ท่าทีของแต่ละฝ่าย โดย ProjectZyphon

เสียงฮือฮายังคงดังอย่างต่อเนื่อง สีหน้าของทุกคนต่างเผยความฉงน ตะลึง เสียดายเต็มประดา

ซึ่งสาเหตุก็ง่ายมาก เพราะทุกอย่างเกี่ยวกับหลินสวินล้วนควรค่าแก่การถกเถียงและพิจารณามากเหลือเกิน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมีประเด็นให้พูดถึงมาก

บางคนสนใจพลังปราณและผลงานของหลินสวิน คิดว่าการที่เขาสามารถคว้าที่หนึ่งการทดสอบระดับมณฑลของซีหนานมาได้ด้วยพลังปราณเพียงขั้นผสานใจ ตั้งแต่อายุเพียงสิบกว่าปี ถือเป็นอัจฉริยะระดับเทพที่หายากมากเลยเชียว

และบางคนก็สนใจฐานะของเขา ใครจะคิดว่าเขาจะเป็นถึงทายาทผู้สืบสายเลือดโดยตรงของท่านเต้าเฉิน ผู้เป็นราชันแห่งระดับสังสารวัฏที่สร้างความฮือฮาเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว!

แต่คนส่วนใหญ่ต่างเป็นห่วงสถานการณ์ ณ ปัจจุบันของหลินสวินเสียมากกว่า

แม้เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่มีสิทธิ์สืบทอดภูเขาชำระจิตที่เป็นหนึ่งในภูเขาแห่งอำนาจจากทั้งหมดเจ็ดสิบสองลูก แต่ผู้ที่รู้โศกนาฏกรรมนองเลือดเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วล้วนรู้ดีว่าสถานการณ์ของหลินสวินไม่ได้น่ายินดีเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก

ตรงกันข้าม ฐานะของหลินสวินนำพาเขาให้ตกอยู่ท่ามกลางอันตราย!

“ไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าคงวางแผนทุกอย่างมาอย่างรอบคอบ มิเช่นนั้นคงไม่สามารถสร้างความฮือฮาได้ขนาดนี้”

เสี่ยวเคอที่ยืนอยู่บนถนนมุ่นคิ้วพูด

จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์อันดุเดือดในตอนนี้ ก็พอรู้ว่าหลังจากคืนนี้ เรื่องราวของหลินสวินคงจะแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็วจนเหลือเชื่อ

ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าจะเรียกความโกลาหลและความสนใจได้มากเพียงใด

ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายสำหรับหลินสวิน!

“ข่าวที่จอภาพวิญญาณเผยแพร่ในทุกวัน ล้วนผ่านการคัดเลือกมาแล้วหลายต่อ ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนแอบผลักดันข่าวเกี่ยวกับหลินสวิน คงไม่ถูกเอามาเผยแพร่เช่นนี้”

แววตาอันแน่วนิ่งของพญาแร้งสาดประกายแห่งสติปัญญา “ข้ากลับสงสัยว่า หลินสวินนั่นแหละเป็นคนปล่อยข่าวตัวเอง”

เสี่ยวเคอตะลึง “เป็นไปได้อย่างไร”

พญาแร้งยิ้มพูด “ยังจำเมื่อวันก่อนตอนที่ข้าพบหลินสวินเป็นครั้งแรกได้หรือไม่ เด็กหนุ่มนั่นรับปากอย่างมั่นใจว่า ภายในหนึ่งเดือนจะทำให้ชื่อของตัวเองเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งนครของห้าม”

เขาชะงักไปครู่ ก่อนจะพูดต่อว่า “เจ้าลองดูข่าวที่จอภาพวิญญาณเผยแพร่ในค่ำคืนนี้ ก็คงเดาออกว่าต่อให้เรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของหลินสวินเอง แต่ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย”

แววตาคู่ใสของเสี่ยวเคอเผยความแปลกใจ “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็หมายความว่าหลินสวินยังมีไม้ตายที่เรายังไม่รู้อีกอย่างนั้นหรือ เพราะเมื่อครู่นี้ท่านกล่าวว่า ข่าวที่จอภาพวิญญาณเอามาเผยแพร่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด ลำพังตัวหลินสวินเองคงทำไม่ได้”

พญาแร้งพยักหน้าก่อนพูดเสียงขรึม “เสี่ยวเคอ ข้าขอเตือนเจ้าว่า ฐานะของหลินสวินค่อนข้างซับซ้อน เขาไม่เพียงเคยอยู่ในค่ายกระหายเลือด แต่ยังมีตำหนักแห่งรัตติกาลคอยหนุนหลัง”

