ตอนที่ 100 ยกระดับเนตรสวรรค์

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

ฟางเจิ้งตบหัวหมาป่าเดียวดายพลางหัวเราะ “ก็ว่าใครมาขโมยข้าวอาตมา ที่แท้ก็เจ้าตัวน้อยนี่เอง”

กระรอกได้ยินดังนั้นก็ตกใจสะดุ้ง จ้องฟางเจิ้ง “นายพูดได้เหรอ?”

ฟางเจิ้งพลันถูกคำพูดกระแทกรัวๆ เขาพูดได้เหรอ? แล้วเขาพูดไม่ได้ตั้งเมื่อไรกัน?

ฟางเจิ้งกล่าว “แน่นอนว่าอาตมาพูดได้ กระรอกก็มีภาษาของกระรอก หมาป่าก็มีภาษาของหมาป่า คนก็มีภาษาของคน ทุกชีวิตต่างมีภาษาตัวเอง มีเพียงบางคนที่ไม่เข้าใจเท่านั้น เจ้าตัวน้อย นายขโมยข้าวอาตมาใช้ไม่ได้เลยจริงไหม? หรือนายไม่มีอาหารพอสำหรับผ่านฤดูหนาว?”

“ข้าวของนายอะไร? ฉันเก็บมาจากตรงนั้นต่างหาก ส่วนอาหารที่กักตุนไว้ฉันทิ้งไปแล้ว ผลไม้เปลือกแข็งพวกนั้นอร่อยสู้ข้าวนี่ไม่ได้เลย” กระรอกกล่าวอย่างมีเหตุผล

ฟางเจิ้งถูกกระรอกเจ้าเล่ห์หยอกล้อ เจ้านี่พูดมีเหตุผล หน้าอกเล็กๆ ยืดขึ้นสูง ทว่าดวงตากลับกลอกไปมา เห็นได้ชัดว่ามีพิรุธ

ฟางเจิ้งยิ้ม “ช่างเถอะ นายอย่าขโมยอีก ถ้าหิวก็มากินกับฉัน”

เจ้ากระรอกงุนงง ก่อนถามด้วยความระแวง “นายพูดจริงเหรอ?”

ฟางเจิ้งประนมสองมือโดยจิตใต้สำนึก “อมิตพุทธ จริงแน่นอน ข้าวแค่นิดหน่อยอาตมาไม่เสียดายหรอก แต่ว่านายห้ามขโมยไปเก็บไว้ อยากกินเมื่อไรก็กินเข้าใจไหม?”

เจ้ากระรอกส่ายหางอันใหญ่พลางเกาหัว “ถ้าอย่างนั้น…ฉันกินเท่าไรก็ได้เลยเหรอ?”

“จนอิ่มเลย” ตอนนี้ฟางเจิ้งมีข้าวผลึกร้อยจิน มากพอให้เขาผ่านฤดูหนาวแล้ว การเลี้ยงกระรอกน้อยตัวหนึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

เจ้าตัวน้อยดีใจใหญ่ กระโดดตีลังกาอยู่กับที่ “ดีๆๆ…ถ้าอย่างนั้น ในเมื่อนายให้ฉันกิน พวกนายช่วยหลีกทางได้ไหม?”

ฟางเจิ้งตะลึงงัน จากนั้นส่ายหน้า รู้สึกว่าเจ้าตัวนี้ไม่น่าเชื่อถือเลย ยังคิดจะใช้ลูกไม้ให้ฟางเจิ้งหลบ ก่อนอาศัยจังหวะหนีไป

แต่ฟางเจิ้งไม่ได้คิดจะสร้างความลำบากให้มันจริงๆ จึงเดินกลับไปนอนในห้อง

ส่วนหมาป่าเดียวดายไม่ต้องรับผิดแทนแล้ว ฟางเจิ้งให้กระรอกกินแล้วมันจะพูดอะไรได้? จึงสะบัดหางวิ่งออกไป เข้าไปในป่าข้างหลังภูเขา

