ภาคที่ 3 บทที่ 57 ชิงจุดแข็ง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 57 ชิงจุดแข็ง

ดังนั้นการต่อสู้จึงกลายเป็นการสังหารหมู่

และเมื่อดำเนินมาจนถึงตอนสุดท้าย คนส่วนมากก็ไม่มีใจคิดสู้ พากันพยายามหนีไปเสียแล้ว

ถึงตอนนี้ ข้ารับใช้เงาทั้งสี่ใช้เพลิงอัสนีไปจนหมดแล้ว อีกทั้งพลังยาของกังเหยียนก็เริ่มหมดลง

หากแต่คนที่สูญสิ้นใจสู้ไปแล้วก็สูญสิ้นมันไปตลอดกาล ไม่อาจหันกลับมาซัดพลังกลับได้อีกต่อไป

จังหวะนี้เอง ชาวบ้านภายในนั้นก็พุ่งออกมาพร้อมกับกำลังใจเต็มเปี่ยม เข้าสู้พร้อมกับกังเหยียนและคนอื่น ๆ เพื่อไล่ล่าพวกคนที่ยังเหลืออยู่

แม้ในการต่อสู้หลักจะไร้ประโยชน์ไปสักหน่อย แต่ชาวบ้านเหล่านี้ก็มีประโยชน์ ไล่พวกคนที่เหลืออยู่และทำความสะอาดสมรภูมิได้ดี อย่างน้อย กังเหยียนและคนอื่น ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงต่อสู้อีก

และเมื่อไฟกองสุดท้ายมอดลง ทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความสงบสุข

สมรภูมิการต่อสู้เต็มไปด้วยซากศพกองพะเนิน คนที่หนีไปได้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

กังเหยียนนั้นเหนื่อยจนหมดแรง

เขาถอดชุดเกราะออก หยิบถุงน้ำถุงใหญ่ขึ้นมาแล้วเริ่มกระดกมันลงคอ

“ดูท่าผลการต่อสู้ที่นี่จะออกมาดีมาก” ซูเฉินเดินเข้ามาพร้อมเอ่ยคำ

“นายท่านก็คาดการณ์ไว้นานแล้วไม่ใช่หรือ ?” กังเหยียนตอบกลับ

“ข้าได้เห็นตอนจบ แต่ไม่ได้เห็นความสำเร็จทั้งหมดของมัน” ซูเฉินเอ่ยแล้วยิ้มบาง

กุยต้าซานเดินเข้ามารายงานเสียงหนัก “นายท่าน หัวหน้าสามตายแล้ว”

“ข้ารู้แล้ว” ซูเฉินเอ่ย “เขามีครอบครัวหรือไม่ ?”

“เขามีภรรยากับลูกขอรับ อยู่ที่หุบเขาเหยียนผิง”

“อา” ซูเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง “มอบเงิน 100 ตำลึงทองให้ภรรยากับลูก ๆ ของเขา จากนั้นมอบให้ปีละ 10 ตำลึงทองต่อไปเรื่อย และหากพวกเขาต้องการ จะย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่ก็ได้ ข้าจะดูแลพวกเขาอย่างดี แน่นอนว่าก็ขึ้นอยู่กับพวกเขา”

“ขอรับ ! ขอบพระคุณนายท่าน !” กุยต้าซานเอ่ยเสียงยินดี

แม้พวกโจรจะทำชั่วมาเกือบทุกอย่าง แต่ก็ยังภักดีต่อพี่น้องร่วมสาบาน เมื่อกุยต้าซานและคนอื่น ๆ เห็นว่าซูเฉินเต็มใจดูแลพรรคพวกตนที่สิ้นชีพไปแล้ว พวกเขาก็รู้สึกดีขึ้นมาก