“ไม่เพียงเท่านี้ เขายังเป็นผู้สืบสายเลือดโดยตรงเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลหลิน เพียงแค่เรื่องที่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดกล้าเปิดเผยเงื่อนงำการลอบสังหารบิดามารดาของเขาก็ดูผิดปกติมากแล้ว”

“เรื่องที่ข้าคิดอย่างไรก็คิดไม่ตกคือท่าทีของราชวงศ์ ภูเขาชำระจิตนั่นถูกทิ้งให้รกร้างมาเป็นสิบกว่าปีแล้ว หากก็ยังไม่ยอมยึดไปเสียที เจ้าไม่รู้สึกว่ามันน่าสงสัยมากหรือ นั่นมันหนึ่งในภูเขาแห่งอำนาจจากทั้งหมดเจ็ดสิบสองลูกเชียวนะ ไม่เพียงแค่เป็นดินแดนแห่งพลังวิญญาณ แต่ยังหมายความถึงฐานะและอำนาจอันเกรียงไกร!”

พูดถึงตรงนี้ พญาแร้งพลันหันมองเสี่ยวเคอแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าก็ไม่มั่นใจว่าหากช่วยหลินสวินต่อไปจะเป็นการดีหรือไม่ ส่วนเจ้า…ควรเตรียมใจเอาไว้บ้าง”

เสี่ยวเคอครุ่นคิดอยู่ครู่ จึงพยักหน้า

“แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นเพียงการคาดเดาของข้า หลินสวินซ่อนความลับไว้มากมาย สิ่งที่ข้าค้นพบอาจจะแค่เศษเสี้ยว แต่ความจริงข้าตื่นเต้นมากที่ได้ทำงานกับเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความลึกลับเช่นนี้”

พญาแร้งพลันเปลี่ยนเรื่องพร้อมรอยยิ้ม “ไม่แน่ เขาอาจสามารถนำพาความตื่นเต้นเปรมปรีดิ์ หรืออาจจะเป็น…ปาฏิหาริย์ ที่คาดไม่ถึงมาให้ข้ามากมายก็เป็นได้”

เสี่ยวเคอหัวใจสั่นระทึก ก่อนพูดพร้อมแววตาที่ทอประกาย “หากหลินสวินรู้ว่าท่านชื่นชมเขาเพียงนี้ เขาต้องดีใจมากแน่”

พญาแร้งยิ้ม ยกมือขึ้นโบกไปมาพลางพูดว่า “ไปกันเถอะ เราควรกลับไปได้แล้ว”

เสี่ยวเคอพลันเข็นรถเข็นพาพญาแร้งเดินทางกลับ ไม่นานเงาร่างก็หายไปท่ามกลางท้องฟ้าสีรัตติกาลในนครต้องห้ามอันครึกครื้น

หน้าตึกโบราณตึกหนึ่ง ด้านหลังจอภาพวิญญาณ

ที่นี่ก็คือ ‘หน่วยแพร่ภาพวิญญาณ’ แห่งนครต้องห้าม ที่ควบคุมทุกอย่างในจอภาพวิญญาณ

ขณะนั้นเอง เกี้ยวสมบัติที่ตกแต่งอย่างสวยงามประณีต เรืองแสงไปทั่วทั้งคันและใช้เมฆาวารีขาวปลอดสี่ตัวในการลากค่อยๆ แล่นเข้ามาใกล้

ไม่นานร่างอ้อนแอ้นก็เดินออกจากประตูตึกโบราณอันกว้างใหญ่

บุคลิกของนางสง่างาม รูปลักษณ์งดงามโดดเด่น ซึ่งก็คือหญิงสาวที่รายงานข่าวอยู่ในจอภาพวิญญาณเมื่อครู่นี้นั่นเอง

เห็นนางปรากฏตัว เกี้ยวสมบัติที่เข้ามารออยู่ห่างๆ ก็เลิกผ้าม่านขึ้น เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าอันหล่อเหลาของสืออวี่

“เรื่องที่ให้ช่วยเสร็จหมดแล้ว หมดหน้าที่แล้วข้าขอตัวกลับก่อน” หญิงสาวเดินขึ้นหน้า พลางพูดพร้อมสีหน้าเรียบเฉย

สืออวี่กลับคว้าแขนนางเอาไว้ พลันดึงเข้าไปกอดแนบอก ก่อนจะประทันจูบบนริมฝีปากฉ่ำวาวของหญิงสาว “จะหมดหน้าที่ได้อย่างไรกัน เพื่อเป็นการฉลองให้กับผลลงานในค่ำคืนนี้ของเจ้า ข้าจะพาเจ้าข้ามผ่านค่ำคืนอันงดงาม”

