บทที่ 117 เกาะซ่างเซียน

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

มองเกาะซ่างเซียนที่อยู่ไม่ไกล ในที่สุดเสี่ยวหมางก็โล่งอก แอบเบนศีรษะไปมองด้านหลังแวบหนึ่ง ไม้เสียบชั้นหนาเตอะบนพื้นกระดาน บนนั้นยังเปื้อนเศษเนื้อสัตว์หรือก้างปลา ทั้งหมดเป็นอาหารที่จินเฟยเหยาซื้อให้พวกมันกิน

นางจอดบนเกาะเจินซิวตามที่ได้นัดไว้ก่อนหน้านี้ จินเฟยเหยาวิ่งขึ้นเกาะวนรอบหนึ่งจึงกลับมา หลังจากกลับมานั่งบนเรือ ก็หยิบของกินเล่นนานาชนิดออกมาจากในกระเป๋าเก็บของไม่หยุด อาหารเลิศรสบนเกาะเจินซิว ขอเพียงเป็นพวกเนื้อนางแทบจะซื้อทั้งหมด แม้แต่ในมือของเสี่ยวหมางยังโดนยัดกุ้งและหอยย่างกำมือหนึ่ง

จอมตะกละหลายตัวทางด้านหลังกินเหมือนไม่เคยเห็น เสี่ยวหมางรู้สึกอับอายอยู่บ้าง ก้มหน้าลงเร่งรุดเดินทางอย่างเงียบๆ ขอเพียงเรือปลาทองหรือเรืออื่นๆ ผ่านมาเห็นสภาพบนเรือเสี่ยวหมาง ล้วนหวาดกลัวไม่กล้ามองดูตรงๆ ในคนเหล่านั้นมีคนรู้จักของนางอยู่

ในที่สุดตอนนี้ก็พาพวกนางมาถึงเกาะซ่างเซียน เสี่ยวหมางหัวใจหล่นวูบ ถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจครึ่งหนึ่ง ต่อไปขอเพียงพานางไปที่พักอาศัยอีกก็พอ ตอนนี้ดวงอาทิตย์ใกล้จะลาลับแล้ว เป็นเวลากินอาหารเย็น นึกถึงกินอาหารเย็น เสี่ยวหมางก็ตกใจอีกครั้ง ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้คงไม่ไปกินอาหารก่อนนะ ไม่ได้ เพื่อการค้าในวันหน้าของข้า ข้ารอนางอยู่บนเรือจะดีกว่า

“ท่านเซียน ด้านหน้าคือเกาะซ่างเซียน” ทว่านางยังเบนศีรษะไปเอ่ยเตือนอย่างสุภาพ บนเกาะซ่างเซียนล้วนเป็นท่านเซียน อย่างน้อยต้องเช็ดคราบน้ำปรุงรสบนใบหน้าสักหน่อย

จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองเกาะซ่างเซียนที่อยู่ไม่ไกลนัก ลักษณะเหมือนที่เด็กชายพูดจริงๆ เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดและมีคนมากที่สุดในเมืองวั่นเซียนสุ่ย พื้นที่ของเกาะใหญ่กว่าเกาะที่ใหญ่ที่สุดซึ่งเคยพบเห็นตอนเดินทางมาสิบเท่า เกาะแบ่งเป็นสองส่วน ด้านซ้ายเป็นอาคารร้านค้าอันหนาแน่น ส่วนด้านขวาเป็นสวนที่มีดอกไม้และต้นไม้มากมาย ท่ามกลางแมกไม้มีอาคารสิบชั้นหลังหนึ่งตั้งตระหง่าน