แท้จริงแล้ว แม้หลังจากติดตามซูเฉินพวกเขาจะเสียอิสรภาพไปทั้งหมด อีกทั้งยังประสบอันตรายมากขึ้น แต่ก็ได้รับการปฏิบัติจากซูเฉินดีมากขึ้นเช่นกัน อีกทั้งฝีมือยังแข็งแกร่งขึ้นด้วย

เมื่อไรที่ซูเฉินพัฒนาของหรือยาใหม่ ๆ ที่สามารถเพิ่มพื้นฐานการบ่มเพาะพลังขึ้นได้ และตัวเขากับกังเหยียนไม่จำเป็นต้องใช้มันในทันที ของเหล่านั้นก็จะมอบให้กับพวกโจร อีกทั้งบางครั้งยังคอยชี้แนะบอกกล่าว เพื่อพวกโจรจะได้ไม่เสียเวลาหลงทางนาน ทำให้พื้นฐานการบ่มเพาะของพวกเขาจึงเดี๋ยวเพิ่มเดี๋ยวหยุดไปเรื่อย ด้วยแต่ก่อนไม่เคยมีใครชี้แนะสั่งสอน ดังนั้นเมื่อได้ซูเฉินคอยสอนสั่ง พวกเขาก็ราวกับได้เกิดใหม่ พัฒนาการดีขึ้นมาก

และในระหว่างนั้น มันก็ทำให้พื้นฐานการบ่มเพาะพลังของกุยต้าซาน และคนอื่น ๆ พุ่งสูงขึ้นไม่หยุด

หัวหน้าสามเฟิง หัวหน้าสี่หลี่ และหัวหน้าห้าจินอยู่ที่ด่านก่อเกิดลมปราณระดับสูงสุด ไม่นานก็จะทะลวงด่านได้ น่าเสียดายที่หัวหน้าค่ายสามเฟิงอยู่รอดไม่ถึงตอนนั้น

ส่วนกุยต้าซานและรองหัวหน้าเฉิงยังต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยกว่าจะได้ทะลวงด่าน

แต่ทั้งสองก็ไม่หนักใจ ซูเฉินบอกพวกเขาไว้แล้วว่าอาจารย์ของเขากำลังค้นคว้าหาทางทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือด หากเป็นไปตามแผนก็น่าจะสำเร็จในเร็ววัน ในเวลาเดียวกันนั้นก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน แม้จะไม่เคยมีวิธีทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารมาก่อน แต่ทว่าการรับสายเลือดตอนอยู่ด่านทะลวงลมปราณนั้นก็อยู่เหนือกว่าการรับมาเมื่อตอนอยู่ด่านกลั่นโลหิตนัก

พวกโจร อย่างไรก็ไร้เส้นสาย ทำเพียงบ่มเพาะพลังไปงู ๆ ปลา ๆ ไม่เคยได้รับสายเลือดมาก่อน พอถึงตอนนี้ได้รู้ว่าไร้สายเลือดแล้วชะตาชีวิตดีกว่า ดังนั้นจึงตื่นเต้นยินดีนัก และยิ่งกว่าเต็มใจติดตามซูเฉิน

แต่ด้านหนึ่ง ชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจพวกโจรมากมายนัก

สำหรับเขาแล้ว จะเงินร้อยตำลึงทองหรือพวกโจรทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดนั้นแทบไม่มีค่าอันใดกับเขา

ข้ารับใช้เงาจากโจรภูเขาเหล่านี้ไม่ได้มีค่าต่อเขามากมาย

ใช้การข่มขู่กับพวกเขาย่อมได้ผลดีกว่าการเอาใจพวกเขานัก

แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องกล่าวออกไป

ในเมื่อตอนนี้ได้ใจกุยต้าซานและคนอื่น ๆ ไปแล้ว ซูเฉินก็หันไปมองฉาเล่อและชาวบ้านหมู่บ้านสราญรมย์ที่เหลืออยู่

ฉาเล่อเดินเข้ามาคุกเข่าหน้าซูเฉิน “ขอบคุณใต้เท้าที่ช่วยเหลือพวกเรา !”

