ตอนที่ 118 ผู้หญิงของแกเก่งมาก

เดิมพันเสน่หา

เหลิ่งรั่วปิงชำเลืองมองคนที่ถูกเธอหักแขนเมื่อครู่ เขาทุรนทุรายกลิ้งตัวอยู่บนพื้น “คุณแค่แขนหัก ไม่ได้ขาหักสักหน่อย อยากนอนรอความตายอยู่ตรงนี้ก็เชิญ ไม่มีใครสนใจคุณหรอกนะคะ” 

 

 

เมื่อคนที่อยู่บนพื้นได้ยินก็รีบลุกขึ้นยืนทันที พูดด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด “นางชั่ว ถ้ากูรอดไปได้ กูจะเอาคืนมึงแน่นอน!” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะในลำคอด้วยความเย้ยหยัน “เอาชีวิตให้รอดแล้วค่อยพูดเถอะค่ะ” 

 

 

พูดจบ เหลิ่งรั่วปิงก็พาเวินอี๋เดินขึ้นบันไดไปชั้นบน ผู้ชายคนนั้นมองดูควันดำที่ลอยขึ้นมาไม่หยุด เขากัดฟันกรอดแล้ววิ่งตามขึ้นมา 

 

 

เวลานี้ ด้านนอกห้างสรรพสินค้าเสิ้งหวา เสียงไซเรนดังไม่หยุด ตำรวจหลายนายถูกเกณฑ์มาที่เกิดเหตุ พวกเขานำเส้นแนวกั้นมากั้นเอาไว้ ตามด้วยเฮลิคอปเตอร์ห้าลำถูกเรียกอย่างเร่งด่วน 

 

 

รถพยาบาล 120 คันรอรับส่งผู้ป่วย หมอและเจ้าหน้าที่การแพทย์เร่งให้การรักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ 

 

 

เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเองก็รีบมาถึงที่เกิดเหตุ พวกเขานำสายยางและบันไดออกมา ทว่าไฟลุกโหมกระหน่ำ ทำให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงทำการดับไฟด้วยความยากลำบาก คนที่อยู่ด้านนอกไม่สามารถฝ่าเข้ามาได้ ทำได้เพียงฉีดน้ำเข้ามาในตัวอาคาร 

 

 

มู่เฉิงซีเป็นคนนำทีมสั่งการทุกอย่าง ถึงแม้เวินอี๋จะอยู่ข้างในห้าง เขาเองก็เป็นห่วงเธอมาก แต่เวลานี้เขาเป็นคนคอยสั่งการเจ้าหน้าที่ทุกอย่าง เขาไม่สามารถละเลยหน้าที่ของตนเองเพราะเรื่องส่วนตัวได้ เขาต้องช่วยคนที่อยู่ในห้างทุกคน ไม่ใช่แค่ผู้หญิงของตน 

 

 

หลังจากหนานกงเยี่ยรู้ข่าว เขารีบมาที่ห้างเสิ้งหวาทันที เพราะเขารู้ว่าเหลิ่งรั่วปิงอยู่ข้างใน “เฉิงซี สถานการณ์ด้านในเป็นยังไงบ้าง” 

 

 

มู่เฉิงซีวิเคราะห์เหตุการณ์พร้อมกับขมวดคิ้วเป็นปม “ยังไม่แน่ใจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคกำลังตรวจสอบกล้องวงจรปิด แต่ว่าตอนนี้ไฟลุกลามรุนแรงมาก กล้องวงจรปิดบนชั้นสามน่าจะพังหมดแล้ว” 

 

 

ถึงแม้สถานการณ์จะคับขัน แต่ผู้ชายทั้งสองคนมีสติมาก พวกเขาไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาทั่วไป แต่เป็นชายชาตรีที่ได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก ในสถานการณ์คับขันแบบนี้พวกเขาจึงไม่สติแตก 

 

 

เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคเชื่อมต่อกล้องวงจรปิดที่ยังไม่ถูกทำลายในห้างสรรพสินค้าได้แล้ว หนานกงเยี่ยและมู่เฉิงซีตรงไปที่คอมพิวเตอร์พร้อมกัน ภาพจากล้องวงจรปิดของทุกชั้นแสดงผลออกมา พวกเขาเจอตัวเหลิ่งรั่วปิงและเวินอี๋อย่างรวดเร็ว เห็นเหลิ่งรั่วปิงใช้วิธีรุนแรงในการหยุดคนที่พยายามเบียดฝูงชน ที่เธอทำแบบนี้เป็นเพราะต้องการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการเหยียบกันจนตาย ภายใต้การดูแลและสั่งการของเหลิ่งรั่วปิง ทุกคนพากันเข้าแถวแล้วเดินขึ้นไปชั้นบนสุด ส่วนเหลิ่งรั่วปิงเองก็จับมือเวินอี๋เอาไว้แน่น พวกเธอเดินตามอยู่ด้านหลังสุด 

 

 

หนานกงเยี่ยและมู่เฉิงซีต่างก็โล่งอก 

 

 

“ถึงแม้ฉันจะไม่เห็นด้วยที่แกกับเธอคบกัน แต่ฉันไม่ยอมรับไม่ได้จริงๆ ว่าผู้หญิงของแกเก่งมาก” มู่เฉิงซีพูดจากใจจริง 

 

 

หนานกงเยี่ยยิ้มบางๆ เขารู้สึกภูมิใจเล็กน้อย เธอมักจะทำให้เขาเซอร์ไพรส์อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเธอจะเย็นชากับเขาแค่ไหน แต่ทุกอย่างในตัวเธอทำให้ตกหลุมรัก หนานกงเยี่ยจ้องไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เขาอยากจะพาเธอกลับมาเสียตอนนี้ อยากจะกอดเธอแน่นๆ 

 

 

มู่เฉิงซีไม่รอช้า เขาหันหลังแล้วออกคำสั่ง “ส่งเฮลิคอปเตอร์ไปบนดาดฟ้า เพื่อช่วยชีวิตประชาชน” จากนั้นคว้าโทรโข่งขึ้นมาร้องตะโกนบอกกับคนบนตึก “คนที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าตั้งใจฟังนะครับ ผมคือดาบตำรวจมู่เฉิงซีของเมืองหลง ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งเฮลิคอปเตอร์ไปรับทุกคนบนดาดฟ้าแล้ว พวกคุณเรียงแถวขึ้นไปบนดาดฟ้าแบบนี้ต่อไปนะครับ ผมรับปากว่าพวกคุณทุกคนต้องได้รับการช่วยเหลือออกมา” 

 

 

เมื่อคนในตึกที่กำลังขึ้นบันไดไปดาดฟ้าได้ยินเสียงของเขา ต่างพากันดีใจ แล้วรีบเดินขึ้นไปชั้นบน 

 

 

“ได้ยินไหมคะ ดาบตำรวจมู่มาช่วยพวกเราแล้ว” 

 

 

“ได้ยินแล้วครับ พวกเรารอดแล้ว ทุกคนรีบเดินเร็วเข้า บนดาดฟ้ามีเฮลิคอปเตอร์รอรับพวกเราอยู่” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้วแล้วร้องตะโกนบอกกับทุกคน “เข้าแถวกันให้ดี ถ้าใครกล้าเบียดคนอื่นแล้ววิ่งขึ้นไป ฉันจะไม่มีวันปล่อยให้คนคนนั้นออกจากที่นี่ได้เด็ดขาด!” 

 

 

เดิมทีมีคนคิดจะทำอะไรโง่ๆ แต่เมื่อได้ยินเสียงเย็นยะเยือกของเหลิ่งรั่วปิงพวกเขาก็หยุดการกระทำนั้นทันที พวกเขาเชื่อว่าผู้หญิงใจคออำมหิตคนนี้ สามารถหักแขนหักขาพวกเขาก่อนที่จะถึงดาดฟ้าได้แน่นอน 

 

 

ไฟยิ่งอยู่ก็ยิ่งรุนแรง ตอนที่ไปถึงชั้นหก ไฟได้ลุกลามไปถึงชั้นห้าแล้ว อีกทั้งพื้นยังสั่นคลอน ถ้าไฟยังแผดเผาแบบนี้ต่อไป มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดอันตรายเพราะอาคารถล่ม 

 

 

