คำว่ายอดฝีมือ โดย ProjectZyphon

เพียงชั่วข้ามคืนข่าวเกี่ยวกับหลินสวินก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งนครต้องห้ามราวกับติดปีกอย่างที่พญาแร้งและเสี่ยวเคอคิดเอาไว้ไม่มีผิด ทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์และเสียงฮือฮาจำนวนมากตามมา

พวกสอดรู้สอดเห็นล้อเลียนกันว่าหลินสวินเป็น ‘เจ้าแห่งตระกูลมหาอำนาจที่อายุน้อยที่สุดในนครต้องห้าม’

ในขณะเดียวกันยังมีอีกชื่อที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน นั่นก็คือ ‘เจ้าแห่งภูเขาชำระจิตที่เดียวดายที่สุด’!

แต่การล้อเลียนและเย้ยหยันทั้งหมด ได้สะท้อนให้เห็นความจริงข้อหนึ่ง นั่นคือหลินสวินยังเด็กมาก

เขาเพิ่งอายุสิบกว่าปีเท่านั้น ท่ามกลางบรรดาตระกูลมหาอำนาจมากมายในนครต้องห้าม หาแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว

อีกอย่าง สภาพของผู้สืบทอดตระกูลหลินอย่างเขาก็ดูน่าเห็นใจมาก หัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีเงิน ไม่มีกำลังคนคอยสนับสนุน ดูดีเพียงเปลือกนอก ทั้งยังตกอยู่ท่ามกลางอันตราย ช่างน่าสงสารเหลือเกิน

เอาเป็นว่า ชื่อของหลินสวินได้โด่งดังไปทั่วทั้งนครต้องห้ามเพียงชั่วข้ามคืน ชื่อเสียงที่ว่านี้ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ถึงกับดี หากยังมีคนพูดถึงกันอยู่เรื่อยๆ

ทั้งหมดนี้หลินสวินล้วนไม่รับรู้

ท่ามกาลเวลาที่ล่วงเลยไปเรื่อยๆ หลินสวินก็ได้เก็บตัวฝึกมาเป็นเวลาเจ็ดวันถ้วนแล้ว

ภายในเจ็ดวันนี้ภูเขาชำระจิตสงบสุขดีมาก ปัญหาและเรื่องราวทั้งหมดถูกพญาแร้งจัดการอย่างมีระบบ

ในช่วงพลบค่ำของวันที่เจ็ด หลินจงไปที่ชั้นสามของภูเขาชำระจิตตามปกติ เพราะมีเรื่องต้องรายงานหลินสวิน

เพียงแต่หลินสวินยังไม่ออกจากสมาธิเสียที และหลินจงเองก็ไม่อยากรบกวน

ประตูสำริดบานใหญ่ถูกปิดสนิท หลินจงเห็นเช่นนี้ก็เตรียมจะหมุนตัวกลับ ในขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังทื่อๆ ขึ้น ประตูสำริดที่ปิดสนิทค่อยๆ แง้มออก หลินจงได้สติทันที ในที่สุดนายน้อยก็ออกจากสมาธิแล้ว!

เขาหันไปก็เห็นหลินสวินที่กำลังย่างเท้าเดินออกมา

แต่หลินจงกลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า เมื่อเทียบกับครั้งที่ผ่านๆ มา นายน้อยที่อยู่ตรงหน้าดูมีสง่าราศีขึ้น ดวงตาอันดำขลับคู่นั้นช่างสุกใส ทุกท่วงการกระทำยิ่งดูหนักแน่นมั่นคง

หลินจงตระหนักบางอย่างได้ทันที จึงพูดอย่างปีติยินดี “ยินดีกับนายน้อยที่บรรลุขั้นผสานฟ้าแล้ว!”

หลินสวินยิ้มพูด “ลุงจง ข้าเก็บตัวฝึกนานเท่าไหร่แล้ว”

“เจ็ดวัน”

หลินสวินตะลึงงัน ในใจล่องลอยงุนงง

เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าในการเก็บตัวฝึกครั้งนี้ เพราะกลืนรากโสมหิมะหยกเข้าไป จะทำให้พลังปราณของตัวเองราวกับเต็มจนเอ่อล้นออกมา บรรลุไปอีกขั้นอย่างราบรื่น

ทั้งยังต่างจากครั้งที่ผ่านๆ มา เพราะในการบรรลุครั้งนี้ หลินสวินสัมผัสได้ว่าไม่เพียงแค่พลังปราณ แม้กระทั่งกายหยาบและจิตวิญญาณล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!