หญิงสาวที่เมื่อครู่นี้สีหน้ายังเรียบเฉย ท่าทางสง่าแน่วนิ่ง กลับหัวเราะแผ่วเบาขึ้นมา ดูยั่วยวนทรงเสน่ห์ “เช่นนั้นหรือเจ้าคะ งดงามเพียงใดเชียว”

สืออวี่ดึงผ้าม่านลง แล้วกดเสียงทุ้มต่ำพูดในขณะที่มองหญิงสาวในอ้อมอกอย่างลึกซึ้ง “เดี๋ยวเจ้าก็รู้”

พูดจบก็ล้มลงจูบบนริมฝีปากของหญิงสาว

แต่ในใจคุณชายสามแห่งอัครการค้ากลับลอบบ่นอุบ หลินสวินนะหลินสวิน ข้าถึงกับพลีกายเพื่อช่วยเจ้า บุญคุณครั้งนี้ เจ้าจงจำให้ขึ้นใจ!

ข่าวเกี่ยวกับหลินสวินที่รายงานบนจอภาพวิญญาณในค่ำคืนนี้มีสืออวี่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังนั่นเอง

ในค่ำคืนเดียวกัน

ฉือฉางเหมยผละสายตาออกจากจอภาพวิญญาณและเข้าสู่ห้วงความคิด

หลินสวิน!

ที่แท้เขาก็เป็นผู้สืบสายเลือดเพียงหนึ่งเดียว ที่มีสิทธิ์ในภูเขาชำระจิตของตระกูลหลิน และบรรพบุรุษก็คือหลินเต้าเฉิน ผู้ฝึกปราณระดับสังสารวัฏผู้เกรียงไกรในยุคนั้น!

ถึงว่าตอนที่ตอบโต้เขา คนในวงศ์ตระกูลถึงไม่อนุญาตให้ส่งยอดฝีมือที่เหนือกว่าระดับจิตผสานวิญญาณ ต้องมีคนคอยแย้งอยู่เบื้องหลังแน่

พวกที่แย้ง เกรงว่าคงเป็นขุมพลังที่มีสัมพันธ์กับตระกูลหลินทั้งสิ้น!

ฉือฉางเหมยถึงขั้นมั่นใจว่า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นอิทธิพลจากหลินเต้าเฉิน เพราะเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว ชื่อเสียงของหลินเต้าเฉินโด่งดังมากจริงๆ พลิกผันสถานการณ์อันโหดร้ายกลับมาได้เพียงลำพัง ทั้งยังออกรบต่อกรกับราชันจักรวรรดิมืด

แม้สุดท้ายจะร่างแหลกสลาย แต่ก็ช่วยจักรวรรดิกอบกู้สถานการณ์ ช่วยจักรวรรดิให้พ้นจากมหันตภัยครั้งใหญ่!

มีบุญคุณอันท่วมหัวของหลินเต้าเฉินอยู่ หากใครคิดจะแตะต้องทายาทผู้สืบสายเลือดของเขา คงไม่ใช่เรื่องง่าย

อย่างน้อยๆ จากการกระทำเมื่อครั้งที่ผ่านมาของตระกูลฉือก็สะท้อนเรื่องนี้ให้เห็นอย่างชัดเจน อย่างเช่นไม่อนุญาตให้ส่งผู้ฝึกปราณที่อยู่สูงกว่าระดับจิตผสานวิญญาณออกไป

อีกตัวอย่างคือฉือฉางเฟิงเพิ่งจะลงมือ ก็ถูกผู้อาวุโสแห่งตำหนักรัตติกาลท่านนั้นเข้าขัดขวาง ทำให้เขาถูกโทษกักบริเวณเป็นเวลานานถึงสามปี

ฉือฉางเหมยครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “กลับไป กำจัดคนไร้ประโยชน์อย่างฉือเจ๋อเสีย”

คนใช้ที่ติดตามนางอึ้งงันไป ก่อนจะพยักหน้า เขาเองก็ได้ยินมาว่า เพราะฉือเจ๋อต้องการชิงตัวหญิงนางหนึ่ง จึงถูกหลินสวินตัดแขนทั้งสองข้าง จนตอนนี้ยังรักษาตัวอยู่ในตระกูล

ทว่าแม้ฉือเจ๋อจะแซ่ฉือ แต่หาใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของคนในตระกูลไม่ ฆ่าได้ก็ฆ่า ใช่จะเป็นไร

“แล้วก็ไปเตือนคนในตระกูลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฉือเจ๋อ ว่าหากใครกล้าออกไปหาเรื่องหลินสวินแทนฉือเจ๋อ ก็จงรับผิดชอบผลที่จะตามมาเอง!”