ด้านที่มีร้านค้ามีผู้คนไปมาคึกคัก ส่วนทางสวนกลับเงียบเชียบ สงบนิ่งอย่างยิ่ง

ท่าเรือของเกาะซ่างเซียนยาวเหยียด มีเรือที่แตกต่างกันนับร้อยลำจอดอยู่ มีเรือปลาทองสามตัวเหมือนของเสี่ยวหมาง และมีเรือขนาดใหญ่ใช้ปลาทองสิบกว่าตัวลากสามารถนั่งได้สิบกว่าคน เรือทัศนาจรขนาดใหญ่พร้อมหอสองชั้นก็มีไม่น้อย เรือหาปลาที่บรรทุกปลาหรือเนื้อและผัก ยิ่งแออัดเต็มท่าเรือ ศีรษะของคนบนท่าเรือเบียดเสียดกันไปมา สามารถเห็นบรรดาคนแบกสินค้า คนเดินถนน และคนที่รอคนมาติดต่อ

เสี่ยวหมางพาเรือปลาทองมาถึงท่าเรือของเรือปลาทอง จอดตรงท่าเรือ หลังจากคลุมเรือเสร็จ นางก็คลายบังเหียนปล่อยปลาทองออกไป ให้ปลาทองเหล่านี้ว่ายในน้ำอย่างอิสระ จินเฟยเหยามองด้านข้าง เรือน้อยด้านข้างก็คลายบังเหียนปลาทองเช่นเดียวกัน มีเพียงเรือน้อยผูกบนเสาท่าเรือ

“พวกเจ้าดีต่อปลาทองเหล่านี้ยิ่ง ปล่อยให้พวกมันว่ายน้ำเล่นไปทั่ว ถ้าเป็นม้าคงไม่โชคดีแบบนี้” จินเฟยเหยามองปลาทองที่บางครั้งสะบัดหางสีแดง แล้วเอ่ยกับเสี่ยวหมาง

เสี่ยวหมางยิ้มพลางเอ่ยว่า “ใต้เรือก็คือน้ำในทะเลสาบ ให้พวกมันเฝ้าที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ มิสู้ปล่อยให้พวกมันว่ายดีกว่า อย่างไรก็ไม่หนีไปไกล ถ้ามีลูกค้า แค่ผิวปากก็จะกลับมา”

“เจ้าจะไปกับพวกเราหรือไม่?” จินเฟยเหยาฉุดดึงเนี่ยนซีเดินขึ้นท่าเรือ เห็นเสี่ยวหมางยืนอยู่บนเรือไม่ขยับจึงเอ่ยถาม

เสี่ยวหมางรีบเอ่ยตอบนาง “ท่านเซียน ข้าไม่ไปเป็นเพื่อนพวกท่าน ตึกซ่างเซียนไม่ให้คนธรรมดาเข้าไป ข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าจะรอพวกท่านอยู่ที่นี่ ต้องป้อนอาหารปลาทองพอดี ในเรือก็ต้องเก็บกวาดหน่อย”

“ก็ได้ เช่นนั้นข้าจ่ายศิลาวิญญาณเจ้าครึ่งหนึ่งก่อน ถ้าเจ้ามีลูกค้าคนอื่นก็ไม่ต้องรอข้า” เห็นขยะเต็มลำเรือ จินเฟยเหยารู้สึกละอายอยู่บ้าง หยิบศิลาวิญญาณสามสิบก้อนให้เสี่ยวหมาง เพิ่มศิลาวิญญาณอีกห้าก้อนถือเป็นรางวัล

เพิ่มศิลาวิญญาณอีกห้าก้อน เสี่ยวหมางย่อมรับศิลาวิญญาณไว้อย่างยินดี ทั้งยังแสดงออกว่าตนเองจะรออยู่ที่นี่ ไม่ไปรับลูกค้าคนอื่น ทั้งยังชี้ทางให้จินเฟยเหยา ตึกซ่างเซียนคือหอสิบชั้นในสวน บนเกาะมีเส้นทางเล็กๆ มากมาย ล้วนนำไปสู่หอซ่างเซียน เดินไม่ผิดทางเด็ดขาด ทั้งยังบอกจินเฟยเหยาเป็นพิเศษว่า คนรู้จักของนางที่ขายแผนที่ก็อยู่ที่นี่ อีกสักครู่จะให้เขาส่งแผนที่มา

