ตอนที่ 99 หัวขโมยตัวน้อย!

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

เฉินจิ้งแทบจะเป็นบ้า ตอนแรกคิดจะรอพวกคนที่มาไหว้พระ ว่าจะอาศัยข้อได้เปรียบจากการวิจารณ์มาบีบฟางเจิ้งให้ยอมจำนน แต่รอมาวันหนึ่งไม่มีใครมาเลย ฟ้าใกล้จะมืดแล้วก็นึกถึงเรื่องราวที่ประสบเมื่อคืนวาน เฉินจิ้งรับไม่ไหวจริงๆ

ท้องร้องดังจ๊อกๆ ไม่เท่าไร เดินเร็วหน่อยก็เจ็บ เหมือนมีแผ่นกระเบื้องกลิ้งไปมาในท้อง

ขยับเจ็บ ไม่ขยับ หิว หนาว!

ดวงจันทร์ค่อยๆ ลอยขึ้นฟ้า เฉินจิ้งรู้สึกแค่ว่าของในท้องเริ่มขยับลงข้างล่าง ทำเอาตกใจจนเกร็งรูทวาร หรือว่าจะคลอดแล้ว?

พอคิดได้ดังนั้นเฉินจิ้งก็แทบจะวิญญาณออกจากร่าง การคลอดเด็กปกติต้องมีผู้ทำคลอดกับการเตรียมพร้อมต่างๆ ในวันหิมะตกแบบนี้ เขาจะคลอดจริงๆ เหรอ…ถ้าหาก…แท้งล่ะจะทำยังไง?

เฉินจิ้งยิ่งคิดยิ่งกลัว…

พอกลัวก็หมดแรงล้มลงนั่งกับพื้น วัตถุในท้องขยับลงมาตลอด มีความรู้สึกเหมือนฟ้าถล่ม เฉินจิ้งรู้สึกว่าในความคิดขุ่นมัว ไม่คิดอะไรแล้ว เกิดความรู้สึกอยากระเบิดตัวตาย ไม่เห็นความหวังสักนิด

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร เฉินจิ้งพลันถอนหายใจ “ช่างเถอะ ตอนแรกไม่มีความแค้นต่อกัน ฉันกลับจะทำลายชื่อเสียงเขา…บางทีนี่คงเป็นกรรมของเรา ทำชั่วก็ได้ชั่ว…คลอดลูก? คลอดก็คลอดเถอะ ยอมรับเวรกรรมที่ทำไว้…” พอคิดได้ดังนั้นเฉินจิ้งกัดฟันลุกขึ้นเตรียมจะลงเขา

ตอนนี้เองมีเสียงสวดดังมาจากในวัด “อมิตพุทธ ประเสริฐๆ โยมหันกลับมา น่ายินดีจริงๆ”

สิ้นเสียงเฉินจิ้งรู้สึกว่าท้องเบาลง ก้มหน้ามองหน้าท้องแบนราบแล้ว!

“นี่…” เฉินจิ้งมองภาพที่แทบจะเป็นไปไม่ได้อย่างอึ้งๆ ก่อนหันไปมองวัดเอกดรรชนีเล็กๆ พลันรู้สึกว่าวัดเอกดรรชนีสูงมาก สูงใหญ่! น่าเกรงขามอย่างยิ่ง เหนือกว่าวัดทุกแห่งหน!

เฉินจิ้งหันไปมองก่อนโค้งตัวคารวะวัดเอกดรรชนีสามครั้ง “ขอบคุณมากครับ ไต้ซือ!”

พูดแค่ขอบคุณ แต่ไม่ได้บอกว่าขอบคุณอะไร แต่เฉินจิ้งกับฟางเจิ้งเข้าใจความหมายของกันและกัน สองคนต่างยิ้มพร้อมกัน

ฟางเจิ้งมองตนเองที่บุญกุศลเพิ่มมาเล็กน้อยด้วยรอยยิ้ม ที่ไม่พอใจมีอย่างเดียวคือเหตุผลของเฉินจิ้งอยู่ที่ตัวเขาเอง ดังนั้นเลยไม่มีโอกาสจับรางวัล

เฉินจิ้งบินสูงและตกต่ำลงจึงมองเห็นข้อบกพร่องของตัวเองด้วยรอยยิ้ม เขาเชื่อว่าของที่เสียไปไม่มีทางเอากลับมาได้ อีกทั้งไปไกลและอยู่สูงมากกว่าเดิมด้วย!

