ตอนที่ 101 ใช้เงินซื้อความหนุ่มของโยม

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

“พี่ใหญ่ พวกเราสนิทกันขนาดนี้แล้ว ไม่เล่นแล้วไม่ได้เหรอ? นายบอกทีว่าเจ็บไหม!” ฟางเจิ้งกล่าว

“ไม่เจ็บ!” ระบบตอบ

“เร็วไหม!” ฟางเจิ้งถามอย่างเด็ดขาด

“เร็วมาก” ระบบตอบ

“แล้วจะรออะไรล่ะ? ยกระดับ!” ฟางเจิ้งเอ่ย

“ติ๊ง! ยินดีด้วยนายยกระดับเนตรสวรรค์เป็นระดับสอง สามารถมองเห็นโชคภัยในหนึ่งสัปดาห์ต่อหนึ่งคน!”

“เดี๋ยวๆๆ…นายอย่าเพิ่งพูด ทำไมฉันมองไม่เห็นอะไรเลยล่ะ!” ฟางเจิ้งพลันร้องขึ้น

“นายมีกายเนื้อธรรมดา ยกระดับเนตรสวรรค์ง่าย แต่ก็ต้องหล่อหลอมกับเนตรสวรรค์ ต้องใช้เวลาสามวัน! ในสามวันนี้นายจะมองไม่เห็นอะไรเลย!” ระบบพูดขึ้นด้วยความกังวล

“ฉัน…” ฟางเจิ้งอยากจะด่าออกไปตามจิตใต้สำนึก แต่ก็อดกลั้นเอาไว้ อยู่กับระบบมานานเลยเปลี่ยนคำพูดติดปากไปโดยไม่รู้ตัว เขาชี้ขึ้นฟ้าพลางพูดด้วยความโกรธ “ฉันไม่เห็นอะไรเลย แล้วฉันจะใช้ชีวิตยังไงเนี่ย? จะหุงข้าวยังไง? จะกวาดอุโบสถยังไง?”

“นี่เป็นปัญหาจริงๆ” ระบบกล่าว

“เป็นปัญหาหนักมากด้วย” ฟางเจิ้งเสริม

“ดังนั้นนายต้องคิดให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นจะหิวแย่ อืม หิวสามวันยังไม่ตาย นายดื่มน้ำเยอะหน่อยได้” จากนั้นระบบก็หายไป

ฟางเจิ้งเหม่ออยู่กับที่ ตะโกนด้วยความโมโห “นี่คือคำแนะนำที่นายให้ฉันเหรอ? นายยังเป็นคนอยู่ไหม? เอ่อ…นายไม่ใช่คนจริงๆ เหรอ!”

ครืน!

“ฉันไม่ได้ด่าสักหน่อย นี่คือความจริง! หรือว่านายเป็นคน?” ฟางเจิ้งพลันเกิดคำถาม จึงเงยหน้ามองฟ้า

ไม่มีฟ้าผ่าลงมา ฟางเจิ้งลูบคางพลางหรี่ตาลงตรึกตรอง น่าเสียดายดวงตามืดบอด มองไม่เห็นอะไรเลย

เอาเถอะ มองไม่เห็นก็มองไม่เห็น ถึงยังไงวัดก็ใหญ่ขนาดนี้ เขาจะเดินหลงออกจากวัดไปได้ยังไง?

ปัง!

เฮ้ย ทำไมประตูอยู่ใกล้ขนาดนี้?

ตึง!

‘อะไรน่ะ? เอ่อเหมือนกับหมา…หืม? หมาป่าเดียวดายมา!’

