ตอนที่ 117 ไฟไหม้เสิ้งหวา รั่วปิงแสดงความเป็นฮีโร่หญิงออกมา

เดิมพันเสน่หา

เหลิ่งรั่วปิงเบะปากอย่างไม่แคร์ “พวกผู้ชายอย่างคุณเห็นเพื่อนเป็นแขนเป็นขา เห็นผู้หญิงเป็นเสื้อผ้าไม่ใช่หรอคะ ผู้หญิงอย่างพวกฉันเป็นแค่เครื่องมือที่ทำให้พวกคุณมีความสุข พวกเราเองก็มีครอบครัวและเพื่อน ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อผู้ชาย ถึงเวลาจำเป็นพวกเราก็เปลี่ยนผู้ชายเหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้าได้เหมือนกัน” 

 

 

หนานกงเยี่ยโมโห เขาสาดน้ำไปที่หน้าของเหลิ่งรั่วปิง “คุณลองเปลี่ยนผู้ชายดูสิ” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงหลับตาแล้วเช็ดน้ำที่กระเด็นใส่หน้า เธอมองหนานกงเยี่ยด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เมื่อก่อนคุณเคยมีผู้หญิงมาแล้วกี่คน ทำไมฉันถึงต้องมีคนแค่คนเดียวด้วย คุณไม่ใช่สามีของฉันสักหน่อย ทำไมฉันต้องเฝ้าคุณคนเดียวด้วย” 

 

 

ความเป็นจริง ผู้ชายไม่ใช่สิ่งสำคัญในชีวิตเธอและเธอเองไม่ได้คิดจะเปลี่ยนผู้ชาย แต่เธอแค่โมโหที่ถูกหนานกงเยี่ยสาดน้ำใส่หน้า จึงเริ่มพูดจาไม่เข้าหู 

 

 

ตอนแรกนึกว่าหนานกงเยี่ยจะโมโหอีกครั้ง ทว่าคิดไม่ถึงหลังจากที่เขาเงียบไปพักหนึ่ง เขากลับพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เพราะเรื่องนี้คุณถึงไม่ยอมเปิดใจผมใช่ไหม” 

 

 

“…”เหลิ่งรั่วปิงทำตัวไม่ถูก เธอพยักหน้า “ใช่…ใช่ค่ะ” จะให้เธอพูดว่าเป็นเพราะสุดท้ายแล้วเธอเลือกที่จะไปจากที่นี่ ดังนั้นก็เลยชอบเขาไม่ได้หรือไง 

 

 

หนานกงเยี่ยถอนหายใจ เขาพูดด้วยความจริงจัง “ก่อนจะคบกับคุณผมเคยคบผู้หญิงมาสามคน ซึ่งคนไม่เคยคบนานเกินสองเดือน เป็นแค่คนที่ผ่านเข้ามาแล้วออกไปจากชีวิต ตอนที่เจอกับคุณผมไม่มีใครมานานกว่าสองปีแล้ว ถ้าผมเจอคุณตั้งแต่แรก ชาตินี้ทั้งชาชิตผู้หญิงสามคนแรกคงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผม ถ้าคุณถือสาเรื่องนี้ ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะผมไม่สามารถแก้ไขอดีตได้” 

 

 

“…” เขาจริงจังมากเกินไปแล้ว แบบนี้ยิ่งทำให้เธอทำตัวไม่ถูก 

 

 

“ถ้าเป็นเพราะคุณไม่ใช่คนแรกของผม แล้วคุณรู้สึกไม่ยุติธรรม อยากไปหาผู้ชายคนอื่น ผมบอกคุณได้แค่อย่างเดียว ผมไม่วันยอมให้มันเกิดขึ้น” 

 

 

“พูดแบบนี้ ถ้าฉันอยากจะเปลี่ยนผู้ชาย ก็ต้องรอให้คุณเบื่อแล้วทิ้งฉันก่อน แต่เมื่อไหร่คุณจะเบื่อฉันละคะ คุณอย่าบอกฉันนะว่าคุณจะชอบฉันแบบนี้ไปตลอดชีวิต อย่าโทษที่ฉันไม่เชื่อ ถามใจคุณเองก็ว่าคุณจะเชื่อใจตนเองไหม” 

 

 

หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปมแล้วนิ่งเงียบ เขาจะชอบเธอไปตลอดชีวิตไหม เรื่องนี้เขายังคงไม่มีคำตอบ 

 

 

ถึงแม้หนานกงเยี่ยจะโกรธ แต่เหลิ่งรั่วปิงกินข้าวเช้าเสร็จก็ยังคงออกไปเจอกับเวินอี๋ ในใจของเธอ เวินอี๋สำคัญกว่าหนานกงเยี่ย 

 

 

ถึงแม้ตอนนี้เวินอี๋จะเป็นแฟนของมู่เฉิงซีอย่างเปิดเผยแล้ว แต่เธอยังยืนยันที่จะไปทำงานที่เสิ้งหวา เธอไม่อยากให้สถาะนี้ของตนเองทำให้หลงลืมความเป็นตัวเอง ในเมื่อเธอต้องการทำแบบนี้ มู่เฉิงซีเองก็ไม่ได้ห้าม เพราะถึงอย่างไรเธอก็ทำงานที่ห้างของอวี้ไป่หัน มีคนคอยดูแลเวินอี๋ เขาเองก็ไม่ต้องเป็นห่วง 

 

 

เวินอี๋ยินดีที่จะเจอกับเหลิ่งรั่วปิง เวลาที่ทั้งสองเจอกันจะมีเรื่องมากมายให้พูดไม่จบ ตอนที่เหลิ่งรั่วปิงมาถึง เป็นช่วงเปลี่ยนเวรของเวินอี๋พอดี ดังนั้นทั้งสองจึงไปกินอาหารที่คาเฟ่ชั้นบนสุด 

 

 

ห้างสรรพสินค้าเสิ้งหามีทั้งหมดเจ็ดชั้น ชั้นบนสุดเป็นร้านอาหารทั้งชั้น เวลานี้เป็นช่วงเที่ยงวันพอดี ทำให้มีคนมากินอาหารเยอะมาก เหลิ่งรั่วปิงและเวินอี๋เลือกที่นั่งติดหน้าต่าง พวกเธอสองคนกินไปด้วยพูดคุยไปด้วย 

 

 

“พี่รั่วปิง ฉันเห็นแลนด์มาร์เมืองหลงสร้างไปถึงชั้นที่ยี่สิบกว่าแล้ว สร้างเร็วมากเลยนะคะ” 

 

 

“อื้ม” เหลิ่งรั่วปิงดื่มชาผลไม้หนึ่งอึก “สร้างเร็วมาก คงเป็นเพราะอยากจะรีบเปิดให้บริการ คุณหนานกงเยี่ยก็เลยเร่งก่อสร้าง” 

 

 

“อย่างนี้ก็หมายความว่า อีกไม่นานก็เรื่องที่พี่คาดการณ์เอาไว้ก็จะเกิดขึ้น” 

 

 

“ใช่ อีกไม่นานลั่วเฮิ่งก็จะตกนรกแล้ว” 

 

 

“แต่ว่า ถ้าตึกใหญ่ขนาดนั้นถล่มลงมา จะทำให้คนงานบาดเจ็บและตายจำนวนมากไหมคะ” เวินอี๋ยังคงเป็นหญิงสาวที่มีจิตใจดี เธอเป็นห่วงคนบริสุทธิ์ 

 

 

“ไม่หรอก” เหลิ่งรั่วปิงพูดด้วยความมั่นใจ “จากที่คำนวนเอาไว้ตอนที่สร้างถึงชั้นสามสิบ เป็นช่วงฤดูฝนของเมืองหลงพอดี ช่วงนั้นฝนจะตกตลอดครึ่งเดือน ถึงเวลาก็จะหยุดการก่อสร้าง อันที่จริงตอนสร้างไปถึงชั้นสามสิบตึกก็ไม่ถล่มทันทีหรอก มันต้องผ่านไปสักระยะหนึ่ง เมื่อร่วมกับมีฝนตกชุกเป็นเวลานาน ส่งผลให้อาคารชั้นล่างไม่สามารถรองรับน้ำหนักได้ ดังนั้น เรื่องนี้จะไม่ส่งผลให้คนงานต้องตายหรือได้รับบาดเจ็บหรอก” 

 

 

