ตอนที่ 211 ผกาหอมอบอวลเข้าจู่โจม

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินไม่รู้การตัดสินใจของเยี่ยเทียนหยวนแล้ว ยิ่งไม่รู้ถึงสีหน้าที่เงียบจนเกือบเก็บกดของกู้หลีทางด้านกระจกทองแดงโน่น การเสียเลือดปริมาณมากทำให้สติของนางเริ่มเลอะเลือน ทว่าในสมองมีเพียงความคิดหนึ่งยังคงชัดเจน นั่นก็คือจะแพ้ไม่ได้

 

 

นางมิใช่คนอวดเก่ง หากศิษย์ผู้ดูแลไม่ได้บอกสัญญาระหว่างเจ้าสำนักและอาจารย์แก่นาง นางก็จะถอยลงมาอย่างใจเย็นตั้งแต่ คนที่ห้าหรือคนที่หก ทว่าบัดนี้ นางกลับไม่สู้ไม่ได้

 

 

ตนไม่กลัวที่จะสร้างปัญหา ทว่าสร้างปัญหาแล้วกลับต้องทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน นางจะดูถูกตนเอง ยิ่งกว่านั้นคนที่ต้องเดือดร้อน ยังเป็นเขา…

 

 

มั่วชิงเฉินมองดูผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำตรงหน้า บนใบหน้าสงบถึงเย็นชาของอีกฝ่ายฉายแววเบื่อหน่าย ทำให้ในใจนางยิ่งเกิดความยโสขึ้นมา

 

 

หากตนพลังวิญญาณเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธเวท คาถาหรือว่าเคล็ดกระบี่ จะมีโอกาสให้นางมาโอหังที่ไหน

 

 

ว่าไปแล้วมั่วชิงเฉินในบัดนี้ยังคงมีวิธีเอาชนะ นั่นก็คือระเบิดสะท้านฟ้า

 

 

ระเบิดสะท้านฟ้าคือผลไม้ที่เกิดจากไม้หนามหมื่นปีในสวนสมุนไพรพกพาของนาง ดูจากอานุภาพยามที่ใช้ประลองกับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กแล้ว ขอเพียงระเบิดสะท้านฟ้าแค่สองลูก ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำนี้ต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน กระทั่งชีวิตจะรักษาไว้ได้หรือไม่ก็พูดยาก

 

 

ทว่า นางกลับไม่อยากใช้ระเบิดสะท้านฟ้าเผชิญหน้ากับศัตรู

 

 

ข้อหนึ่งระเบิดสะท้านฟ้าเป็นผลไม้ที่เกิดจากพฤกษาวิญญาณหมื่นปี หายากยิ่งนัก ไม่ใช้ในการสู้เป็นสู้ตายมาใช้ที่นี่จะสิ้นเปลืองเกินไป ข้อสองผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำคนนั้นประกาศกร้าวแต่แรกว่าให้เก็บของสะเปะสะปะพวกนั้นขึ้นแล้วสู้กันสักตั้ง

 

 

ในสายตามั่วชิงเฉินถึงเวลาประลองเป็นตายมีเพียงการเอาชนะถึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อย่างอื่นเป็นเพียงวิธีการเอาชนะเท่านั้น ทว่าเมื่อถึงเวลา ‘เยือนสำนัก’ กลับมีข้อยกเว้นบ้าง

 

 

ตนจะโยนระเบิดสะท้านฟ้าออกไปสองสามลูกระเบิดอีกฝ่ายให้หน้าเทาทะมึนก็ย่อมได้ ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อีกฝ่ายย่อมไม่ยอมแพ้จากใจ ส่วนที่นางต้องการกลับคือการให้คนพวกนี้ยอมอย่างหมดจิตหมดใจแล้วไสหัวกลับนิกายเหอฮวนไป!