นางให้พั่งจื่อเปลี่ยนกลับเป็นร่างเดิมแบกเนี่ยนซี จูงต้านิว กลุ่มจินเฟยเหยาเดินขึ้นเกาะซ่างเซียน จินเฟยเหยาครุ่นคิด ตัดสินใจเดินอ้อมทางด้านที่คึกคักจอแจ สุดท้ายค่อยไปตึกซ่างเซียน เดินขึ้นบันไดศิลาหน้าท่าเรือ เบื้องหน้าปรากฏเส้นทางสองสาย สายหนึ่งเป็นทางปูพื้นศิลา อีกสายหนึ่งเป็นทางโรยกรวดหิน ทางปูพื้นศิลานำไปสู่ย่านการค้า ส่วนทางโรยกรวดหินลดเลี้ยวเข้าไปในหมู่ไม้ นำไปสู่ส่วนลึกของพุ่มไม้

เลือกทางปูพื้นศิลา พอพวกนางเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มาถึงย่านการค้าของเกาะซ่างเซียน ใกล้เคียงกับเมืองของผู้บำเพ็ญเซียนอื่นๆ บนถนนมีร้านค้านานาชนิด สิ่งของที่ขายไม่ว่าอาหาร เสื้อผ้า และของใช้ ทั้งหมดให้ผู้บำเพ็ญเซียนใช้โดยเฉพาะ สินค้าบางอย่างจินเฟยเหยาไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่าก็ไม่รีบร้อนเข้าไปสอบถาม ที่นี่คือโลกระดับวิญญาณ ทั้งยังเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ นางย่อมต้องรั้งอยู่ฝึกบำเพ็ญที่นี่ สิ่งของเหล่านี้วันหน้าย่อมรู้เอง

จุดประสงค์หลักของนางคือคิดจะเปิดโลกทัศน์ จะได้ไม่ต้องเป็นลมหน้ามืดไปทั่ว ไม่รู้อะไรเลยสักนิด เดินวนอยู่บนถนนครู่หนึ่ง ตรงทางแยกนี้มีทางโรยกรวดหินนำไปสู่ตึกซ่างเซียน นางก็เลี้ยวเข้าไป

เทียบกับถนนการค้าด้านข้าง ที่นี่เงียบสงบกว่ามาก เดินตามทางโรยกรวดหินระหว่างดอกไม้และพุ่มไม้ไปครู่หนึ่ง ก็เห็นทางแยกหลายสายปรากฏขึ้นท่ามกลางพุ่มไม้ ทางแยกเหล่านี้กว้างกว่าทางโรยกรวดหินที่นางเดินนิดหน่อย ข้างทางมีผู้บำเพ็ญเซียนบางคนปูหนังสัตว์หรือผ้าบนพื้นตั้งแผงแบกะดินข้างทาง ผู้บำเพ็ญเซียนที่อยู่ข้างทางบางตา คนไม่ถือว่าเยอะ บางคนแค่ดูก็รู้ว่าเพิ่งมา กำลังจัดวางสินค้า

“ที่นี่คือตลาดเสรีที่เสี่ยวหมางเคยเอ่ยถึงสินะ ข้ายังนึกว่าเป็นสถานที่รวมศูนย์แห่งหนึ่งเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะตั้งตามทางโรยกรวดหิน” มองคนเหล่านี้ จินเฟยเหยานึกถึงสิ่งที่เสี่ยวหมางเคยเอ่ย บนเกาะซ่างเซียนมีสถานที่แห่งหนึ่งให้บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนตั้งตลาดกลางคืนแบกะดินโดยเฉพาะ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะอยู่ข้างทางแบบนี้ แต่ก็สะดวกดี ขอเพียงเดินไปตามทาง ก็จะมองดูแต่ละร้านได้