“อ่อ แบบนี้ก็ดีค่ะ” เวินอี๋พยักหน้า “อยากให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ จัง ฉันอยากเห็นลั่วเฮิ่งได้รับผลกรรมที่ทำเอาไว้ด้วยตาตนเอง” 

 

 

“อืม พวกเรารอวันนี้มานานมากแล้ว” เหลิ่งรั่วปิงมองไปนอกหน้าต่างด้วยความเศร้า เธอพูดพึมพำในใจ พ่อคะ อีกไม่นานพอก็สามารถนอนตายตาหลับได้แล้วนะคะ 

 

 

เวินอี๋เองก็มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยเช่นกัน พวกเธอทั้งสองกำลังคิดถึงคนในครอบครัว 

 

 

ผ่านไปนานครู่หนึ่ง เวินอี๋ดึงสายตากลับมา เธอรู้สึกเสียใจเล็กน้อย “พี่รั่วปิง พี่ยังคงตัดสินใจไปจากเมืองหลงหรอคะ” 

 

 

“ใช่” 

 

 

“แต่ว่า ฉันอยากให้พี่อยู่ที่นี่กับฉัน” 

 

 

“ถ้าพี่อยู่ที่นี่ต่อ พี่ก็จะเป็นผู้หญิงของคุณหนานกงเยี่ยไปทั้งชีวิต ต่อให้เขาทิ้งพี่ไป พี่ก็สามารถลบชื่อนี้ได้” 

 

 

“คุณหนานกงเป็นคนดีมากนะคะ พี่ยังอยากได้ผู้ชายแบบไหนอีก บนโลกใบนี้คงไม่มีผู้ชายคนไหนสมบูรณ์แบบเท่าเขาแล้ว” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มบางๆ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความสมบูรณ์แบบของผู้ชายหรอก ถ้าให้เธอเลิกกับมู่เฉิงซีตอนนี้ แล้วไปคบกับหนานกงเยี่ย เธอจะเอาไหม” 

 

 

“ไม่ค่ะ” เวินอี๋่ส่ายหน้า เธอรักมู่เฉิงซีมาก เธอไม่มีวันเปลี่ยนใจไปจากเขาเพราะเจอผู้ชายที่ดีกว่า “แต่ฉันรู้สึกว่าคุณหนานกงดีกับพี่มากเลยนะคะ?” 

 

 

“เขาดีกับพี่ แต่นั่นก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น เขาไม่สามารถให้คำว่านิรันดร์กับพี่ได้ สุดท้ายแล้วคนที่เขาต้องแต่งงานด้วยคืออวี้หลานซี ถ้าขืนพี่อยู่ต่อท้ายที่สุดแล้วมันจะกลายเป็นเรื่องขำขันของคนอื่นเสียเปล่า” 

 

 

เวินอี๋กัดหลอดดูด ไม่กล้าพูดอะไร เธอเคยได้ยินเรื่องของอวี้หลานซีแล้ว ผู้หญิงคนนั้นผูกพันและรักคุณหนานกงเยี่ยมาก อีกทั้งเธอกับคุณหนานกงเยี่ยยังโตมาด้วยกันอีก ถึงอย่างไรเธอต้องทำให้คุณหนานกงหวั่นไหวได้แน่นอน 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงไม่พูดเรื่องนี้ต่อ เธอก้มหน้าลงแล้วนั่งเงียบ 

 

 

ขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งกันเงียบๆ อยู่นั้น เสียงร้องตะโกนจากชั้นล่างดังขึ้นมา “ไฟไหม้ ไฟไหม้!” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงตกใจมาก เธอลุกขึ้นแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นควันดำลอยออกมาจากหน้าต่างชั้นสามของเสิ้งหวา ดูเหมือนไฟจะลุกลามไปไม่น้อย ประตูทางออกชั้นหนึ่งมีคนวิ่งออกไปจำนวนมาก พวกเขาวิ่งหนีเอาชีวิตรอดและยังมีเด็กและคนแก่ถูกเหยียบอีกด้วย 

 

 

“เวินอี๋ แย่แล้ว ไฟไหม้ที่ชั้นสาม พวกเราต้องรีบลงไป” 

 

 

“ค่ะ” 

 

 

