บทที่ 109 ความรับผิดชอบของตัวเอง

คู่ชะตาบันดาลรัก

“ตัวฝู!”

ท่าทางของตัวฝูนั้นน่ากลัวมาก โลหิตชั่วร้ายแทบจะกลืนกินทั่วร่างกายของนาง กล้ามเนื้อบนใบหน้าบิดเบี้ยว เปลือกตาหมุนไปมาไม่หยุดราวกับโรคร้ายกำเริบก็ไม่ปาน

หยางชูตะโกน “วิญญาณร้ายล่ะ!”

“วิญญาณร้ายเข้าไปในร่างนางแล้ว”

หยางชูตกตะลึง “แล้วเราจะทำอย่างไรดี”

หมิงเวยกัดฟัน เนื่องจากตัวฝูใช้ร่างกายของตนเพื่อรับวิญญาณชั่วร้ายแทนนางจึงไม่สามารถทำให้การเสียสละของนางนั้นเปล่าประโยชน์ได้ นางมีโชคชะตาหยางบริสุทธิ์ สามารถยับยั้งวิญญาณชั่วร้ายได้อยู่แล้ว

นางจับตัวฝูไว้และดึงยันต์ออกมาเปลี่ยนเป็นพลังแล้วติดไปที่ส่วนบนของกะโหลกศีรษะตัวฝู

เมื่อติดเข้าไปโลหิตชั่วร้ายบนร่างของตัวฝูก็ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างกะทันหันจนมีเลือดไหลออกมาจากปากและจมูกของนาง

หมิงเวยสัมผัสที่หลังศีรษะก็พบว่ามีบาดแผล นางรู้สึกโกรธมาก

บาดแผลนี้ต้องเป็นฝีมือของนายท่านสามเป็นแน่ ตอนนี้ชีวิตของตัวฝูสำคัญกว่า ไว้ค่อยมาคิดบัญชีกับนายท่านสามในภายหลังก็แล้วกัน

เมื่อคิดเช่นนี้นางก็นำหยกแขวนที่ยืมมาจากเจี่ยงเหวินเฟิงยัดใส่มือของตัวฝู หยิบยันต์ออกมาใส่พลังแล้วติดไปที่ส่วนบนของกะโหลกศีรษะอีกครั้ง

ติดยันต์ไปทีละใบๆ พลังหลั่งไหลออกมาจากส่วนบนของกะโหลกศีรษะอย่างต่อเนื่องไม่หยุด

ทุกครั้งที่ติดแสงสีแดงจากร่างกายของตัวฝูจะส่องสว่างขึ้น และจะมีเลือดไหลออกจากปากและจมูกของนางมากยิ่งขึ้น

เวลาเพียงไม่นานเลือดก็ไหลอาบหน้าของตัวฝูยิ่งทำให้นางดูน่ากลัวมากขึ้น

“เป็นอย่างไรบ้าง” หยางชูเดินเข้ามาหา “นางจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

“ไม่!” หมิงเวยพูดเสียงเด็ดขาด “ข้าจะไม่ให้นางเป็นอะไรเด็ดขาด! ตอนนี้เลือดไหลเป็นเพราะว่าสิ่งชั่วร้ายในร่างของนางต้องการออกมา ขอเพียงแค่นางกลืนกินโลหิตชั่วร้ายได้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”

พูดจบหมิงเวยก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “ตัวฝู! เจ้าได้ยินเสียงข้าหรือไม่ เจ้าเป็นผู้มีชะตาหยางบริสุทธิ์ เกิดมาเพื่อปราบปรามความชั่วร้าย อย่ากลัวเจ้าสามารถปราบมันได้!”

ตัวฝูกลอกตาไปมาอย่างรวดเร็วมีเลือดไหลออกจากปากและจมูกมากขึ้น

“จับนางเอาไว้!” หมิงเวยสั่งแล้วรับกริชจากมือของหยางชู

“ท่านจะทำ…” หยางชูไม่เข้าใจว่านางจะทำอะไร

ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบหมิงเวยก็ได้กรีดข้อมือของตนเองจนเลือดพุ่งออกมา แล้ววาดวงเวทรอบกายตัวฝู

พอวาดเสร็จนางก็คุกเข่าลง และกอดร่างที่สั่นเทาไว้ในอ้อมแขนของตนอย่างนุ่มนวล “ไม่ต้องกลัว ตัวฝู ข้าอยู่กับเจ้าที่นี่ พวกเรามาเอาชนะสิ่งชั่วร้ายนี้ด้วยกันเถอะ”