บอกว่าเป็นตลาดกลางคืน หลังล่วงเข้ายามราตรีคนถึงจะเยอะ ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้มาจับจองสถานที่ตอนเย็น จินเฟยเหยามองสิ่งของบนแผงเหล่านั้น ส่วนมากเป็นวัสดุที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่านางกลับรู้จักตานสัตว์ปิศาจ คิดไม่ถึงว่าทุกแผงล้วนมีตานสัตว์ปิศาจ ท่าทางผู้บำเพ็ญเซียนที่นี่จะร่ำรวย

ยังมีธุระต้องจัดการ นางไม่ได้หยุดที่ตลาดกลางคืนนานนัก รุดไปยังตึกซ่างเซียนตามทางโรยกรวดหินเล็กๆ เส้นนี้

วนอยู่หลายรอบ ในที่สุดก็มาถึงหน้าประตูตึกซ่างเซียน เวลานี้เย็นแล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนที่เข้าออกในตึกซ่างเซียนมีไม่มาก จินเฟยเหยาเดินเข้าไป

พอเข้าประตูใหญ่ สิ่งที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าคือสระน้ำแห่งหนึ่งที่แทบจะยึดครองทั้งห้อง เหนือสระน้ำเป็นสะพานไม้ สะพานไม้ทอดยาวไปยังฝั่งตรงข้าม ฝั่งตรงข้ามมีบันได และบันไดนำขึ้นไปด้านบน บนชั้นสองมีรั้วล้อม มีคนสิบกว่าคนยืนอยู่ข้างรั้วกำลังมองลงไปด้านล่าง

จินเฟยเหยาเดินขึ้นสะพานไม้ พบว่าทุกคนบนนั้นมองลงมา รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง นางมองไปรอบด้านคิดจะดูว่าพวกเขามองอะไรอยู่?

พอมองนางจึงพบว่า ในสระน้ำใต้เท้านางมีเกาะเล็กๆ จำนวนมาก เกาะที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดเท่าฝ่ามือ และบนเกาะขนาดเท่าฝ่ามือนั้น ด้านซ้ายทั้งหมดเป็นบ้านด้านขวาทั้งหมดเป็นต้นไม้ นี่คือลักษณะย่อส่วนของเกาะซ่างเซียน ที่แท้นี่คือแผนที่ เกรงว่าคนด้านบนมาเลือกเกาะ

น่าสนใจจริงๆ เกาะเหล่านี้ทำได้คล้ายของจริงมาก อีกทั้งรอบด้านล้วนมีสีขาวเข้มบ้างอ่อนบ้างล้อมรอบ คล้ายคลึงกับของจริงอย่างยิ่ง จินเฟยเหยารู้สึกสนใจของสิ่งนี้ จึงรีบขึ้นชั้นสอง

ชั้นสองมีห้องหนึ่ง ด้านในมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณสามคน กำลังใช้พู่กันวิญญาณจุ่มของเหลววิญญาณสีทองคัดลอกบางอย่างบนกระดาษ ส่วนตรงที่ล้อมรั้ว คนสิบกว่าคนกำลังยืนเลือกเกาะด้านล่าง บางครั้งยังสนทนาและสอบถามเรื่องบางอย่างกับผู้บำเพ็ญเซียนของตึกซ่างเซียนข้างกาย

เห็นจินเฟยเหยายืนอยู่ตรงประตู ผู้บำเพ็ญเซียนอายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่งวางผู้กันพลางเอ่ยถาม “ผู้อาวุโสท่านนี้จะมาทำมุกเข้าเมืองหรือคิดจะเช่าที่อยู่อาศัย?”