เวินอี๋รู้ว่าเรื่องนี้รุนแรงแค่ไหน เธอวิ่งตามเหลิ่งรั่วปิงออกไปด้วยความเชื่อฟัง เวลานี้ คนอื่นๆ ในร้านต่างก็รู้ว่าไฟไหม้แล้ว พวกเขาวางช้อนส้อมแล้ววิ่งไปที่บันไดหนีไฟ ตอนนี้ไม่สามารถใช้ลิฟต์ได้ 

 

 

เมื่อชีวิตเผชิญหน้ากับความตาย สัญชาตญาณในการเอาชีวิตของมนุษย์จะเผยออกมา ดังนั้นเวลานี้จึงไม่มีใครสนเรื่องมารยาทอีกแล้ว ต่างคนต่างผลักกันไปมา ยื้อแย้งกันลงบันได มีบางคนถึงขั้นลงไม้ลงมือเพื่อที่จะได้ไปก่อน 

 

 

เวินอี๋เป็นผู้หญิงบอบบาง เธอถูกคนเบียดไปซ้ายทีขวาที โชคดีที่เหลิ่งรั่วปิงจับเอาไว้ทำให้ไม่ล้ม ถ้ามีแค่เหลิ่งรั่วปิงคนเดียว เธอสามารถหนีอย่างรวดเร็วโดยวิ่งไปที่ชานบันไดแล้วสไลด์ลงมาจากเสา แต่มีเวินอี๋อยู่ด้วย เธอจึงทำแบบนั้นไม่ได้ ดังนั้นเหลิ่งรั่วปิงจึงทำได้เพียงวิ่งตามคนไปที่บันไดหนีไฟ 

 

 

พวกเธอวิ่งไปจนถึงชั้นห้า ก็เห็นคนชั้นล่างวิ่งขึ้นมา พวกเขาวิ่งไปด้วยและร้องตะโกนไปด้วย “ไฟลุกลามใหญ่แล้ว ลงไปไม่ได้” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงจับเวินอี๋เอาไว้แล้วพาเธอออกมาจากบันได เธอปีนไปบนชานบันไดแล้วมองลงไปด้านล่าง เห็นไฟลุกไหม้บนชั้นสาม มีควันโขมงเต็มไปหมด คนที่อยู่ในกองเพลิงพากันร้องตะด้วยความเจ็บปวด มีคนได้รับบาดเจ็บและตายจำนวนมาก ไฟไม่มีความปราณีกับมนุษย์แม้แต่น้อย มันลุกลามขึ้นมาบนชั้นสี่ 

 

 

“ทำยังไงดี ลงไปไม่ได้แล้ว เอาชีวิตรอดสำคัญที่สุด กระโดดตึกกันเถอะ!” 

 

 

คำพูดนี้เหมือนคำเชิญชวน คนจำนวนมากมองออกไปนอกหน้าต่าง พวกเขาเปิดประตูกำลังจะกระโดดลงไป แต่นี่คือชั้นห้า กระโดดลงไปถ้าไม่ตายก็พิการตลอดชีวิต 

 

 

ถึงแม้เหลิ่งรั่วปิงไม่ใช่คนที่มีจิตใจดี แต่ในสถานกาาณ์คับขันแบบนี้ เธอยินดีที่จะช่วยชีวิตคน ดังนั้นเธอกระทืบเท้าอย่างแรง เพื่อหักส้นรองเท้าออก วิ่งไปตรงหน้าคนที่กำลังจะกระโดดตึก แววตาของเธอเย็นยะเยือก ดูทรงพลัง เหมือนมู่หลานในการ์ตูน “ฟังฉันให้ดีนะคะ อยากมีชีวิตรอด ให้ทำตามที่ฉันพูด!” 

 

 

เสียงของเธอเคร่งขรึม ท่าทางของเธอเหมือนฮีโร่หญิง ทุกคนที่กำลังจะกระโดดลงไปหยุดนิ่งทันที พวกเขาหันมามองเธอ 

 

 