หลายวันต่อมากระรอกมาทุกวัน ทว่าไม่ได้มาตอนกินข้าว แต่รอฟางเจิ้งออกไปแล้วถึงมากิน เห็นฟางเจิ้งไม่สนใจมันจริงๆ เจ้านี่ถึงเริ่มกล้ามากขึ้น

โดยเฉพาะช่วงหลายวันมานี้ ตอนฟางเจิ้งกินข้าวก็มักจะเห็นเงากระรอกบ่อยๆ

หนึ่งสัปดาห์ต่อมากระรอกไว้ใจฟางเจิ้งมากขึ้น มันเริ่มเข้ามาใกล้ตอนฟางเจิ้งกินข้าว ซึ่งกลิ่นหอมกว่าข้าวที่ยังไม่สุกอีก จนในที่สุดมันก็ทนความตะกละไม่ไหว ขยับเข้ามาใกล้ทีละนิด

ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นเลยยิ้มน้อยๆ ตักข้าวผลึกมาปั้นเป็นก้อนเล็กแล้ววางไว้บนโต๊ะ กระรอกเห็นจึงมองฟางเจิ้งด้วยความสงสัย

“เอาไปกินสิ” ฟางเจิ้งกล่าว

กระรอกมองหมาป่าเดียวดายด้วยความระแวงอีกแวบหนึ่ง แต่หมาป่าเดียวดายกลับขี้เกียจจะสนใจมัน แต่แลบลิ้นไปทางข้าวก้อนนั้นด้วยมาดว่าถ้านายไม่กินฉันจะจัดการเอง

กระรอกรีบกระโดดขึ้นโต๊ะ อุ้มก้อนข้าวไว้พลางถลึงตามองหมาป่าเดียวดาย ก่อนโค้งตัวลงชิมข้าวผลึก จากนั้นเจ้าตัวน้อยก็เหมือนกับมอเตอร์ทำงาน ทำการกินข้าวอย่างว่องไว อิ่มจนนอนกับพื้นไม่ยอมขยับตัว

ฟางเจิ้งอาศัยจังหวะนี้บีบหัวเจ้าตัวเล็กพลางพูดยิ้มๆ “นายตะกละชะมัด จากนี้กินน้อยๆ หน่อย กินมากเดี๋ยวจะอิ่มจนช๊อค”

กระรอกน้อยพลันตึงเครียดขึ้นมา แต่ฟางเจิ้งแค่จับมัน ไม่ได้คิดจะทำร้ายจึงผ่อนคลายลง แต่หรี่ตาลงสบายจากการที่ฟางเจิ้งคลึงเคล้า

ตั้งแต่วันนี้ไปฟางเจิ้งกินข้าวไม่เหงาอีก เขากินข้าว หมาป่านั่งกินบนพื้น บนหัวหมาป่าเป็นกระรอกอุ้มก้อนข้าวกินอยู่ กินเสร็จหมาป่าก็เริ่มวิ่งไล่จับกันไปทั่ว ก่อความวุ่นวายกันใหญ่…

แต่ฟางเจิ้งไม่เคยห้าม ตรงกันข้ามเขากลับพอใจกับชีวิตเงียบสงบแบบนี้มาก

เวลาผ่านไปทีละวัน หิมะพลันตกหนักจนขวางเส้นทางขึ้นเขา เลยไม่มีญาติโยมมาอีก ในที่สุดก็ผ่านไปหนึ่งเดือน ต้อนรับเดือนสิบสองอันหนาวเหน็บ ในที่สุดก็มีเสียงเคาะประตูใหญ่วัดเอกดรรชนี

หม่าหยวนเดินเข้ามาก่อนพูดด้วยความตื่นเต้น “พี่ใหญ่ฟางเจิ้ง วัดพี่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ! หลิวเซียงท้องแล้ว! ฮ่าๆ…”

“อมิตพุทธ ยินดีด้วยๆ” ฟางเจิ้งดีใจแทนหม่าหยวน เพียงแต่ในใจมีความขมขื่นเล็กน้อย อีกฝ่ายอายุน้อยกว่าเขาแต่แต่งงานมีลูกแล้ว แม้จะยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่ก็ใกล้แล้ว ตนยังครองโสด อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย แม้แต่คนยังยากจะได้เจอ! มีแต่สัตว์สองตัวแถมยังเป็นตัวผู้อีก! คงจะผ่านช่วงเวลานี้ไปไม่ได้แล้ว…