 

 

เรื่องถึงบัดนี้ ก็มีเพียงวิธีเดียวแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินยกแขนขึ้นใช้แขนเสื้อเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก และฉวยโอกาสส่งโอสถเข้าไปเม็ดหนึ่ง

 

 

เมื่อโอสถเข้าปากไหลลงท้องผสมกับกลิ่นคาวเลือด ฤทธิ์ยากระจายออกภายในร่างกายเกิดพลังวิญญาณมากมายขึ้นทันที

 

 

พลังวิญญาณสายนั้นยิ่งใหญ่เกินไป จึงเป็นเหตุให้เหนือตันเถียนของมั่วชิงเฉินเกิดหลุมวนพลังวิญญาณขึ้น พลังวิญญาณไม่ขาดสายหมุนเวียนพุ่งไปสู่เส้นลมปราณพิเศษทั้งแปด

 

 

พลังวิญญาณที่เดิมทีใกล้จะเหือดแห้งของมั่วชิงเฉินฟื้นฟูขึ้นในพริบตา สีหน้าส่องประกายดั่งหยก ขับกับเสื้อโลหิตสีแดงเข้ม ทำให้รู้สึกสวยแบบเศร้าๆ มีชีวิตชีวาอย่างบอกไม่ถูก

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหรี่ตา คู่ต่อสู้ดูเหมือนมีบางสิ่งเปลี่ยนไปแล้ว

 

 

“มาเถอะ” มั่วชิงเฉินยกคางขึ้น เสียงสงบไร้เกลียวคลื่น

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเม้มปาก “สหายเต๋ามั่วช่างลึกล้ำยากจะคาดเดา” พูดจบแสงเย็นเยียบของมีดนิ้วแวบขึ้น พุ่งไปที่มั่วชิงเฉินด้วยความเร็วอย่างยิ่งยวด

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำไม่เดินเป็นเส้นตรง หากแต่วิ่งด้วยความเร็วประเดี๋ยวซ้ายประเดี๋ยวขวาอย่างคาดเดาทิศทางไม่ได้ ท่วงท่าและฝีเท้าประสานกันได้เกือบจะสมบูรณ์แบบ รู้สึกเป็นจังหวะอย่างบอกไม่ถูก

 

 

ส่วนยามที่มั่วชิงเฉินใช้เถาวัลย์รับมือหญิงคนนี้ก่อนหน้านี้ ก็คือท่วงท่าที่ล่องลอยไม่อยู่กับที่เช่นนี้ที่ทำให้การโจมตีของนางเสียเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่า และยิ่งนำการคุกคามที่ไม่เคยมีมาก่อนมาให้

 

 

ยังเป็นครั้งแรกที่นางประมือกับผู้บำเพ็ญเพียรเช่นนี้ สู้กันสุดกำลังสักตั้งก็ถือว่าคุ้มค่า!

 

 

มั่วชิงเฉินยกมือกระบี่ชิงมู่ก็ปรากฏขึ้น จากนั้นควงกระบี่ เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ก็สำแดงออกมา

 

 

กระบี่ยาวสีเขียวเรียบง่ายไม่โอ้อวด ตามการร่ายรำกลางอากาศแสงวิญญาณกระจายเกลื่อนออก แสงวิญญาณเหล่านั้นกลับกลายเป็นดอกไม้สดดอกใหญ่ทันที จากนั้นรวมตัวกันเป็นผ้าต่วนที่ทอขึ้นจากดอกไม้สดนับไม่ถ้วนสะบัดไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำกระโดดขึ้นฟ้าด้วยท่วงท่าเบาหวิว สองมือกอดเข่าม้วนตัว มุดผ่านช่องว่างของโซ่ดอกไม้ไปอย่างพอดิบพอดี แล้วพุ่งตัวมาถึงหน้ามั่วชิงเฉิน สิบนิ้วกางออกกว้าง ข่วนอย่างไม่ยั้งมือ

 

 