ทว่าปัญหาของเฉินจิ้งยังไม่จบลง เพิ่งกลับบ้านพ่อแม่ก็มาหา ไม่ว่าเขาจะพูดยังไงก็จะบังคับให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลให้ได้…

จากนั้นนักข่าวที่มา หมอซุน ผู้เชี่ยวชาญอู๋ ผู้อำนวยการจ้าวเป็นต้นตาค้างทั้งหมด!

“เด็กล่ะ? แผ่นกระเบื้องล่ะ?” ทุกคนมองภาพอัลตราซาวด์สีอันใหม่ ในความคิดมีแต่เครื่องหมายคำถาม

“พ่อแม่เห็นไหม…ผมบอกแล้วว่าจะมาทำไม? บอกแล้วว่าไม่ได้ท้อง! ผมเป็นผู้ชายจะท้องได้ยังไง? เครื่องตรวจพวกคุณต่างหากที่เสีย!” พูดจบเฉินจิ้งก็ดึงบิดามารดาไป

หมอซุนมองไปรอบๆ ถังถังไม่อยู่จึงถอนหายใจโล่งอก ไม่ต้องกินเครื่องตรวจแล้ว…

ผู้เชี่ยวชาญอู๋พูดด้วยความโมโห “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

หมอซุนมองฟ้า “บางที เครื่องอาจจะเสีย…”

ผู้อำนวยการจ้าวหนีไปนานแล้ว เขาไม่อยากรับผิดชอบไปมากกว่านี้ ส่วนนักข่าวที่มาทำข่าวต่างแยกย้ายกันอย่างผิดหวัง

ผู้อำนวยการจ้าวยังไม่ได้กลับบ้านแต่ตามเฉินจิ้งไป ดึงเฉินจิ้งไปข้างๆ กล่าวเสียงเบา “เมื่อวานตอนดึกคุณไปไหนมา?”

เฉินจิ้งแสร้งไม่รู้เรื่อง “ไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น สภาพจิตใจผมไม่ดีน่ะเลยไปดื่มแก้กลุ้ม ทำไมเหรอ?”

“ดื่ม? ดื่มกับหลวงจีนใช่ไหมครับ?” ผู้อำนวยการจ้าวปิ๊งความคิดขึ้นมา

เฉินจิ้งได้ยินดังนั้นก็ตึงเครียด แทบจะหลุดปากออกไป “คุณรู้ได้ยังไง?” แต่ถึงยังไงเขาเป็นคนที่เคยผ่านการฝึกฝนอย่างยากลำบากในสังคมมาก่อน จึงเปลี่ยนคำในช่วงเวลาสำคัญได้ “ผู้อำนวยการ ผมจะไปดื่มกับหลวงจีนทำไม? อีกอย่างนะในอำเภอมีหลวงจีนที่ไหน คุณคิดอะไรอยู่กันแน่?”

ผู้อำนวยการจ้าวมองเฉินจิ้งอย่างสงสัย น่าเสียดายเฉินจิ้งไม่แสดงพิรุธทางสีหน้าเลย จึงได้แต่ปล่อยผ่าน

ทว่าผู้อำนวยการจ้าวก็ยังไม่ยอม เขามักรู้สึกว่เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวกับภูเขาเอกดรรชนี! เขารู้ว่าเฉินจิ้งเกี่ยวข้องยังไงกับภูเขาเอกดรรชนี ก็ไอ้หนูนี่เขียนข่าวสาดโคลนหลวงจีนที่วัดเอกดรรชนีซะเยอะเลย…

“ต้องหาเวลาขึ้นไปดูสักหน่อยว่ามันเป็นที่แบบไหนกันแน่…” ผู้อำนวยการจ้าวพึมพำก่อนกลับเข้าโรงพยาบาล

วันที่สองฟ้าสาง ฟางเจิ้งตื่นนอนแต่เช้า ปัดกวาดอุโบสถ วันใหม่เริ่มอีกครั้ง

ยามว่างเขาจะดูเงินในบัญชี และจะรู้สึกว่าตนใช้ชีวิตอยู่บนสวรรค์

บางทีอาจเป็นผลจากการประลองศิลปะพู่กันจีนหรืออะไรสักอย่าง สองวันนี้เริ่มมีคนมาไหว้พระเยอะขึ้น น่าเสียดายเนื่องจากหน้าหนาว ถนนลื่น คนบนเขาเลยน้อยมาก ปกติจะเป็นวัยหนุ่มแน่น คนที่มาส่วนมากจะขอลูก