“ไม่ต้องมากพิธี ข้าเพียงอยากมาเตือนท่านว่าสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงยังไม่รามือเท่านี้แน่ ข้าเข้าใจพวกเขาดี พวกท่านเป็นเป้าที่ไม่อาจต่อต้านพวกเขาได้ ดังนั้นพวกเขาต้องหาทางรับมือพวกท่านแน่ โดยเฉพาะเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเรื่องแหล่งเงินของพวกเขา”

ก่อนหน้านี้ ซูเฉินยังสามารถใช้กองทหารเกราะโลหิตที่อันซื่อหยวนมอบให้เพื่อข่มขู่อีกฝ่ายได้ แต่ความสำคัญของหมู่บ้านแม่น้ำตะวันตกนั้นมีมากกว่ากรมพลังต้นกำเนิดของซูเฉิน กระทั่งกองทหารเกราะโลหิต 10 กองก็ยังอาจไม่พอจะหยุดความละโมบของสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงนึกภาพออกได้ว่าสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงคงจะตอบโต้กลับมารวดเร็ว

ฉาเล่อเข้าใจเรื่องเป็นอย่างดี เอ่ยเสียงขื่นขม “เช่นนั้นด็ดูท่าว่าพวกข้ามีแต่ต้องตกลงกับเงื่อนไขเมื่อก่อนหน้าของพวกเขา”

ซูเฉินเอ่ยเสียงเย็น “เช่นนั้นจะยื้อมาจนถึงตอนนี้ไปเพื่ออะไรกัน ? ข้าช่วยท่านไว้เพื่อให้ท่านตะโกนยอมแพ้หรือ ? เช่นนั้นข้าสังหารท่านเสียตอนนี้ จะได้ไม่ไปเสริมความแกร่งให้ศัตรูเสียยังดีกว่า”

ฉาเล่อใจสะท้านเฮือก เพิ่งรู้ว่าตนใช้คำพูดล่วงเกินซูเฉินไป ดังนั้นจึงรีบก้มหน้า “ข้าพูดผิดไป ใต้เท้าโปรดให้อภัย”

ก่อนหน้านี้ก็คุกเข่าแล้ว ตอนนี้เขาแทบจะก้มกราบลงกับพื้นเลยทีเดียว

ซูเฉินว่าต่อ “แต่ข้าก็เข้าใจความกลัวท่าดี อย่างไรสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็ไม่ใช่ขุมอำนาจที่ท่านจะต่อกรได้ด้วยง่าย ๆ”

ว่าแล้วเขาก็มองไปทางกุยต้าซาน

ตอนนี้ ประโยชน์ที่มีพวกโจรอยู่เริ่มปรากฏแล้ว

กุยต้าซานเข้าใจความคิดซูเฉินทันที เอ่ยขึ้นเสียงดัง “เจ้าโง่ทั้งหลาย พวกเจ้าไม่อาจปกป้องตนเองจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงได้ แต่นายท่านของข้ากลัวพวกมันงั้นหรือ ? หากมีนายท่านอยู่ เขาย้อมสามารถรับมือพวกตระกูลสายเลือดชั้นสูงให้พวกเจ้าได้”

“แต่ใต้เท้าไม่เต็มใจไม่ใช่หรือ” ฉาเล่อเอายแล้วชะงักไป

“ไร้สาระ ! หากพวกเจ้าไม่คิดจ่ายสิ่งใดย่อมไม่ได้รับผลตอบแทน หากเจ้าต้องการให้นายท่านข้าปกป้อง อย่างน้อย ๆ……” กุยต้าซานพลันหยุดปาก ไม่กล้าเอ่ยคำสั่งแทนซูเฉิน ทำได้เพียงส่งสายตาหาซูเฉินเท่านั้น

ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ “หาต้องการให้ข้าปกป้องก็ง่ายมาก ขายทรัพยากรที่เจ้ามีให้ข้า”

ย่อมต้องเป็นไปเช่นนั้น

สุดท้าย ซูเฉินก็คิดอยากชิงเอาจุดแข็งของสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงมาสังหารอีกฝ่ายเสียเอง !