หลายนาทีต่อมา หมาป่าตัวใหญ่สีเงินก้มหน้าคอตกอยู่ข้างหน้า หางถูกหลวงจีนหัวโล้นข้างหลังจับเอาไว้ หนึ่งคนหนึ่งหมาป่าเริ่มทำความคุ้นชินกับระยะทางไปห้องครัว แน่นอนว่าเพื่อของกิน ต่อให้หมาป่าเดียวดายไม่ยินยอมยังไงก็ต้องอดทน

กระรอกก็ไม่ว่าง ทำอย่างอื่นไม่ได้ แต่ตักข้าวใส่กระบวยกับน้ำไม่ใช่ปัญหา

เป็นแบบนี้ไป ฟางเจิ้งเปิดฝาหม้อ กระรอกใส่ข้าว ฟางเจิ้งเติมน้ำ จากนั้นใช้นิ้ววัดระดับน้ำ หมาป่าเดียวดายก็เติมฟืนในเตา ฟางเจิ้งพยักหน้า…

คนหมาป่ากระรอกร่วมมือกันอย่างไร้ที่ติ!

เสร็จแล้วแปะมือกันฉลอง!

จากนั้นหุงข้าวจนเหลว…

จ๊อกๆๆ…

โฮ่งๆ…

“เงียบ! นายยังมีหน้ามาบอกว่าหิวอีกนะ? นายเป็นคนจุดไฟใช่ไหม? ฉันให้นายใช้หญ้ากองหนึ่ง แต่นายดันยัดกองใหญ่เข้าไป! หิวไปเถอะ!” ฟางเจิ้งตะคอก

“จี๊ดๆๆ!” กระรอกก็กระโดดเหมือนกัน ต่อว่าพลางลูบหนังท้อง แอบหยิบผลไม้เปลือกแข็งออกมาแทะกิน

จ๊อกๆ…

ฟางเจิ้งลูบท้องแล้วดื่มน้ำ ก่อนไปเข้านอน!

วันที่สองฟ้าสางรึยังฟางเจิ้งไม่รู้ แต่กระรอกมานอนเกาบนหน้าปลุกเขา พอตื่นมาก็ได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อกๆ จึงถอนหายใจ “หมาป่าเดียวดาย เมื่อวานนายจุดฟืน วันนี้ไปเก็บฟืนมา ถ้าฟืนไม่พอก็หิวไป”

หมาป่าเดียวดายได้ยินแบบนั้นก็วิ่งออกไปทันที สำหรับมันแล้วความหิวเหมือนเป็นเรื่องที่เคยประสบมาก่อนหน้านี้นานมากแล้ว แม้หมาป่าจะทนหิวได้ แต่มันที่ชินกับการกินข้าว วันนี้จึงหิวจริงๆ!

ตอนที่ฟางเจิ้งหิวจนเซอยู่กับที่ไปรอบๆ นั้น มีคนมา

“มีคนไหม?” เสียงผู้ชายดังแว่วมา ฟางเจิ้งตบบ่ากระรอกให้มันไปนำทาง

ความจริงเขาจัดการของในลานทุกวัน วัดใหญ่ขนาดนี้เลยจำได้ขึ้นใจนานแล้ว แต่เป็นครั้งแรกที่ตาบอด ในใจก็ไม่มีแผนผัง กระรอกนั่งยองบนบ่าเขา ถ้าเดินเอียงก็จะดึงใบหู ถ้าดึงไปข้างหน้าจะเลี้ยวซ้าย ดึงข้างหลังเลี้ยวขวา!

ดังนั้นในที่สุดฟางเจิ้งก็ออกมาจากหลังลาน มาที่ข้างหน้า ประนมสองมือ “อมิตพุทธ โยมมีเรื่องอะไรหรือ?”

“ไต้ซือ ท่าน…” คนที่มาเป็นชายร่างกำยำซื่อๆ เห็นฟางเจิ้งดวงตากลมโตแต่กลับไม่มีประกายวาว แถมยังประนมสองมือกับอากาศ จึงรู้สึกว่าพึ่งพาไม่ได้อยู่เล็กน้อย

ฟางเจิ้งได้ยินเสียงก็รู้ว่าพบปัญหาเรื่องทิศทาง แต่เขาไม่รีบร้อน หมุนตัวกลับมา “สองวันมานี้อาตมามองไม่เห็น โยมมีเรื่องอะไรหรือ?”

“มองไม่เห็นมาสองวัน? มองไม่เห็นยังนับเป็นวันได้ด้วย?” ชายร่างกำยำอึ้งตาค้าง หลวงจีนนี่เล่นอะไรกับเขา?