และทั้งหมดนี้ทำให้เขาฝึกปราณจนลืมวันลืมคืน จนถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าการบรรลุในครั้งนี้กินเวลานานถึงเจ็ดวัน

แต่ถ้าเทียบกันแล้ว ผลเก็บเกี่ยวก็มากเช่นกัน ก่อนอื่นคือการบรรลุปราณอีกขั้น ทำให้พลังขั้นผสานดินในตัวเขางอกงามกลายเป็นขั้นผสานฟ้าจนสำเร็จ และระดับพลังก็หนาแน่นขึ้นกว่าเดิมไม่ใช่แค่เท่าเดียว

ในขณะเดียวกัน ทั้งกายหยาบและดวงจิตล้วนได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้น มีดดาบธรรมดายากจะทิ้งบาดแผลอะไรบนร่างกายของเขาได้!

และในห้วงนิมิต ดาวดวงวิญญาณมแห่งจิตสิบกว่าดวงก็สว่างขึ้นอีกครั้ง ขณะนี้มีทั้งหมดเจ็ดสิบสองดวงที่กำลังกะพริบแสงอยู่ในห้วงนิมิตและโรยประกายลงมาหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ

ทั้งหมดนี้ทำให้การรับรู้ในดวงจิตของหลินสวินสูงขึ้นไปอีกระดับ จนเพียงพอที่จะรับรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหวภายในรัศมีสามพันจั้ง!

นี่ก็คือขั้นผสานฟ้าแห่งระดับจิตผสานวิญญาณ

สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว การได้สัมผัสพลังของ ‘จักรวาล’ จากพื้นแผ่นดินสู่ฟ้า รับรู้ถึงวัฏจักรแห่งชีวิต เป็นความรู้สึกที่ดีไม่ต่างอะไรกับการได้เกิดใหม่

ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของพลังปราณ จิตวิญญาณหรือกายหยาบและดวงจิต ล้วนเป็นการสั่งสมพลังเพื่อบรรลุระดับมหาสมุทรวิญญาณ!

นี่เป็นกระบวนการสั่งสมอย่างหนึ่ง รากฐานที่สั่งสมไว้ยิ่งมั่นคงเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นตัวช่วยส่งเสริมในขณะบรรลุ

“นายน้อย”

หลินจงพูดขึ้น “ในช่วงที่ท่านเก็บตัวมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ข้าน้อยจำเป็นต้องรายงานต่อท่าน”

“อ้อ ลุงจงว่ามาเถิด” หลินสวินเดินลงจากตำหนัก

“เรื่องที่ท่านมอบหมายไว้เมื่อเจ็ดวันก่อน ข้าน้อยได้ประสานไปยังคุณชายสามสืออวี่แห่งอัครการค้า และเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว”

หลินจงตามหลังหลินสวินไป

“เรียบร้อยแล้วอย่างนั้นหรือ”

หลินสวินแปลกใจ

“ขอรับ คุณชายสืออวี่ได้ประกาศชื่อเสียงของท่านผ่านจอภาพวิญญาณในนครต้องห้ามแล้ว ตอนนี้ชื่อของท่านกำลังถูกบอกต่อไปทั่วทั้งนครต้องห้าม” หลินจงอธิบาย

“ไม่คิดว่าเจ้าสืออวี่นั่นจะฝีมือดีถึงขนาดยืมใช้จอภาพวิญญาณได้ บุญคุณครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก” หลินสวินยิ้มออกทันที

บ่าวชราพูดต่อ “คุณชายสืออวี่ยังฝากบอกท่านว่า เขาจะเปิดงานประมูลในอีกสิบวันข้างหน้า ในรอบปีนี้จะเชิญตระกูลเศรษฐีมหาอำนาจแนวหน้าของนครต้องห้ามมาเข้าร่วม หากท่านสนใจ สามารถเข้าร่วมได้”

หลินสวินพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว มีเรื่องอื่นอีกหรือไม่”

หลินจงรีบพูดขึ้น “อีกเรื่องคือท่านพญาแร้งกลับมาแล้ว ทั้งยังเชิญยอดฝีมือสามคนมาที่ภูเขาชำระจิต ท่านพญาแร้งบอกว่า รอให้ท่านออกจากการเก็บตัวฝึกค่อยลองไปดูด้วยตัวเอง”

“สามคนเองหรือ” หลินสวินอึ้ง

สีหน้าของหลินจงก็แฝงความประหลาดใจ “ใช่ แค่สามคน แต่เท่าที่ข้าน้อยสังเกต ทั้งสามล้วนไม่ธรรมดาเลยเชียว”