เวลาขยับผ่านไปเกือบครึ่งเดือน ฟางเจิ้งมองคะแนนจุดธูปสามสิบดอกอย่างพอใจมาก ตามอัตราความก้าวหน้าแบบนี้ เดาว่าตอนเริ่มฤดูใบไม้ผลิคงใกล้จะสำเร็จภารกิจ! และก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้ระบบจะให้รางวัลอะไร

แต่สองวันนี้ฟางเจิ้งกลับไม่สบายใจ สาเหตุก็ธรรมดามาก วัดมีขโมย!

“แปลก! ข้าวผลึกฉันน้อยลงอีกแล้ว! นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย? หมาป่าเดียวดาย! มานี่ บอกความจริงมา นายขโมยใช่ไหม?” ฟางเจิ้งจ้องหมาป่าเดียวดาย

หมาป่าเดียวดายเห่าสองที…

“ไม่ใช่นาย? นอกจากฉันกับนายแล้วในวัดจะมีใครแตะต้องข้าวผลึกได้อีก? สารภาพมาเถอะ พอให้อภัยได้ แต่ถ้ายังปฏิเสธจะจัดการขั้นเด็ดขาด” ฟางเจิ้งกล่าว

หมาป่าเดียวดายเห่าด้วยความคับอกคับใจ

“ไม่ใช่นายจริงๆ เหรอ?”

“โฮ่งๆ…”

“เฮ้ย…แปลกจริงๆ แล้วใครขโมย?” ฟางเจิ้งพึมพำพลางกดหมาป่าเดียวดายข้างโอ่งข้าว “จะให้ภารกิจนาย คอยดูโอ่งข้าวไว้! ถ้าพรุ่งนี้ข้าวยังหาย จะลดข้าวนายลง!”

หมาป่าเดียวดายพยักหน้ารัวๆ ข้าวในบ้านหาย และก็เป็นข้าวของมันด้วย จึงเก็บความโมโหไว้! มันก็อยากรู้เหมือนกันว่าไอ้สารเลวตัวไหนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงกล้าขโมยข้าวของท่านหมาป่า แถมยังต้องรับผิดแทนอีก!

ตกดึก ฟางเจิ้งกำลังนอนหลับปุ๋ย พลันได้ยินเสียงเห่าของหมาป่าเดียวดายจึงรีบลุกขึ้นตะโกน “จับได้แล้วเหรอ?”

ฟางเจิ้งวิ่งไปจนถึงห้องครัวก็ต้องตะลึงค้าง!

เห็นหมาป่าเดียวดายขวางอยู่ที่ประตู เงยหน้ามองกันสาดด้วยหน้าโมโหและจนปัญญา

ฟางเจิ้งมองกันสาด เห็นบนกันสาดมีกระรอกหางใหญ่ตัวหนึ่งเคี้ยวแก้มตุ่ยๆ นั่งยองอยู่บนคานห้อง กำลังก้มหน้าสบตากับหมาป่าเดียวดาย! อย่ามองว่ามันตัวเล็ก เพราะมันไม่แสดงความอ่อนแอแม้แต่น้อย แถมยังวาดกงเล็บเล็กๆ ให้หมาป่าเดียวดายพลางร้องเสียงจี๊ดๆ “เห่าอะไรอยู่ได้? นี่ของฉัน! ข้าวที่ฉันได้มาด้วยความสามารถ ทำไมต้องให้นายล่ะ? เก่งจริงก็ขึ้นมาสิ! ขึ้นมาแล้วจะให้!”

หมาป่าเดียวดายเห่าเสียงดัง “ไอ้ชั่ว ขโมยของฉัน ลงมาสิ คอยดูว่าฉันจะกินแกไหม!”

เจ้าสองตัวนี้โต้ตอบกัน แต่ว่าภาษาต่างกันทั้งหมด ฟางเจิ้งเข้าใจแล้ว เจ้าสองตัวนี้ไม่ใช่สัตว์ชนิดเดียวกันเลยไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดอะไร แค่เห่าไปมั่วๆ เท่านั้น

……………