โล่วิญญาณสีเขียวแวบปรากฏขึ้น มีดนิ้วของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำเหมือนสัมผัสถูกกำแพงอ่อนและยืดหยุ่นเหลือคณาที่มองไม่เห็น ถอยกลับอย่างทำอะไรไม่ได้

 

 

ผู้คนที่มุงดูไม่มีสักคนที่ไม่กลั้นใจเพ่งสมาธิดูสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงขึ้นกะทันหัน

 

 

“ศิษย์น้องเหอกวง ศิษย์หลานชิงเฉินใช้วิธีอะไรอีก ครู่เดียวก็พลังวิญญาณเต็มเปี่ยมแล้ว?” นักพรตจื่อซีเอียงศีรษะ เกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาอีกแล้ว

 

 

สีหน้าของกู้หลีในความสงบกลับแฝงด้วยความโกรธสายหนึ่ง คำถามของนักพรตจื่อซีเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา สายตาไม่ออกห่างจากเงาร่างสีเลือดในกระจกทองแดงสักนาทีเดียว

 

 

“ศิษย์น้องเหอกวง?” นักพรตจื่อซีขมวดคิ้ว

 

 

นักพรตหมิงจ้าวส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ยามนี้ท่านอย่ารบกวนศิษย์น้องเล็กจะดีกว่า ท่านไม่เห็นสีหน้าศิษย์น้องเล็กเปลี่ยนแล้วหรือ?”

 

 

นักพรตจื่อซีถึงจ้องกู้หลีเขม็งปราดหนึ่ง ส่งเสียงทางจิตเช่นกันว่า “เอ๊ะ ดูเหมือนศิษย์น้องเล็กโกรธอยู่ นี่เพราะอะไร ต่อให้เมื่อครู่ยามที่ศิษย์หลานชิงเฉินถูกทำร้ายจนไม่อาจตอบโต้ได้ เขาก็ไม่เป็นเช่นนี้นี่นา?”

 

 

“ศิษย์น้องเล็กกำลังโกรธอยู่หรือ?” นักพรตหมิงจ้าวประหลาดใจ

 

 

นักพรตจื่อซีตวัดตาค้อน ขี้เกียจเสวนากับเขาอีก แล้วมองดูฉากประมือของมั่วชิงเฉินและผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำในกระจกทองแดง ในใจกลับคิดอะไรได้ทันที

 

 

ข้าเข้าใจแล้ว ศิษย์หลานชิงเฉินสามารถฟื้นฟูพลังวิญญาณในชั่วพริบตา ต้องเพราะกินโอสถอะไรเป็นแน่ คิดว่าผลข้างเคียงของโอสถนี้ไม่น้อย ศิษย์น้องเหอกวงต้องโมโหเพราะการณ์นี้แน่ๆ จิ๊ๆ โอสถจะกินส่งเดชได้อย่างไรกัน มีโอสถบางชนิดหลังจากกินแล้วจะทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงมาก กระทั่งกระทบกระเทือนต่อการเลื่อนขั้นของผู้บำเพ็ญเพียรในอนาคตโดยตรง ศิษย์หลานชิงเฉินคนนี้ช่างใจกล้าบ้าบิ่นจริงๆ เลย

 

 

ทางด้านนั้นของกระจกทองแดง มั่วชิงเฉินที่พลังวิญญาณเต็มเปี่ยมเม้มปากแน่นสีหน้าสงบ กระบี่ยาวสีเขียวในมือร่ายรำคล่องแคล่วดุจสายน้ำ จุดเชื่อมต่อของเคล็ดกระบี่ยิ่งไม่สามารถหาช่องโหว่ได้

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำเหงื่อเริ่มค่อยๆ ซึมออกใบหน้า ในใจแอบสงสัย

 

 