ทุกคนเริ่มกระวนกระวายขึ้นมา 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงโมโหอีกครั้ง “ห้ามใครหน้าไหนขยับทั้งนั้น ต่อแถวกันเอาไว้ ขอแค่พวกเราเข้าแถวกันแบบนี้ พวกเราต้องสามารถขึ้นไปถึงบนดาดฟ้าและนั่งเฮลิคอปเตอร์ก่อนที่จะเกิดอันตรายแน่นอน ไม่อย่างนั้นไม่ว่าใครก็ออกไปจากที่นี่ไม่ได้!” จากนั้นเหลิ่งรั่วปิงหยิบมีดบินออกมา “เห็นมีดในมือฉันไหม ถ้าใครกล้าเบียดคนข้างหน้าอีก ฉันจะเอาชีวิตมันเป็นแรก! ดูสิว่าใครอยากจะลิ้มลองมีดบินของฉัน 

 

 

ความกระวนกระวายที่เกิดจากความหวาดกลัวเงียบลง ทุกคนกลับมาทำตามคำสั่งอีกครั้ง เมื่อกี้ท่าทางของเหลิ่งรั่วปิงตอนหักแขนผู้ชายคนนั้นคล่องแคล่วมาก ใครก็ดูออกว่าเธอต่อสู้เก่ง เธอบอกว่าสามารถใช้มีดบิดเอาชีวิตคนได้ในชั่วพริบตา เรื่องนี้ไม่มีใครไม่กล้าเชื่อ 

 

 

มู่เฉิงซีที่ยืนอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า เขาหยิบโทรโข่งออกมาอีกคั้ง “คนที่อยู่ข้างในฟังนะครับ ทำตามสิ่งที่บอกอย่างเคร่งครัด ตอนนี้เฮลิคอปเตอร์รอทุกคนบนดาดฟ้าแล้ว ห้ามทุกคนยื้อแย้งเบียดเสียดกันนะครับ” 

 

 

หนานกงเยี่ยจ้องมองไปที่เหลิ่งรั่วปิง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมและหลงใหล 

 

 

กลุ่มคนใกล้จะไปถึงดาดฟ้าแล้ว ตัวอาคารเองก็สั่นสะเทือนอย่างน่ากลัว ตอนที่ทุกคนไปถึงดาดฟ้า ตัวอาคารเอียงทำมุมไปทางทิศตะวันตก ทำให้เฮลิคอปเตอร์ไม่สามารถลงจอดได้ คนขับจึงส่งบันไดเชือกลงมา บนดาดฟ้ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยให้การช่วยเหลือ พาประชาชนขึ้นไปบนเฮลิคอปเตอร์ทีละคนๆ 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงและเวินอี๋เป็นคนสุดท้ายของแถว ตอนที่จะถึงตาพวกเธอขึ้นไปบนเฮลิคอปเตอร์ เหลิ่งรั่วปิงได้ยินเสียงทารกร้องไห้ เสียงนั้นดังมาจากด้านในห้าง เธอเป็นนักฆ่า ทำให้การได้ยินเสียงของเธอดีเป็นพิเศษ สามารถได้ยินเสียงที่คนทั่วไปไม่ได้ยิน ถ้าหากว่านี่เป็นเสียงร้องของผู้หญิง เธอไม่มีทางใจดีจนถึงขั้นเสี่ยงอันตรายไปช่วย แต่นี่เป็นเสียงร้องไห้ของทารก ซึ่งสะกิดส่วนที่อ่อนโยนที่สุดในใจของเธอ 

 

 

ด้วยเหตุนี้ เหลิ่งรั่วปิงจึงบอกกับเวินอี๋ “เวินอี๋ เธอขึ้นไปบนเฮลิคอปเตอร์คนเดียวนะ พี่ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ พี่ขอกลับไปดูก่อน” 

 

 

เวินอี๋ตกใจ “พี่รั่วปิง มันอันตรายเกินไป ไฟไหม้รุนแรงมาก อีกทั้งตัวอาคารก็จะถล่มอยู่แล้วนะคะ” 

 

 

“ไม่เป็นไร พี่จะตัดสินใจตามความสมควรเอง” พูดจบ เหลิ่งรั่วปิงหมุนตัวหันหลังวิ่งเข้าไปในตึก 

 

 

หนานกงเยี่ยและมู่เฉิงซีที่ยืนอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตกใจพร้อมกัน พวกเขาสลับภาพกล้องวงจรปิดตามเหลิ่งรั่วปิง  หัวใจของหนานกงเยี่ยเต้น “ตึกตั๊กตึกตั๊ก” ไม่หยุด เขาไม่รู้ว่าเหลิ่งรั่วปิงคิดจะทำอะไร รู้แค่ว่ามันอันตรายมาก 