ฉือฉางเหมยเสริมขึ้นอีกประโยค

คราวนี้คนใช้คนนั้นเริ่มลนลาน พลันพูดอย่างกังวล “คุณหนู หากเป็นเช่นนั้นจะเป็นการตีตนไปก่อนไข้หรือไม่ ถ้าคนนอกรู้ คงคิดว่าตระกูลฉือของเราเกรงกลัวหลินสวินนั่น”

ฉือฉางเหมยพูดเรียบๆ “เจ้าจัดการไปตามนี้เป็นพอ”

ที่นางตัดสินใจเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะกลัวหลินสวิน แต่นางได้รับคำชี้แนะจากผู้เป็นบิดาฉือหลิงเซียว ว่าอย่าเพิ่งเข้าเล่นงานหลินสวิน

นางเองก็เดาสาเหตุได้ไม่ยาก ทุกฝ่ายคงอยากเฝ้าดูสถานการณ์ศึกภายในระหว่างหลินสวินกับตระกูลรองพวกนั้นก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ตระกูลฉือของพวกเขาก็จะไม่เข้าไปเสี่ยงกับเหตุการณ์ในครั้งนี้

ไม่เพียงตระกูลฉือ ตระกูลมหาอำนาจจำนวนมากในนครต้องห้ามต่างก็ล้วนมีท่าทีเช่นเดียวกัน

แต่ฉือฉางเหมยมักรู้สึกว่า เรื่องนี้เห็นจะไม่ธรรมดา

ราวกับว่า เบื้องหลังของหลินสวินยังมีแรงสนับสนุนที่น่ากลัวกว่า จนทำให้ตระกูลมหาอำนาจอื่นๆ รวมทั้งตระกูลฉือไม่กล้าลงมือโดยใช่เหตุ!

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของฉือฉางเหมยเอง แต่ไม่ว่าอย่างไร ความลับของหลินสวินยิ่งมากเท่าไหร่ ฉือฉางเหมยก็ยิ่งรู้สึกสนใจ

เพราะการลงมือเมื่อครั้งที่ผ่านมาล้มเหลวไม่เป็นท่า ทำให้นางรับไม่ได้จริงๆ ต่อจากนี้ ถ้ามีโอกาสเอาคืนหลินสวิน ฉือฉางเหมยย่อมไม่พลาด

ปราสาทรัตติกาล

“คุณหนู ตั้งแต่หลินสวินเข้านครต้องห้าม ราชครูเฒ่าจากหอดูดาวหลวงนั่นก็นิ่งเงียบไม่ยอมแสดงท่าที ทำให้ตระกูลฉือรวมทั้งตระกูลมหาอำนาจอื่นๆ ต่างไม่กล้าแทรกแซงโดยพลการ ได้แต่คอยสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ”

“แน่ล่ะ ตราบใดที่สถานการณ์ทุกอย่างยังไม่ชัดเจน คงไม่มีใครกล้าออกตัวโดยพลการ”

“จะว่าไป ข้าน้อยเองก็คิดไม่ถึงว่า จะมีผู้ยิ่งใหญ่ในราชวงศ์จักรวรรดิคอยหนุนหลังหลินสวิน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ท่านใด”

“อย่างนั้นก็สืบต่อไป”

“รับทราบเจ้าค่ะ”

“ตอนนี้สถานการณ์ของหลินสวินเป็นอย่างไรบ้าง”

“ไม่ดีนัก”

“การจะควบคุมภูเขาชำระจิตไม่ใช่เรื่องง่าย นี่ถือเป็นโอกาสทองที่เขาจะได้พัฒนาตัวเอง”

“ข้าน้อยเองก็คิดเช่นนี้”

“จริงสิ ได้ความหรือยังว่าลู่ป๋อหยามีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับตระกูลหลิน”

“ยังไม่มีข้อมูลเจ้าค่ะ”

“เรื่องนี้สำคัญมาก ลู่ป๋อหยาไม่ใช่คนในจักรวรรดิ ฐานะลึกลับเป็นอย่างมาก แต่เขากลับยอมแฝงตัวเข้าไปอยู่ในคุกใต้เหมืองอเวจีม่วงเพื่อช่วยหลินสวิน เรื่องนี้น่าสงสัยนัก”

“ข้าน้อยจะรีบสืบเรื่องนี้”

“อืม เจ้าไปเถอะ”

หญิงชราหมุนตัวเดินออกจากตำหนักอันมืดสลัวตามคำสั่ง

ราชินีแห่งรัตติกาลเอามือเท้าคางครุ่นคิดอยู่บนบัลลังก์กระดูกขาวอันสูงส่งเด่นเป็นสง่า