พลังไหลไปตามวงเวทที่ถูกวาดด้วยเลือดจนเกิดม่านพลังโอบล้อมทั้งสองคนไว้

สีหน้าของหมิงเวยค่อยๆ ซีดลงราวกับว่าเลือดในกายของนางหมดแล้ว

นางฟื้นฟูพลังได้เพียงสองเดือนและพลังของนางอ่อนแอเกินไป

“ท่านต้องการความช่วยเหลือหรือไม่” หยางชูตะโกน

หมิงเวยเหลือบมองเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ท่านเป็นสายเลือดมังกร เกิดมามีดวงชะตาไม่ถูกกับสิ่งชั่วร้าย…”

เมื่อนางกล่าวจบหยางชูก็กรีดข้อมือของตนเองและเลือดก็หยดลงบนวงเวทที่นางวาดไว้ก่อนหน้านี้

“….” หมิงเวยยิ้ม “ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”

“เป็นไปไม่ได้!” ดวงตาของนายท่านสามแดงก่ำ “ในบันทึกบอกไว้ว่าสิ่งชั่วร้ายนี้ได้เคยทำลายเมืองๆ หนึ่งขึ้นมาแล้ว พวกท่านจะผนึกมันได้อย่างไรกัน”

หยางชูพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านบอกว่าปราบไม่ได้ก็คือปราบไม่ได้งั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นก็มองดูซะ!”

ในเวลานั้นทางเดินเขาด้านล่างวัดเป่าหลิงก็สว่างไสวราวกับมังกรตัวยาวลอยขึ้นมาบนภูเขา

“ฮ่าๆๆ!” หยางชูหัวเราะเสียงดัง “นายท่านสาม ท่านเห็นหรือไม่นั่นคือกองทัพที่คนของเรานำขึ้นมาแผนการของท่านล้มเหลวแล้ว!”

หลังจากนั้นไม่นานเหลยหงและอาสวนก็ได้พาทหารมายังที่หินเทพธิดา

“คุณชาย!” เหลยหงคารวะ “ข้าน้อยปฏิบัติภารกิจลุล่วงวัดเป่าหลิงอยู่ภายใต้การควบคุมของเราแล้วขอรับ”

อาสวนก้าวไปข้างหน้าแล้วรายงาน “คุณชายขอรับ อาหว่านได้พบคนผู้หนึ่ง ด้วยความช่วยเหลือของคนผู้นี้พวกเราจึงจับตัวคนชั่วได้ทันเวลา”

สายลมยามค่ำคืนพัดมา บุรุษในชุดสีฟ้าค่อยๆ เดินขึ้นบันไดหินภายใต้การคุ้มครองขององครักษ์

นายท่านสามเมื่อเห็นคนผู้นั้นก็โกรธจนยั้งอารมณ์ไว้ไม่ได้ “น้องสี่!”

คนสองคนที่มีใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะมองหน้ากัน สีหน้าของนายท่านสี่ช่างไร้อารมณ์ “พี่สาม เส้นทางสายนี้ไปไม่รอดแล้วท่านยอมแพ้เสียเถอะ”

นายท่านสามหัวเราะเยาะ “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร ไอ้คนไร้ประโยชน์!”

“ข้ามันไร้ประโยชน์” นายท่านสี่พูดเสียงเบา “พวกเราเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน สติปัญญาความสามารถทั้งหมดรวมอยู่ในตัวท่าน แต่ว่าพี่สาม ถึงข้าจะโง่ แต่ก็รู้ว่าเรื่องไหนที่ข้าสามารถทำได้ และเรื่องไหนที่ข้าทำไม่ได้ ส่วนท่านนอกจากทำให้ผู้คนถึงแก่ความตายคนแล้วคนเล่า ท่านได้อะไรงั้นหรือ ตระกูลหมิงไม่สามารถกลับมาเจริญรุ่งเรืองได้เพราะท่าน ทุกคนล้วนเดินไปถึงทางตัน”

“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร!” นายท่านสามตวาด “เส้นทางที่ข้าเดิน มีแต่ท่านปู่เท่านั้นที่เทียบได้!”

นายท่านสี่ส่ายหน้า “พี่สาม สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ ท่านปู่มีคุณงามความดีในเรื่องนี้ซึ่งเป็นทั้งพรสวรรค์และโชค วันนี้ไม่เป็นอย่างที่ท่านวาดไว้ หมายความว่าท่านไม่มีโชคในเรื่องนี้ ถึงวันนี้ข้าไม่มาท่านก็แพ้อยู่ดี”

เขาพูดจบก็มีองครักษ์เดินขึ้นบันไดมารายงานว่า “คุณชายขอรับ! ข้าน้อยได้ทำลายอาวุธชั่วร้ายและจับกุมพวกเขาทั้งสามคนได้แล้วขอรับ”

นายท่านสี่ยิ้มอย่างประชดประชัน “ดูสิ แผนการของท่านสำเร็จตรงไหนกัน แม้แต่จวิ้นอ๋องเองยังเฝ้าดูอย่างนิ่งดูดาย เหตุใดท่านถึงต้องทุ่มเทเพื่อเขามากมายเพียงนี้ด้วย”