 

 

เวลานี้ไฟได้ลุกลามไปจนถึงชั้นหกแล้ว ตามทางเดินเต็มไปด้วยควันดำโขมง ตลอดทางเดินมีของตกลงมาตลอดเวลา มีเปลวไฟอยู่ทุกจุด อุณหภมูิสูงขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงคิดว่าเสียงทารกร้องไห้นี้ดังมาจากชั้นสี่ เธอจึงฉีกแขนเสื้อของตนเองมาทำเป็นผ้าปิดจมูก วิ่งหลบสิ่งของที่ตกลงมา สไลด์ชานบันไดหินอ่อนลงไปที่ชั้นสี่ท่ามกลางไฟลุกโหม เพราะทำแบบนี้มันเร็วกว่า 

 

 

กล้องวงจรปิดตั้งแต่ชั้นห้าลงไปถูกทำลายจนหมด ดังนั้นหลังจากที่เหลิ่งรั่วปิงไปถึงชั้นห้า หนานกงเยี่ยก็ไม่เห็นเธอในกล้องวงจรปิดแล้ว ความเป็นห่วงและวิตกกังวลพุ่งขึ้นมา เขาลุกขึ้นพุ่งตัวไปที่อาคาร 

 

 

หนานกงเยี่ยเพิ่งวิ่งไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ถูกมู่เฉิงซีพาตัวกลับมา “หนานกง แกทำอะไร แบบนี้มันเสี่ยงเกินไป เข้าไปไม่ได้เด็ดขาด” เวลานี้ แม้แต่นักดับเพลิงที่เชี่ยวชาญด้านนี้ยังไม่สามารถเข้าไปได้เลย 

 

 

หนานกงเยี่ยร้อนใจจนตาแดงก่ำ เขาสะบัดมู่เฉิงซีทิ้งด้วยความโมโห “แกไม่เห็นหรือไงว่าเหลิ่งรั่วปิงหายไปแล้ว” 

 

 

“เธอเป็นคนตัดสินใจวิ่งกลับไปด้วยตนเอง เหลิ่งรั่วปิงคิดดีแล้วแน่นอน แกฝ่าเข้าไปจากชั้นหนึ่งแบบนี้มันอันตรายเกินไป!” 

 

 

หนานกงเยี่ยไม่รับฟังแม้แต่น้อย “อย่ามายุ่งกับฉัน!” เขาพูดแล้วพุ่งตัวเข้าไป 

 

 

“คุณชายเยี่ย ตั้งสติก่อนครับ” ก่วนอวี้กอดหนานกงเยี่ยเอาไว้ หน้าที่ของเขาตั้งแต่เด็กจนโตคือการปกป้องหนานกงเยี่ย เขาจะทนเห็นหนานกงเยี่ยเข้าไปเสี่ยงอันตรายได้ยังไง 

 

 

“ปล่อย!” หนานกงเยี่ยสะบัดก่วนอวี้ทิ้ง 

 

 

ก่วนอวี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนานกงเยี่ยอยู่แล้ว เขาไม่สามารถสู้กับแรงของหนานกงเยี่ยได้ ก่วนอวี้กระเด็นล้มลงพื้นทันที แต่เขายังคงลุกขึ้นมาแล้ววิ่งไปห้ามหนานกงเยี่ยอีกครั้ง มู่เฉิงซีเห็นแบบนั้น จึงรีบสั่งให้ผู้ช่วยที่มีความสามารถของเขาเข้ามาช่วยกันจับตัวหนานกงเยี่ยเอาไว้ 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงวิ่งฝ่าเปลวไฟ เธออาศัยความสามารถในการได้ยินของตนหาตำแหน่งของทารก ดวงตาของเธอหรี่เล็กลงเพราะควันไฟทำให้แสบและเคืองตา เธอเห็นเสาทับอยู่บนตัวหญิงสาว มุมปากของเธอมีเลือดไหลออกมา เวลานี้หญิงสาวหยุดหายใจแล้ว เธอกอดทารกอายุสองสามเดือนเอาไว้ นี่คงเป็นคุณแม่ยังสาว ในวินาทีที่ต้องเผชิญหน้ากับอันตราย คุณแม่ยังสาวคนนี้เลือกใช้ร่างกายของตนเองปกป้องลูกเอาไว้ 