หลินสวินพลันพูดอย่างตื่นเต้น “ไป เราไปกันตอนนี้เลย”

หลินจงกลับเสนอว่า “นายน้อย ตามท่านพญาแร้งไปด้วยกันเถิด นิสัยของยอดฝีมือทั้งสามคนนั้นดูแปลกพิลึก”

เด็กหนุ่มพยักหน้า

ไม่นาน หลินสวินก็เห็นพญาแร้งที่นั่งชื่นชมปุยเมฆล่องลอยไกลๆ อย่างสบายอารมณ์อยู่บนรถเข็น

“ข้าได้ข่าวว่าเจ้ารับปากจะไปเยือนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรเพื่อประลองกับเด็กหนุ่มที่ชื่อหลินเสวี่ยเฟิงแล้ว”

ทันทีที่เห็นหลินสวิน พญาแร้งก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“ไม่ผิด” หลินสวินพยักหน้ารับ

“ระดับมหาสมุทรวิญญาณไม่ได้ล้มกันง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้น ความหวังที่เจ้าจะคว้าชัยชนะริบหรี่มาก ข้าจึงคิดว่าครั้งนี้เจ้าค่อนข้างเสี่ยง”

พญาแร้งกล่าวเสียงขรึม

“ข้ารู้ ขอเพียงแค่ทนให้ได้ถึงหนึ่งร้อยกระบวนท่าก็พอแล้ว” หลินสวินยิ้มพูด

“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่ข้าก็อยากเตือนเจ้าว่า หนทางแห่งการฝึกพลังปราณนั้นอีกยาวไกล อย่าได้ใจร้อนเพียงเพราะการประลองเพียงครั้งเดียว เพราะอาจเกิดผลเสียต่อพลังปราณของตัวเอง”

พญาแร้งเตือน

เรื่องนี้หลินสวินเองก็รู้ดี จึงพยักหน้าอย่างจริงจัง

เมื่อก่อนพญาแร้งเป็นถึงยอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะ แม้จะบอกว่าเขาในตอนนี้เผชิญกับ ‘มารพบเคราะห์’ พลังปราณแทบจะเรียกได้ว่าดับสูญ แต่เขายังมีประสบการณ์การฝึกพลังปราณ คำพูดของเขาย่อมไม่มีผิด

นึกถึงตรงนี้หลินสวินพลันหัวใจเต้นระทึกขึ้นมาที เขาห่วงแต่ฝึกพลังปราณ จนลืมไปว่าขณะนี้ที่ภูเขาชำระจิตมียอดฝีมือที่เก่งกาจอยู่ไม่น้อยเลย

เช่นเสี่ยวเคอ พญาแร้ง จูเหล่าซาน รวมทั้งหลินจง ที่ระดับพลังปราณต่างนำไปไกล หากได้รับการชี้แนะจากพวกเขาจะต้องช่วยสร้างทางลัดให้ตัวเองได้ไม่น้อยแน่!

“ไปกันเถิด เราไปพบสหายทั้งสามกัน” พญาแร้งเข็นรถเข็นลงจากภูเขาไป

ไม่จำเป็นต้องถามอะไรจากหลินสวิน เขาก็เดาทุกอย่างออกเสมอมา สติปัญญานั้นเรียกได้ว่าอยู่ในระดับเทพเลยเชียว

ณ ลานแสดงยุทธ์ที่ถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ราบตรงตีนเขาชำระจิต ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา แต่เดิมเป็นที่สำหรับฝึกยุทธ์ของคนตระกูลหลิน

แต่สิบกว่าปีมานี้ได้ถูกปล่อยเป็นพื้นที่รกร้าง เหลือไว้เพียงความโล่งกว้างและหญ้าที่รกชัฏ

ขณะนี้ บนลานแสดงยุทธ์มีเงาร่างของคนสามคน

คนแรกเป็นชายร่างผอมแห้ง สวมเสื้อตัวเก่าที่ขาดรุ่ยร่าย กำลังนอนหงายห้อยตัวเหนือก้อนหิน เอาเหล้ากรอกปากดื่มอย่างมัวเมาด้วยท่าทางนักเลง

ข้างๆ เขามีชายตัวสูงใหญ่ร่างอ้วนท้วนเอามือเท้าศีรษะ นอนหลับน้ำลายยืดอยู่

และจากบริเวณไม่ไกลจากทั้งสองนัก ยังมีชายชราที่ผมหงอกเกือบทั้งหัว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยมีด ท่าทางเปี่ยมไปด้วยความเหี้ยมโหดนั่งขัดสมาธิ หลับตาอย่างเงียบเชียบ

พอหลินสวินเห็นภาพนี้ก็อึ้งไปเล็กน้อย นี่หรือยอดฝีมือทั้งสามที่พญาแร้งเชิญมา?