“ข้าคิดจะทำมุกเข้าเมืองและแวะเช่าที่อยู่อาศัยด้วย” จินเฟยเหยารีบเดินไปข้างหน้าหลายก้าว ยิ้มพลางเอ่ย

“เช่นนั้นเชิญผู้อาวุโสมาลงบันทึกที่นี่ สามารถทำมุกเข้าเมืองได้ทันที”

ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้หยิบม้วนภาพมาคลี่ออก บนนั้นบันทึกชื่อผู้บำเพ็ญเซียนที่อาศัยอยู่ในเมืองวั่นเซียนสุ่ยอย่างหนาแน่น เขาหยิบพู่กันวิญญาณที่สว่างไสวจุ่มของเหลววิญญาณสีเงิน เอ่ยกับจินเฟยเหยาอย่างสุภาพว่า “ขอถามชื่อแซ่และสำนักของผู้อาวุโส”

“จินเฟยเหยา ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระไม่มีสำนัก” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างไม่ต้องขบคิด ใครจะรู้ว่าโลกวิญญาณเป่ยเฉินมีสำนักอะไรบ้าง บอกว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระสะดวกกว่า

ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ไม่ได้ถามมากความ หลังจากจินเฟยเหยาแจ้งชื่อแล้ว ก็เขียนอักษรจินเฟยเหยาและผู้บำเพ็ญเซียนอิสระอย่างว่องไว อักษรสีเงินที่เขียนในม้วนภาพพลันส่องแสงสีเงินสว่างไสว ไข่มุกล้ำค่าขนาดเท่ามุกมังกรเม็ดหนึ่งปรากฏขึ้นในแสงสีเงิน ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้หยิบไข่มุกลงมาและหยิบโซ่สีเงินเส้นหนึ่งจากตู้ทางด้านข้างมาแขวน แล้วยื่นส่งให้จินเฟยเหยา

“ผู้อาวุโสโปรดถือไว้ให้ดี ทำมุกเข้าเมืองเสร็จแล้ว พวกเราเก็บค่าบริหารจัดการเพียงสองหมื่นศิลาวิญญาณชั้นล่าง” ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้เอ่ยอย่างเคารพ

จินเฟยเหยาหยิบมุกเข้าเมืองมายังไม่ทันมองอย่างละเอียดก็ตกใจกับราคาสองหมื่นศิลาวิญญาณชั้นล่าง นางหลุดปากเอ่ยถาม “สองหมื่นศิลาวิญญาณชั้นล่าง เข้าเมืองครั้งหนึ่งแพงถึงปานนี้เชียว?”

ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นยังมีสีหน้าอ่อนโยนน่าสนิทสนมดังเดิม “ใช่ ผู้บำเพ็ญเซียนแต่ละท่านล้วนเก็บสองหมื่นศิลาวิญญาณชั้นล่าง ขอเพียงเคยทำครั้งหนึ่ง ก็ไม่ต้องทำอีกชั่วชีวิต”

“แบบนี้เอง ทำข้าตกใจหมดเลย ข้านึกว่าต้องทำทุกครั้งที่เข้าเมืองเสียอีก” ไม่ต้องทำอีกชั่วชีวิต ค่อยเหมาะสมหน่อย ไม่เช่นนั้นออกไปข้างนอกรอบหนึ่ง กลับมาต้องจ่ายอีกสองหมื่น ต่อให้มีศิลาวิญญาณมากมายก็ต้องใช้จนหมดเกลี้ยง

นับศิลาวิญญาณส่งให้ จินเฟยเหยาก็แขวนมุกเข้าเมืองไว้บนเอว จากนั้นเอ่ยถามตามสบาย “ข้ายังคิดจะเช่าเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งสร้างถ้ำเซียน พวกเจ้ามีเกาะที่เหมาะสมหรือไม่ ข้าไม่อยากอยู่รวมกับผู้อื่น เกาะเล็กหน่อยก็ไม่เป็นไร แค่ไม่มีคนก็พอ”

จินเฟยเหยามีศิลาวิญญาณเต็มพื้นที่มิติ สามารถเช่าเกาะเล็กๆ ทั้งเกาะได้ นางไม่อยากอยู่ร่วมเกาะกับผู้อื่น อย่างไรเสียตนเองอาศัยอยู่บนเกาะคนเดียวจะสะดวกและอิสระมากกว่า