 

 

ควันโขมงขนาดนี้ แม้แต่ผู้ใหญ่ยังทนไม่ได้ นับประสาอะไรกับทารกน้อย เสียงร้องไห้ของทารกน้อยเบาลงเรื่อยๆ เหลิ่งรั่วปิงไม่คิดอะไรมากอีก เธออุ้มทารกน้อยแล้ววิ่งไปที่บันได มุ่งหน้าไปดาดฟ้า เวลานี้เปลวไฟตามบันไดยังถือว่าไม่รุนแรงเท่าไหร่ แค่มีควันเยอะเท่านั้น 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงวิ่งด้วยความรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานเธอก็วิ่งไปถึงชั้นหกแล้ว 

 

 

“หนานกง หยุดบ้าได้แล้ว รีบมาดูนี่เร็ว เหลิ่งรั่วปิงอยู่ที่ชั้นหก” มู่เฉิงซีตะโกนเสียงดัง 

 

 

หนานกงเยี่ยสะบัดคนที่จับตัวเขาเอาไว้ทิ้งทันที รีบวิ่งไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ พวกเขาต่างเห็นอย่างชัดเจน เหลิ่งรั่วปิงอุ้มเด็กทารกเอาไว้ แท้จริงแล้วเธอกลับไปเพราะไปช่วยทารกนี่เอง 

 

 

ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ ผู้หญิงคนนี้น่านับถือมาก 

 

 

เวลานี้ อาคารสั่นสะเทือนอย่างแรง พร้อมกับเอียงลงอย่างต่อเนื่อง อีกไม่นานก็จะถล่มลงมาแล้ว จู่ๆ ภาพจากกล้องวงจรปิดชั้นหกก็ดับลง หัวใจของหนานกงเยี่ยตกลงไปในเหวลึก 

 

 

การสั่นสะเทือนกะทันหัน ทำให้เหลิ่งรั่วปิงแทบจะยืนไม่อยู่ ตัวของเธอส่ายไปมาหลายต่อหลายครั้ง จนสุดท้ายก็ทรงตัวได้ 

 

 

สถานการณ์แบบนี้ไม่สามารถวิ่งไปบนดาดฟ้าได้ เพราะถ้ารอให้เฮลิคอปเตอร์มาช่วยเธอ ถึงเวลานั้นตึกคงถล่มลงไปแล้ว เธอต้องหาวิธีด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้ เหลิ่งรั่วปิงวิ่งออกไปจากบันไดหนีไฟ เข้าไปยังโซนด้านในของห้างสรรพสินค้าเพื่อมองหาสิ่งที่สามารถนำมาช่วยตนเองได้ 

 

 

ควันที่ชั้นหกไม่หนาเท่าไหร่ พอจะมองเห็นป้ายตามโซนต่างๆ สายตาดุจเหยี่ยวของเธอกวาดมองไปรอบๆ ด้วยความรวดเร็ว สายตาเหลือบไปเห็นป้ายหนึ่งที่สะดุดตา โซนขายอุปกรณ์กระโดดร่ม 

 

 

นี่เป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่ดีมาก! 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงไม่คิดอะไรมาก เธอวิ่งไปแล้วเปิดกล่องอย่างรวดเร็ว หยิบอุปกรณ์กระโดดร่มออกมา อาศัยความรู้ของตนเองสวมใส่อุปกรณ์อย่างรวดเร็ว หลังจากใส่เรียบร้อยแล้วนั้น เธอกอดทารกเอาไว้แน่น 

 

 

จากนั้น วิ่งไปหน้าต่างของชั้นหก เปิดหน้าต่างที่ถูกเผาไปแล้วออก แล้วกระโดดลงไป 

 

 

เสียงร้องตะโกนด้วยความตกใจจากชั้นล่างดังขึ้น “อ๊า! ดูนั่นเร็ว มีคนกระโดดตึก!” 

 

 

หนานกงเยี่ยเงยหน้าขึ้น มองไปยังหน้าต่างชั้นหกที่มีคนกระโดดออกมา ม่านตาของเขาหดเล็กลงทันที เขาวิ่งออกไปตามสัญชาตญาณ