แต่กลับเป็นพญาแร้งที่ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดขึ้น “คนที่ดื่มเหล้าอยู่มีชื่อว่าชื่อเซวี่ย คนที่นอนอยู่ชื่อหยางหลิง คนที่นั่งขัดสมาธิคือผู้เฒ่าเตียว ล้วนเป็นทหารผ่านศึกที่เกษียณจากสนามรบแนวหน้า กว่าจะเชิญพวกเขาเหล่านี้มาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

ทหารผ่านศึกอย่างนั้นหรือ?

หลินสวินคิดๆ แล้วเป็นฝ่ายเดินเข้าไปคารวะทักทายก่อน “ข้าน้อยหลินสวิน ขอคารวะทุกท่าน”

พูดจบกลับไม่มีคนสนใจ คนที่ดื่มเหล้าก็ดื่มต่อไป คนที่นอนอยู่ก็ไม่มีท่าทีจะตื่น คนที่นั่งก็ยังนั่งนิ่งอยู่เหมือนเดิม ทำเหมือนไม่ได้ยิน หรือเรียกได้ว่ามองข้ามหลินสวินไปเลย

หลินจงที่อยู่ข้างๆ หัวใจกระตุกวูบขึ้นมาทันที พลันมองหลินสวินอย่างกังวล ด้วยกลัวว่าเขาจะหมดความอดทน ระเบิดอารมณ์ออกมา

ใครจะคิดว่าหลินสวินกลับยิ้มอย่างไม่ใส่ใจพลางหันไปพูดกับหลินจง “เห็นทีการจะได้รับการยอมรับจากพวกเขาจะไม่ใช่เรื่องง่าย”

พญาแร้งยิ้มกล่าว “แน่ล่ะ ทั้งสามล้วนอารมณ์ฉุนเฉียว แม้แต่ข้ายังต้องใช้วิธีเชิญพวกเขากลับมา แต่จะทำให้พวกเขายอมอยู่ที่นี่ต่ออย่างเต็มใจหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้า”

“เรื่องนี้ข้ารู้ คนเย่อหยิ่งโอหังเพราะถือตัวว่ามีความสามารถล้วนเป็นเช่นนั้นทั้งสิ้น มิเช่นนั้นจะแสดงคุณค่าของพวกเขาออกมาได้อย่างไร” หลินสวินพูด

คำพูดนี้แฝงความท้าทาย

แต่ทั้งชื่อเซวี่ย หยางหลิง ผู้เฒ่าเตียวก็ยังไม่มีท่าทีจะสนใจหลินสวิน ราวกับว่าต่อให้เขาจะก่นด่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่สะทกสะท้าน

พญาแร้งได้ยินแล้วหัวเราะลั่น “ใช่ๆๆ แบบนี้แหละ เป็นอย่างไรบ้าง เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าจะทำให้พวกเขาเลื่อมใสอย่างสุดซึ้งได้?”

“แล้วข้าจะทำให้พวกเขายอมเลื่อมใสอย่างสุดซึ้งได้อย่างไร” หลินสวินพูด

พญาแร้งพลันเอ่ยขึ้นว่า “ง่ายมาก ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ขอเพียงแค่ได้รับความเสื่อมใสจากพวกเขา ต่อไปพวกเขาจะนำพาความน่ายินดีที่คาดไม่ถึงมาให้เจ้าได้อย่างแน่นอน”

หลินสวินยิ้มออกทันที “วิธีใดก็ได้อย่างนั้นหรือ”

พญาแร้งอึ้งงันไป เหมือนเดาอะไรออก มุมปากจึงกระตุกขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ในขณะที่พูดว่า “นี่…อย่ารุนแรงเกินไปเป็นพอ”

หลินสวินยิ้มกว้างกว่าเดิม “ไม่ต้องห่วง ยอดฝีมือที่ท่านอุตส่าห์เชิญมาให้เชียว ข้าจะสร้างความลำบากให้พวกเขาได้อย่างไร”

พญาแร้งสัมผัสได้ถึงความผิดปกติอย่างอธิบายไม่ถูก พลันอดมองพวกที่อยู่ห่างออกไปไม่ได้ ในขณะที่ในใจก็ลอบอุทาน ว่าถ้าวางมาดเกินไป ก็อาจจะถูกเอาคืนไม่เบาเลย…