หม่าหยวนมาแจ้งข่าวดี แถมยังเอาหัวไชเท้า ผักกาดขาว ถั่วมาให้ด้วย ของพวกนี้คือผักที่คนในหมู่บ้านต้องเตรียมไว้ผ่านฤดูหนาว

ฟางเจิ้งขอบคุณหม่าหยวนอีกครั้ง หม่าหยวนเข้าไปจุดธูปชั้นดีด้วยความยึดมั่น จากนั้นอยากเชิญฟางเจิ้งลงเขาไปดื่มสุรา แต่ฟางเจิ้งลงเขาไม่ได้จึงปฏิเสธ พอส่งหม่าหยวนแล้วบนเขาก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง…

“เฮ้อ…” ฟางเจิ้งมองวัดกว้างโล่งและยอดเขา ก่อนปิดประตูใหญ่ด้วยความเบื่อหน่าย แล้วกลับไปเล่นอินเทอร์เน็ต

พอว่างๆ ฟางเจิ้งจึงเข้าเว็บท่องเที่ยวเป็นครั้งแรก ลงทะเบียน จากนั้นลงรูปภาพวัดที่ตนถ่ายไปแบบส่งๆ และยังมีรูปภาพตัวเอง รวมถึงจุดเช็คอินก็ลงไปด้วย เขารู้ว่าเมื่อเทียบกับแม่น้ำภูเขาในมาตุภูมิกับเขตท่องเที่ยวใหญ่ๆ พวกนั้นแล้ว ภูเขาเอกดรรชนีเล็กจนไม่มีค่าให้เอ่ยถึง และไม่ได้ทำอะไรอีกด้วย เขาเขียนโฆษณาไม่เป็นเลยทำได้แค่ใช้วิธีเขียนไปคร่าวๆ จากนั้นส่งไป ส่วนจะมีประโยชน์ไหม เขาทำอะไรไม่ได้แล้ว

ผ่านไปหลายวันฟางเจิ้งเข้าอินเทอร์เน็ตไปดู แต่ก็มีคุยตอบสามคอมเมนต์ แถมยังมีแต่น้ำเล่าถึงประสบการณ์

ฟางเจิ้งส่ายหน้า ไม่เอาแล้ว

เขามองเงินในมือพลางเริ่มวางแผนอนาคต วัดเอกดรรชนีเล็กเกินไปจะต้องขยายวัด! แต่ว่าค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อยๆ การสร้างวัดใช้วัสดุที่ละเอียดมาก อีกทั้งต้องส่งวัสดุจากตีนเขาขึ้นมา แถมใช้ได้แต่แรงคน เครื่องจักรขึ้นมาไม่ได้ ส่วนเครื่องบิน?

ฟางเจิ้งคำนวณเงินอันน้อยนิดแล้วก็ยังไม่พอค่าน้ำมัน…

ใช้คนแบก แรงงานคนก็ต้องใช้เงินมาก พอค้นหาข้อมูลราคาวัสดุมากมายแล้วก็พบว่าเงินเขาไม่พอจริงๆ!

“ช่างเถอะ ซื้อวัสดุดีๆ แล้วเราก็ลงเขาไปแบกขึ้นมาทุกวันก็ได้ ประหยัดได้ก็ประหยัดดีกว่า รอแบกขึ้นมาแล้วค่อยหาช่างมาสร้าง แบบนี้น่าจะสร้างอุโบสถให้วัดได้อีกหลัง” ฟางเจิ้งวางแผนอนาคต

“ระบบ ยกระดับเนตรสวรรค์ต้องใช้เงินเท่าไร?” ฟางเจิ้งถาม

“เงินค่าธูปหนึ่งหมื่น” ระบบตอบ

“ยกระดับเนตรสวรรค์หนึ่งขั้นก่อนแล้วกัน” ฟางเจิ้งเอ่ยต่อทันที

“นายมั่นใจนะว่าจะยกระดับตอนนี้?”

…………………