ดวงตาของเหลิ่งรั่วปิงเป็นประกาย เธอกวาดตามองทุกคน แล้วพูดด้วยความเข้มแข็ง “ฟังนะคะ ตอนนี้ชั้นสามถูกไฟไหม้จนหมดแล้ว เราไม่สามารถหนีออกไปทางชั้นหนึ่ง ดังนั้น โอกาสเดียวที่พวกเราจะรอดคือวิ่งไปที่ชั้นบนสุด ฉันเชื่อว่าตอนนี้เจ้าหน้าตำรวจกำลังส่งเฮลิคอปเตอร์มาช่วยเราแล้ว สิ่งที่พวกเราต้องทำคือวิ่งไปบนดาดฟ้า ก่อนที่ไฟจะไหม้ลามมาถึงชั้นเจ็ด 

 

 

สิ้นเสียงของเธอ คนที่ก่อนหน้านี้อยู่ที่บันไดอาศัยแรงของตนเอง ผลักคนอื่นทิ้งโดยไม่สนใจ พวกเขาร้องตะโกนแล้ววิ่งขึ้นไปชั้นบน ส่วนคนที่ถูกพวกเขาผลักล้มกลับไม่กล้าพูดอะไร จากการชักนำของพวกเขา ฝูงชนกลับมาชุลมุนวุ่นวายพากันวิ่งไปชั้นบน 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงรู้ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป คนต้องเหยียบกันตายแน่นอน สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็จะชุลมุนไปหมด คนที่จะสามารถขึ้นไปถึงดาดฟ้าคงเหลือไม่กี่คน 

 

 

ดังนั้น เธอต้องหยุดเรื่องนี้ 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงวิ่งไปด้านหลังคนที่อยู่หน้าสุด เธอจับหัวไหล่ของเขา กดน้ำหนักลงไป จนแขนของผู้ชายหัก ท่ามกลางผู้คนที่วุ่นวายเมื่อได้ยินเสียง “กรึก” ดังขึ้นพวกเขาก็หยุดทันที มองมาที่เหลิ่งรั่วปิงด้วยความตกใจ 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงไม่สนใจคนที่ถูกเธอหักแขนจะทุรุนทุรายอยู่บนพื้นยังไง ดวงตาเย็นยะเยือกของเธอราวกับเปื้อนไปด้วยเลือด เสียงของเธอเหมือนเสียงจากนรก “ฟังฉันให้ดี ถ้าอยากมีชีวิตรอด ต้องฟังคำสั่งของฉัน ใครกล้าเบียดมาด้านหน้าอีก จะมีจุดจบเหมือนผู้ชายคนนี้!” 

 

 

ไม่มีใครคาดถึง ผู้หญิงที่สวยเหมือนนางฟ้า กลายเป็นปีศาจร้ายในชั่วพริบตา ดังนั้นทุกคนต่างก็รู้สึกกัว ถึงแม้ด้านหลังจะมีไฟคอยไล่ตาม แต่ก็ไม่ใครกล้าเดินมาด้านหน้าแม้แต่ก้าวเดียว เพราะเธอน่ากลัวกว่าไฟเสียอีก 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงมองไปรอบๆ เธอตะโกนบอกฝูงชน “เด็ก สตรีและคนชราเดินมาข้างหน้า หนึ่งแถวสามคน ขึ้นบันไดตามลำดับ!” 

 

 

ฝูงชนที่ชุลมุนวุ่นวายเปลี่ยนเป็นเงียบ แม้แต่เด็กที่เอาแต่ร้องไห้ยังหยุดร้อง ผ่านไปห้านาที พวกเขาเข้าแถวกันอย่างเรียบร้อย เดินขึ้นบันไดอย่างเป็นระเบียบภายใต้การควบคุมของเหลิ่งรั่วปิง เวินอี๋ยืนมองเหลิ่งรั่วปิงด้วยความปลื้มปลิ่ม แววตาของเธอเต็มไปด้วยความนับถือ 

 

 

ความเป็นจริง เมื่อทุกคนไม่วิ่งพล่านและเบียดเสียดกัน พวกเขาวิ่งขึ้นบันไดเร็วขึ้น ใช้เวลาน้อยกว่าตอนลงบันไดเมื่อกี้เสียอีก 

 

 

หลังจากคนแถวสุดท้ายขึ้นบันไดไป ไฟได้ลุกลามมาจนถึงชั้นสี่แล้ว เปลวไฟสีแดงราวกับปีศาจร้าย เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาถึงชั้นห้า ควันดำลอยขึ้นมาตามชานบันไดไปจนถึงชั้นบน ทางเดินค่อยๆ ถูกควันครอบคลุม