เมื่อแรกเริ่มอีกฝ่ายร่ายเคล็ดกระบี่ มองดูบุปผาวิญญาณแล้วในใจนางยังหัวเราะเยาะที่สวยแต่รูปจูบไม่หอม รู้สึกว่าบุปผาวิญญาณพวกนั้นไม่มีพลังทำลายล้างสักเท่าไร ทว่าไยยิ่งสู้กันไปยิ่งรู้สึกผิดปกติขึ้นมา

 

 

ตนเคยบำเพ็ญเคล็ดวิชาลับวรยุทธ์พิเศษมาก่อน สู้ถึงบัดนี้บุปผาวิญญาณพวกนั้นยังไม่แนบถึงตัว ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดอย่างค่อยๆ บุปผาวิญญาณพวกนั้นต่อให้เพียงเข้าใกล้ตนในระยะห่างระยะหนึ่ง ร่างกายก็จะรู้สึกไม่สบายตัว

 

 

มั่วชิงเฉินแววตาโดดเดี่ยวขึ้นมา ราวกับมองผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำตรงหน้าไม่เห็นอีก ในสายตาเหลือเพียงกระบี่ชิงมู่ที่ธรรมดายิ่งกว่าธรรมดาเล่มนั้น กระบี่ยาวในมือยิ่งรำยิ่งเร็ว

 

 

ถึงตอนหลังนางกระทั่งไม่รู้สึกถึงกระบี่ที่ยังถืออยู่ในมือ กระบี่คือมือ มือก็คือกระบี่ กระบี่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายนางแล้ว

 

 

นางลืมสิ้นเคล็ดกระบี่ ลืมสิ้นกระบวนท่า เห็นเพียงบุปผาวิญญาณสะพรั่งตรงหน้านาง จากนั้นกระจายหายไป ต่อจากนั้นมีบุปผาวิญญาณที่มีชีวิตชีวาสะพรั่งมากขึ้น กระทั่งยังมีน้ำค้างสั่นไหวเบาๆ นี่คือความมีอยู่ที่จริงแท้และน่าหวั่นไหวที่สุดในโลกธรรมชาติยามที่ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนอีกครั้งชัดๆ

 

 

ม้วนภาพฤดูใบไม้ผลิอันมีชีวิตชีวากลิ่นผกาอบอวลภาพหนึ่งค่อยๆ คลี่ออกตรงหน้ามั่วชิงเฉิน

 

 

“สวยจังเลย” ในบรรดาผู้คนที่มุงดู ศิษย์หญิงมากมายสีหน้าเคลิบเคลิ้ม ทอดถอนใจขึ้นพร้อมกัน

 

 

ศิษย์หญิงที่หน้าตาไร้เดียงสาคนหนึ่งกระทั่งยังสูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่ง

 

 

ศิษย์ชายข้างๆ คนหนึ่งหัวเราะว่า “ศิษย์น้อง อย่าบอกนะว่าเจ้าดมกลิ่นหอมดอกไม้อยู่ หึๆ ดอกไม้นั่นต่อให้เหมือนจริงปานใด ก็เป็นเพียงสิ่งที่แปลงจากพลังวิญญาณของอาจารย์อามั่วเท่านั้น”

 

 

ศิษย์หญิงไร้เดียงสาส่ายศีรษะว่า “ไม่ถูก มีกลิ่นหอมดอกไม้!”

 

 

“ศิษย์น้อง เจ้าพูดเล่นอยู่ใช่หรือไม่?” ศิษย์ชายส่ายศีรษะหัวเราะว่า

 

 

ศิษย์หญิงเบิกตาโต เอ่ยเสียงร้อนใจว่า “มีจริงๆ ไม่เชื่อเจ้าดมดู”

 

 

ศิษย์ที่อยู่รอบข้างได้ยินคำพูดนี้ต่างสูดหายใจเข้าอย่างไม่อาจควบคุมได้ มีกลิ่นหอมอบอวลของดอกไม้พุ่งเข้าจมูกมาจริงๆ กระทั่งยิ่งดมยิ่งเข้ม เข้มแต่ไม่รุนแรง ทำให้คนลุ่มหลงอยู่ภายใน

 

 

ด้านนั้นของกระจกทองแดง นักพรตฟางเหยาสีหน้าเปลี่ยนไป สายตาจ้องกู้หลีเขม็งว่า “ศิษย์น้องเหอกวง เจ้าได้ยินศิษย์พวกนั้นพูดว่าอะไรหรือไม่?”

