธีการสู้กันของผู้บำเพ็ญเพียรเท่านั้น ในเมื่อเป็นวิธีการสู้กัน จะมีอะไรดั้งเดิมที่ไหนกัน จะมีนอกลู่นอกทางอะไรมาจากไหนอีก ทุกสิ่งเพียงแต่ทำเพื่อเอาชนะก็เท่านั้น            

 

 

แน่นอนนางไม่มีกะจิตกะใจจะเถียงกับคู่ต่อสู้หรอก คู่ต่อสู้ก็ไม่ให้เวลานางเช่นกัน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำรูปร่างปราดเปรียว พริบตาเดียวก็มาถึงหน้ามั่วชิงเฉิน นางกางมือออก เล็บทั้งสิบนิ้วทันใดนั้นก็ยาวออกมาสิบนิ้ว เป็นประกายวาววับคมกริบ ดั่งใบมีดคมกริบสิบใบ

 

 

มั่วชิงเฉินร่ายเคลื่อนเงาเลือนราง ถอยออกไปหลายจั้ง ขนบนแขนลุกขึ้นมาทันที

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำไม่หยุดไม่แต่น้อย พุ่งเข้ามาอีกทันที

 

 

มั่วชิงเฉินปล่อยเถาวัลย์สีเขียวเข้มออกจากมือทั้งสองเฆี่ยนไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำฝีมือคล่องแคล่วเหมือนแมวดำตัวหนึ่ง ลอดไปมาระหว่างช่องว่างของเถาวัลย์สองเส้นอย่างประเปรียวสง่างาม พริบตาเดียวก็มาถึงหน้ามั่วชิงเฉินโดยไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย

 

 

ดอกไม้สีแดงสดดั่งไฟบานออกหน้าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำยื่นสิบนิ้วออกขยับกรีดติดๆ กัน ดอกไม้ก็ถูกมีดนิ้วกรีดเป็นเศษกลีบดอกนับไม่ถ้วน ร่วงหล่นจากฟ้าเหมือนสายฝนปรอยๆ ยังไม่ถึงพื้นก็กลายเป็นแสงวิญญาณกระจายไป

 

 

มั่วชิงเฉินถอยอีก ร่ายรำเถาวัลย์พัวพันกับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำ ดอกไม้สีแดงโปรยปรายลงมามากมาย

 

 

เขียว มรกต แดง ดำสีสี่ตัดกัน อยู่ในสายตาคนอื่นกลับรู้สึกว่าการสู้กันของทั้งสองคนช่างงดงามเกินคำบรรยาย

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำในการประลองสองตาลุกวาว ท่าทางกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาแสดงให้เห็นถึงพลังกายพลังใจที่เต็มเปี่ยม แสงวิญญาณสีทองบนมีดนิ้วยิ่งเป็นประกายเจิดจรัส ส่องจนแสบตาผู้คน

 

 

กลับมาดูมั่วชิงเฉินสีหน้ากลับยิ่งดูซีดเซียว หลบหลีกอย่างเชื่องช้า

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำหลบเถาวัลย์ที่ใกล้เข้ามาอีกครั้ง นางฝีมือคล่องแคล่วจนไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาจริงๆ กลับเหมือนผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์ที่เคยฝึกวิชาเข้าทางเต๋าด้วยวรยุทธ์มากกว่า

 

 

มั่วชิงเฉินปักเถาวัลย์ลงดิน แล้วยืมแรงกระโดดขึ้นกลางอากาศ หลบมีดนิ้วของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำออก

 

 

ทว่าเมื่อกระโดดถึงกลางอากาศกลับตกลงมาอย่างกะทันหัน ร่างกายส่ายไปมา จากนั้นก็ได้ยินเสียงสวบเสียงหนึ่ง ความรู้สึกเจ็บแปลบส่งผ่านมา

 

 

“อ๊าก!” ศิษย์ที่มุงดูตกใจร้องออกมา

 

 

มั่วชิงเฉินไม่มีเวลาตรวจดูอาการบาดเจ็บ รีบร่ายเคลื่อนเงาเลือนราง แต่แล้วสีหน้ากลับต้องเปลี่ยน

 

 

พลังวิญญาณในกายตนแม้แต่คาถาเช่นเคลื่อนเงาเลือนรางก็เสกไม่ได้แล้ว!