“เขาไม่ได้ทำเพื่อผู้อื่น”

เจี่ยงเหวินเฟิงก้าวขึ้นบันไดหินอย่างช้าๆ และมองไปที่นายท่านสาม “เขาทำเพื่อตอบสนองความทะเยอทะยานของตัวเขาเองต่างหากเล่า”

นายท่านสามยิ้มเยาะและปิดปากไม่พูดอะไร ไม่ว่าเขาจะพูดมากแค่ไหน คนเหล่านี้ก็ไม่เข้าใจหรอก

แต่ถึงเขาไม่พูดข้อมูลเหล่านั้นก็ถูกส่งต่อมาทีละคนๆ

เหลยหงนำกำลังทหารม้ามาล้อมรอบวัดเป่าหลิง คนของเขาที่อยู่ในวัดเป่าหลิงล้วนถูกจับกุมหมดแล้ว ยุ้งฉางใต้ดินถูกเปิดเผยและพระสงฆ์ทั้งหมดในวัดเป่าหลิงถูกจับ

ฉีตงจวิ้นอ๋องไม่เพียงแต่ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยยังส่งคนไปบอกเจี่ยงเหวินเฟิงอีก ยังมีเรื่องจำเป็นอะไรให้เขาต้องพูดอีกเล่า

นายท่านสามยิ้มเยาะในใจ

ช่างโง่อะไรอย่างนี้! คิดว่าเป็นเช่นนี้แล้วเขาจะรอดตัวได้อย่างนั้นหรือ ตราบใดที่เคยทำอะไรบางอย่างมาก็จะมีเงื่อนงำหลงเหลืออยู่เสมอ คดีใหญ่ของวัดเป่าหลิงทำให้เจี่ยงเหวินเฟิงมีเหตุผลที่จะอยู่ต่อไปและจะมีการตรวจสอบครั้งใหญ่ในไม่ช้า

เมื่อถึงเวลานั้น ขอเพียงจับเส้นหนึ่งได้ก็สามารถดึงหัวไชเท้าออกจากโคลนได้แล้ว

เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องฉีตงจวิ้นอ๋องเลยเพราะอีกไม่นานตระกูลนี้ก็จะจบลงแล้ว

ทันใดนั้นอาสวนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงก้าวไปข้างหน้าแล้วคว้าตัวนายท่านสาม เพียงแค่บีบคางของนายท่านสามเลือดสีดำก็ไหลออกมาจากมุมปากของเขา

แม้กระทั่งตอนตายดวงตาของเขาก็ยังคงเปิดอยู่…

เจี่ยงเหวินเฟิงไม่คาดคิดว่าเขาจะเลือกวิธีการตายเช่นนี้ การฆ่าตัวตายโดยการกินยาพิษส่วนใหญ่เป็นวิธีของทหารหน่วยกล้าตาย

นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าคนผู้นี้โหดเหี้ยมเพียงใด เขาไม่แม้แต่จะคิดหาทางหนีให้ตนเองเลย

เขาส่ายหน้า “จับกุมเขาไป พรสวรรค์เช่นนี้ช่างน่าเสียดายจริงๆ…”

หยางชูไม่รู้สึกว่าน่าเสียดายเขาพูดว่า “สถานการณ์ในตอนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของเราแล้ว เรื่องที่เหลือรบกวนใต้เท้าเจี่ยงโปรดดูแลเป็นพิเศษด้วย”

เจี่ยงเหวินเฟิงประสานมือคารวะ “แน่นอนขอรับ”

เขามองไปที่หมิงเวยและตัวฝูที่ห้อมล้อมไปด้วยแสงสีแดง “แล้วคุณหนูเจ็ด พวกนาง…”

“ข้าจะคุ้มครองนางเอง” หยางชูถอนหายใจ “นางบอกว่าข้าเป็นลูกหลานมังกร สามารถปราบปรามสิ่งชั่วร้ายได้ ภัยพิบัติที่มนุษย์ก่อขึ้นได้คลี่คลายลงแล้ว ตอนนี้เราต้องเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ ใต้เท้าเจี่ยงโปรดพาคนที่อยู่ในวัดเป่าหลิงออกไปโดยเร็วที่สุด หากวิญญาณชั่วร้ายหลุดพ้นออกไปเกรงว่าจะไม่ทันการ”

เจี่ยงเหวินเฟิงตกใจ “คุณชาย มันอันตรายเกินไปสำหรับท่านที่จะอยู่ที่นี่”

หยางชูยิ้มบาง “มีคนโง่สองคนต้องการรับผิดชอบใต้หล้า ข้าจะทำอย่างไรได้ นี่เป็นแผ่นดินที่เสด็จปู่ทวดได้สร้างเอาไว้ ข้าเสวยสุขมาหลายปีเพียงนี้ก็ถือว่าปกป้องเพื่อท่านย่าแล้วกัน”

…………………………………………….