 

 

กู้หลีพยักหน้า

 

 

“หากบุปผาวิญญาณที่แปลงจากพลังวิญญาณของศิษย์หลานชิงเฉินสามารถทำให้คนอื่นได้กลิ่นหอมดอกไม้จริง เช่นนั้นก็หมายความว่ายามนี้นางได้ทะลวงทางสวรรค์แล้วมิใช่หรือ?” นักพรตฟางเหยาพูดถึงตรงนี้น้ำเสียงตื่นเต้นอย่างปิดซ่อนไว้ไม่มิด

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งก็สามารถรู้แจ้งทางสวรรค์ในระหว่างการประลอง เช่นนั้นการรับรู้ของนางช่างน่าทึ่งเสียเหลือเกิน หากฟูมฟักอย่างดี พลังความสามารถของเหยากวงในอนาคตต้องสูงขึ้นอีกขั้นหนึ่งเป็นแน่!

 

 

สีหน้าของกู้หลีกลับยังคงไม่ดี เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ยามนี้นางเข้าสู่สภาวะใจและจิตเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ใช้เคล็ดกระบี่ได้เกินการรับรู้ธรรมดา กลิ่นดอกไม้นั่นก็แปลงมาจากจิตแห่งกระบี่ ในจิตแห่งกระบี่แฝงไว้ด้วยทางสวรรค์ ศิษย์ข้ามีโอกาสวาสนาได้สำรวจทางสวรรค์โดยบังเอิญก็นับว่าโชคดีมากแล้ว ที่ศิษย์พี่เจ้าสำนักพูดว่านางทะลวงทางสวรรค์นั้นออกจะชมเกินไปแล้ว”

 

 

“ต่อให้เป็นเช่นนี้ การรับรู้ของศิษย์หลานชิงเฉินก็สูงมากแล้ว” นักพรตฟางเหยาทอดถอนใจว่า

 

 

นักพรตจื่อซีทำสีหน้าจริงจังอย่างหาได้ยาก มองกู้หลีแล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ศิษย์น้องเหอกวง ศิษย์คนนี้ เจ้าไม่สู้ยกให้ข้าเถอะ”

 

 

กู้หลีชะงักเล็กน้อย จากนั้นยิ้มนิ่งเรียบว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ชอบพูดเล่นจริงๆ”

 

 

“เปล่า ข้าพูดจริงนะ ศิษย์น้องเล็ก เจ้าไม่ลองใคร่ครวญดูสักที” นักพรตจื่อซีสีหน้าจริงจังว่า

 

 

กู้หลีหลุบตาหัวเราะเบาๆ “ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ว่าศิษย์ข้าจะพรสวรรค์ฉลาดเฉลียวหรือว่าโง่เขลา นางก็ยังเป็นนาง ศิษย์ไม่ใช่สิ่งของ จะยกให้กันไปมาได้เช่นไรกัน”

 

 

ตาหงส์นักพรตจื่อซีเหล่กู้หลีปราดหนึ่ง “ดี ศิษย์น้องเล็ก ช้าเร็วมีเวลาที่เจ้าต้องเสียใจภายหลัง” พูดจบกลับไม่สนใจสายตาประหลาดของนักพรตฟางเหยาและนักพรตหมิงจ้าวสองคน จัดเสื้อผ้านั่งตัวตรงขึ้นมา

 

 