 

 

ในชั่วเวลาที่นางชะงักนี่เอง ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำก็มาถึงตรงหน้า แล้วร่ายรำมีดนิ้วสิบนิ้วโดยไม่ลังเล บนตัวมั่วชิงเฉินปรากฏรอยแผลขึ้นสิบแผลทันที แต่ละแผลลึกเข้ากระดูก เลือดสดๆ ทะลักออกมา ทำเสื้อเขียวเปียกชุ่มในชั่วพริบตา

 

 

หมัดเยี่ยเทียนหยวนกำแล้วคลาย คลายแล้วก็กำอีก เล็บจิกลึกเข้าไปในเนื้อกลับไม่รู้ตัวโดยสิ้นเชิง

 

 

ทางด้านนั้นของกระจกทองแดง นักพรตจื่อซีส่ายศีรษะว่า “ศิษย์หลานชิงเฉินไม่มีพลังวิญญาณแล้ว ผลการประลองรู้ผลแล้ว การลำบากฝืนเช่นนี้ได้แต่ถูกทรมานเปล่าๆ ไม่ฉลาดเลย” สีหน้าแม้เสียดายอยู่บ้าง กลับไม่มีความรู้สึกสงสาร

 

 

คนที่บำเพ็ญเพียรมาหลายร้อยปีคนหนึ่ง จะเกิดความเห็นอกเห็นใจต่อคนที่คบหากันไม่ลึกซึ้งอย่างง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร ก็เพียงแค่ดูเพื่อความครึกครื้นเท่านั้นเอง

 

 

กู้หลีเม้มปากแน่น สายตาจับจ้องกระจกทองแดงไม่ขยับเขยื้อน

 

 

ชั่วพริบตา บนตัวมั่วชิงเฉินก็ถูกกรีดจนมีบาดแผลนับไม่ถ้วน บัดนี้พลังวิญญาณในกายนางทั้งไม่อาจใช้อาวุธเวทได้และก็ไม่อาจเสกคาถาเพียงอย่างเดียวด้วย ได้เพียงเคลื่อนพลังวิญญาณสายเล็กๆเร่งพฤกษาวิญญาณเพื่อหลบหลีกป้องกันเท่านั้น

 

 

เสียงฟู่ดังขึ้นเสียงหนึ่ง มีดนิ้วสิบนิ้วของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำจิกหน้าอกมั่วชิงเฉินได้ จากนั้นประกบสองมือเข้าหากันแล้วลากไปข้างหลัง เลือดก็สาดเต็มฟ้าทันที เสื้อสีเขียวของมั่วชิงเฉินกลายเป็นสีแดงเข้มแล้ว เลือดไหลลงตามขอบกระโปรงไม่หยุด ไหลคดเคี้ยวบนพื้นจนกลายเป็นลำธาร

 

 

“เจ้ายังไม่ยอมแพ้หรือ?” เสียงอันเย็นชาของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำลอยมา สู้กับคนที่พลังวิญญาณไม่พอช่างน่าเบื่อเหลือเกิน ชนะอย่างไม่น่าภูมิใจ

 

 

มั่วชิงเฉินยืดตัวตรง เม้มปากแน่น

 

 

“อาจารย์อามั่ว ยอมแพ้เถอะ” จู่ๆ ศิษย์เหยากวงที่ยืนชิดข้างหน้าคนหนึ่งตะโกนขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินมองไปตามเสียง แล้วยิ้มอย่างอ่อนจางมาก ลักยิ้มข้างปากกลับทำให้รอยยิ้มนั่นสดใสขึ้นมา เลือดที่ทะลักออกไม่หยุดทำให้เสื้อสีแดงเข้มเป็นประกายสุกไส ราวกับกลายเป็นเสื้อชาวสวรรค์ที่มีจิตวิญญาณ

 

 

ใต้เชิงเขาเงียบไปชั่วอึดใจหนึ่ง จากนั้นเสียงนับไม่ถ้วนก็ดังขึ้น “อาจารย์อามั่ว ยอมแพ้เถอะ”

 

 

มีศิษย์หญิงเริ่มสะอื้นเบาๆ ขึ้นมาแล้ว

 

 

“ศิษย์น้องมั่ว ศิษย์พรรคเหยากวงไม่ได้มีเพียงเจ้าคนเดียว ยกสุดท้ายนี่ก็ปล่อยเป็นหน้าที่ของพวกเราเถอะ” ศิษย์เหยากวงระดับสร้างรากฐานระยะกลางหลายคนลุกขึ้นยืน

 

 

มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงเบาว่า “ให้ข้าลองอีกที”

 

 

แพ้ให้คนสุดท้าย อย่างไรก็ทำใจไม่ได้

 

 

ในชั่วพริบตาที่มั่วชิงเฉินหันหน้า สายตาของเยี่ยเทียนหยวนมองมา สุดท้ายก็เก็บกลับไปอีก

 

 

ศิษย์น้องมั่ว สู้หรือไม่สู้เป็นการเลือกของเจ้า ข้าไม่มีสิทธิ์ห้าม ทว่าหากเจ้าเกิดเรื่อง ชีวิตนี้ข้าเยี่ยเทียนหยวนจะไม่ปล่อยนิกายเหอฮวนให้รอดแม้คนเดียว ไม่ตายไม่เลิกรา!     

 

 

 

 

——

 

 

[1] รักษาม้าตายดุจม้าเป็น หมายถึง ทำสิ่งที่รู้ว่าไม่มีทางสำเร็จแต่ก็ยังลองดู