แต่ชายร่างกำยำก็ยังอดกลั้นไว้ เกาหัวกล่าว “ไต้ซือ คือหม่าเจวียนแนะนำผมมา เธอบอกว่าท่านเก่งกาจมาก เอ่อ ท่านช่วยไขข้อสงสัยให้ผมได้รึเปล่า?”

ฟางเจิ้งพยักหน้า “โยมลองพูดมาเถอะ ถ้าอาตมาช่วยได้ก็จะช่วย ถ้าช่วยไม่ได้ โยมก็ไปเสีย”

ชายร่างกำยำเห็นฟางเจิ้งไม่รับปากจึงพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนหมุนตัวมองก็ไม่เจอที่ที่นั่งได้ “ไต้ซือ พวกเรานั่งคุยกันได้ไหมครับ?”

ฟางเจิ้งนั่งลงกับพื้น “โยมเชิญ”

เขาไม่อยากเดินจริงๆ ถูกกระรอกดึงจนเจ็บหูแล้ว!

ชายร่างกำยำก็ทึ่มเหมือนกัน หัวเราะแห้งๆ แล้วนั่งลง แม้จะหนาวอยู่บ้าง แต่ก็ทนไหว…

ชายกำยำ “ผมหม่าขุย เป็นคนเมืองชุน ทำงานเป็นคนขับรถแท็กซี่ ไม่มีอะไรเลย ถูกลดเงินเดือน รู้สึกว่าชีวิตหลงทางไปหมด เสียความมั่นใจไป เฮ้อ…”

ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย “โยมมีความสุขอยู่กับตัวแต่ไม่รู้”

หม่าขุยไม่เข้าใจ

ฟางเจิ้งถาม “ปีนี้โยมอายุเท่าไรแล้ว?”

“สามสิบสองครับ” หม่าขุยตอบ

“โยมยังหนุ่ม ยังมีเวลาอีกมากที่จะใช้ฟันฝ่า แต่บางคนแม้จะหนุ่มเหมือนกัน แต่กลับอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนเขา โยมคิดว่ามีความสุขกว่าเขาไหม?” ฟางเจิ้งถาม

หม่าขุยดวงตาเปล่งประกาย “ไต้ซือ ที่ท่านพูดน่ะคือคนติดคุกนะ มันเทียบกันไม่ได้เลย”

ฟางเจิ้งแทบจะตบอีกฝ่ายให้ตายคามือ หรือว่าเจ้าบื่อนี่ไม่รู้ว่าเขากำลังถากถาง?

ฟางเจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึก สงบจิตใจลง “อย่างเช่นอาตมาให้เงินโยมหนึ่งล้าน ซื้อสุขภาพโยม ให้หนึ่งล้านซื้อความหนุ่มของโยม ให้หนึ่งล้านซื้อสติปัญญาของโยม โยมยอมไหม? ยอมรับความสำเร็จแบบนี้ไหม?”

ฟางเจิ้งยิ้มเยาะในใจ ‘มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะยอมแลก’

ทว่า…

“ผมเอา! ผมแลก!” หม่าขุยตอบกลับทันที

ฟางเจิ้งอึ้งงัน เป็นคนโง่จริงๆ ด้วย! ทว่าเขาก็ไม่โกรธ แต่ยิ้มน้อยๆ “โยมมั่นใจนะ?”

“มั่นใจ!” หม่าขุยจ้องฟางเจิ้ง แม้เขาจะรู้ว่าฟางเจิ้งกำลังพูดมั่วซั่ว แต่เขาก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดยังไงต่อไป! เดิมทีคิดว่าเป็นไต้ซือ แต่กลับพูดอะไรที่มันไร้สาระแบบนี้ เขาไม่ชอบเอามากๆ! ดังนั้นเลยให้คำถามยากกับฟางเจิ้ง

ฟางเจิ้งประนมสองมือ “ได้ตามที่โยมต้องการ อมิตพุทธ!”

หม่าขุยงงงวย เห็นฟางเจิ้งหยิบกล่องออกมาจากข้างหลังใบหนึ่ง ในนั้นเป็นเงินทั้งหมด!

……………………