กู้หลีใจลอยไปชั่วพริบตาหนึ่ง จากนั้นยกตามองไปที่กระจกทองแดง สายตาไม่ออกห่างจากคนในกระจก

 

 

นักพรตจื่อซีเบือนสายตาออก ในใจถอนใจทีหนึ่ง

 

 

คนอื่นดูไม่ออก นางกลับพบว่าศิษย์หลานชิงเฉินคนนั้นแอบมีความรู้สึกให้ศิษย์น้องเล็กตั้งนานแล้ว เดิมทีนางเพียงแต่ดูเพื่อความสนุก ชายเช่นศิษย์น้องเล็กนั้นทำให้สตรีพึงใจไม่ใช่เรื่องแปลก ด้วยนิสัยของเขาย่อมสามารถทนได้อยู่แล้ว

 

 

ทว่าดูมาตลอดการ ‘เยือนสำนัก’ ในครั้งนี้ นางหนูนั่นกลับทำให้นางต้องมองเสียใหม่ โดยเฉพาะสามารถเห็นทางสวรรค์ในยามนี้อย่างคิดไม่ถึง ยิ่งทำให้นางเกิดความรู้สึกเอ็นดู เด็กเช่นนี้ หากต้องถูกทำลายเพราะเคราะห์รัก ก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ

 

 

ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรมีเพียงลำดับรุ่นของญาติทางสายเลือด และศิษย์อาจารย์ที่ยุ่งไม่ได้ อย่างอื่นล้วนกำหนดลำดับรุ่นกันที่ตบะ

 

 

ต่อให้นางและศิษย์น้องเหอกวงเป็นศิษย์พี่น้องอาจารย์เดียวกัน นางหนูนั่นหากกราบตนเป็นอาจารย์ หากมีวันหนึ่งบำเพ็ญเพียรถึงระดับก่อแก่นปราณหรือว่าตนบำเพ็ญเพียรถึงระดับก่อกำเนิด จะเรียกศิษย์น้องเล็กว่าศิษย์พี่สักคำก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลย

 

 

เป็นศิษย์น้องเล็กนี่สิ ดูท่าทางนางหนูนั่นมีน้ำหนักไม่เบาในใจของเขา นางกระทั่งเริ่มสงสัยว่าเขาจะสามารถทนไม่หวั่นไหวได้ตลอดรอดฝั่งจริงหรือไม่?

 

 

หวั่นไหวหรือไม่หวั่นไหว ล้วนทำร้ายคนเกินไป…นึกถึงตรงนี้ นักพรตจื่อซีถอนใจยาวเสียงหนึ่ง

 

 

กระบี่เขียวในมือมั่วชิงเฉินยิ่งรำยิ่งเร็ว โซ่ดอกไม้ที่ทอขึ้นจากบุปผาวิญญาณโบยบิน ห้อมล้อมผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำไว้ภายใน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำรู้สึกเพียงว่ารอบตัวดูเหมือนถูกเครื่องพันธนาการที่มองไม่เห็นพันไว้ ไม่เพียงร่างกายก็แม้แต่การเคลื่อนย้ายพลังวิญญาณในกายก็เชื่องช้าลง โดยเฉพาะกลิ่นดอกไม้ที่อบอวลพวกนั้นพุ่งเข้าจมูก ทำให้นางฝีเท้าอืดเฉื่อย อ่อนยวบราวกับเหยียบอยู่บนสำลีไม่มีที่ให้ส่งแรง

 

 

ยามนี้แหละ!

 

 

มั่วชิงเฉินเมื่อหรี่ตากระบี่ชิงมู่ก็พุ่งออกจากมือ วนอยู่เหนือศีรษะผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำอย่างรวดเร็ว โซ่ดอกไม้ที่ทอขึ้นจากบุปผาวิญญาณสลัดห่วงดอกไม้นับไม่ถ้วนออกมาพันผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำไว้อย่างแน่นหนา