พวกเขาทำกำไรเป็นหินพลังต้นกำเนิดได้นับล้านก้อนทุกปี ถือว่าจำนวนไม่น้อย หากซูเฉินคิดชิงเอาท่อน้ำเลี้ยงพวกเขาไป สิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงจะต้องเสียหายไม่น้อยแน่

ไม่เช่นนั้น ซูเฉินจะมีเหตุผลอะไรในการทำลายความสงบที่เดิมทีก็อยู่ถูกที่ถูกทางอยู่แล้วเล่า ?

สำหรับเขา ความสงบคือเวลา เวลาคือความแข็งแกร่ง !

และของสิ่งเดียวที่ใช้ทำลายสมดุลได้มีแต่เงินเท่านั้น !

เงินมากใช้ซื้อเวลาได้มากมาย !

สำหรับหมู่บ้านสราญรมย์ พวกเขาจำเป็นต้องเลือกว่าจะอยู่จุดใด

แม้แต่ก่อนจะเคยขายของให้ซูเฉินมาก่อน แต่ก็เป็นของจำนวนน้อย และชายหนุ่มก็นำของไปใช้เลย ใช้หมดตั้งแต่ยังไม่ทันออกจากป่า ดังนั้นจึงไร้ปัญหา

หากแต่ตอนนี้ซูเฉินคิดจะถือครองเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ กีดกันสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงออกไป…… ดังนั้นจึงไม่เกี่ยวพันกับเรื่องราคาอีกต่อไปแล้ว

ฉาเล่อเอ่ยเสียงคล้ายอยากร้องไห้ “เรื่องนี้เกี่ยวพันกับทั้งหมู่บ้าน ข้าตัดสินใจเองไม่ได้”

ซูเฉินเอ่ยเสียงเบา “ขอท่านโปรดอย่าสับสนกับสถานการณ์ หากข้าไม่มาที่นี่ พวกท่านก็คงถูกสังหารเรียบไปแล้ว คนตายไม่อาจตัดสินใจได้อีก ข้าไม่สนเรื่องหมู่บ้านอื่น ๆ แต่สนเฉพาะความคิดท่านเท่านั้น หัวหน้าหมู่บ้านฉาเล่อ ท่านอยากติดตามข้าหรือพวกเขา ? อีกทั้งข้าให้สัญญากับท่านได้ข้อหนึ่ง ท่านอยากได้ 3 เท่าไม่ใช่หรือ ? สิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงขี้เหนียวเกินไป หากท่านติดตามข้า ไม่เพียงข้าปกป้องท่าน แต่สัญญาว่าจะเพิ่มราคาขึ้น 5 เท่าจากเดิม ท่านว่าอย่างไร ?

การซื้อทรัพยากรราคาเพิ่มขึ้นจากเดิม 5 เท่า ย่อมหมายความว่าซูเฉินก็ยังสามารถขายมันในราคา 20 เท่าจากราคาต้นทุนที่เขาซื้อมาได้

แต่สำหรับชาวบ้านหมู่บ้านสราญรมย์ เรื่องนี้นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่

การได้เงินเดือนละ 3 พัน กับการได้เดือนละหมื่นห้านั้นเปลี่ยนแปลงพื้นฐานชีวิตการมีอยู่ได้เลยทีเดียว

คำพูดของซูเฉินจึงคล้ายกับเป็นการตัดฟางเส้นสุดท้าย ฉาเล่อพยักหน้ากล่าว “ตกลง ในเมื่อใต้เท้ากล่าวมาขนาดนี้ งั้นชีวิตชาวบ้านในหมู่บ้านสราญรมย์ก็เป็นของท่านแล้ว”

“ควรจะเป็นเช่นนั้น” ซูเฉินเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง