บทที่ 133 ภารกิจลุล่วง

ราชาซากศพ

บทที่ 133
ภารกิจลุล่วง

“ท่านคือ เจ้าเมืองชิงหลิง ข้าเป็นศิษย์ของสถานศึกษาเทียนหยู ครั้งนี้ข้ามาที่นี่เป็นพิเศษ เรื่องของเสือดาวสลายวายุ” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย ใบหน้าหม่าฟู่กุ้ยก็แสดงความประหลาดใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“อื้ม! เป็นศิษย์ของสถานศึกษาเทียนหยู เข้ามานั่งก่อนสิ หม่าฟู่กุ้ยได้ยินว่าหลินเว่ยมาจากสถานศึกษาเทียนหยู ใบหน้าของเขาก็แสดงสีด้วยความดีใจ เขารีบเปิดประตูและเดินออกไป เขาพูดอย่างสุภาพมาก

“ดี! ข้าต้องการถามท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้” เมื่อได้ยินคำเชิญจากอีกฝ่าย หลินเว่ยพยักหน้าและกล่าวจากนั้นเดินตามอีกฝ่ายเข้าไป
หม่าฟู่กุ้ยเดินนำหลินเว่ยและนั่งลงในห้องรับแขก เขาง่วนอยู่กับการรินชาให้หลินเว่ย
หลินเว่ยหยิบถ้วยที่อีกฝ่ายส่งมาวางไว้บนโต๊ะแล้วถามว่า “ท่านเจ้าเมืองหม่า โปรดบอกข้าว่าเสือดาวนั้นอยู่ที่ใด …ข้าจะไปจัดการ”

“โอ้! เสือดาวสลายวายุ! อยู่ใกล้กับหุบเขาชิงหลิง” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย หม่าฟู่กุ้ยก็ถอนหายใจและกล่าวขึ้น

“ดี! เข้าใจแล้ว แต่ข้าไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นี่ ดังนั้นโปรดให้แผนที่หุบเขาชิงหลิงให้ข้าด้วย” เมื่อได้ยินคำพูดของหม่าฟู่กุ้ย หลินเว่ยก็พยักหน้าและขอแผนที่

“แผนที่หุบเขาชิงหลิงหรือ? ไม่มีปัญหากับเรื่องนั้น ข้าเตรียมแผนที่มานานแล้ว เมื่อได้ยินหลินเว่ยขอแผนที่ หม่าฟู่กุ้ยพยักหน้า จากนั้นเขาก็หยิบแผนที่จากกระเป๋าของเขา และส่งให้หลินเว่ย

“เอาล่ะ! ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่รบกวนท่านแล้ว รอฟังข่าวดีได้เลย หม่าฟูกุ้ยมอบแผยที่ให้หลินเว่ย ตรวจสอบอย่างละเอียดและเก็บไว้กับตัว

“เอ่อ ……! เสือดาวสลายวายุนี้เป็นสัตว์อสูรขั้นหก ตอนนี้ท่านมาเพียงผู้เดียวงั้นหรือ ท่านต้องการทบทวนเรื่องนี้อีกครั้งหรือไม่?” หม่าฟู่กุ้ยถามอย่างไม่แน่ใจ แม้ว่าหลินเว่ยจะไม่มีท่าทีอะไร ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุใด ๆ เขาอาจจะได้รับความยุ่งยาก เนื่องจากหลินเว่ยมาจากสถานศึกษาเทียนหยู เพื่อปฏิบัติภารกิจที่เขาจ้างวาน เรื่องนี้มีอิทธิพลต่อเขาเล็กน้อย

“ไม่ต้องห่วง” หลินเว่ยยืนขึ้น และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นี้…”! เอาล่ะ! ท่านโปรดระวังตัวด้วย รีบไปรีบกลับ”หม่าฟู่กุ้ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งเมื่อรู้ว่าหลินเว่ยนั้น มั่นใจในตนเองมาก ดังนั้นเขาจึงหยุดโน้มน้าวใจ

“อืม!” หลินเว่ยพยักหน้า และลุกขึ้นเพื่อจากไป

หลังจากออกจากบ้านของหม่าฟู่กุ้ย หลินเว่ยก็ออกจากเมืองทันที ตามแผนที่เขาตรงไปที่หุบเขาชิงหลิง เพื่อค้นหาร่องรอยของเสือดาวสลายวายุ

ตามแผนที่และบันทึกกล่าวว่า ตั้งแต่เสือดาวสลายวายุมาถึงหุบเขาชิงหลิง ไม่มีใครทราบว่ารังของมันอยู่ที่ใด ดังนั้นสำหรับหลินเว่ย จึงจำเป็นต้องหารังของเสือดาวให้พบก่อน สำหรับการสังหารมันเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ที่จะสังหารมันด้วยความแข็งแกร่งของหลินเว่ย

ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหลินเว่ย ในการค้นหารังของเสือดาวสลายวายุ เนื่องจากหุบเขาชิงหลิง นั้นไม่ใหญ่มาก นอกจากนี้แม้ว่า หลินเว่ยจะไม่ใช่นักล่ามืออาชีพ แต่เขาก็สามารถสังหารสัตว์อสูรไปมากมาย เพราะฉะนั้นประสบการณ์ของหลินเว่ยนั้นมีพอตัว
……
“โฮก!”
“วิ่ง
“นายท่านพวกเราทำอย่างไรดี สัตว์อสูรขั้นสูง มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

“เร็วๆ เข้า! รีบวิ่งหนีโดยเร็ว กลับไปข้าจะให้เจ้ากินข้าวให้น้อยลง ตอนนี้เจ้าอ้วนจนวิ่งไม่ไหวแล้ว”

“เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งสองหุบปาก! เมื่อศัตรูอยู่ตรงหน้า จะมัวลังเลไม่ได้”
“เกิดอะไรขึ้น! ใครบางคนและเสียงร้องของสัตว์อสูรที่ดังลั่น คนเหล่านี้กำลังถูกไล่ล่าโดยเสือดาวสลายวายุ หลินเว่ยกำลังมองหาเบาะแสบางอย่าง และเขาก็เดาได้ทันทีว่าเป็นเสือดาวสลายวายุที่เขาตามหาอยู่

เมื่อรู้ดังนั้น หลินเว่ยก็อดขบคิดไม่ได้อยู่ภายในใจ

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ดวงตาของหลินเว่ยก็พลันสว่างขึ้น และร่างกายของเขาก็เคลื่อนไหว ร่างของหลินเว่ยปรากฏบนยอดไม้ห่างออกไป 100 เมตร

เสียงฝีเท้าเร็ว ๆ ดังเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากหายใจไม่กี่ครั้ง มีจำนวนร่างมากกว่าหนึ่งโหล ก็ปรากฏในสายตาของหลินเว่ย คนเหล่านี้มีอายุไล่เลี่ยกับหลินเว่ยทั้งชายและหญิง พวกเขาทั้งหมดดูตกใจหวาดกลัว

พวกเขาวิ่งและมองไปข้างหลังเป็นระยะ ๆ
“โฮก!”
“ฮึก … !” คนเหล่านี้เพิ่งผ่านหน้าของหลินเว่ยไป และได้ยินเสียงสัตว์คำรามอยู่ข้างหลัง พร้อมกับเสียงหวีดหวิว ต้นไม้ใหญ่ถูกทุบจนแหลก ใบไม้และขี้เลื่อยบินว่อนไปทั่วท้องฟ้า และมีรูปร่างคล้ายกับลูกวัวตัวโต ๆตามมา

“อย่างที่คาดไว้ มันคือเสือดาวสลายวายุ แต่ความแข็งแกร่งของมันคือสัตว์อสูรขั้นสูงจริง ๆ ดี…ดี! แม้ว่ามันจะเป็นสัตว์อสูรขั้นเจ็ดระดับหนึ่ง ก็สามารถจัดการได้” เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของสัตว์อสูร หลินเว่ยก็ขบคิดด้วยรอยยิ้ม

ความเร็วของเสือดาวตัวนี้ เร็วกว่าคนจำนวนมาก อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่า มันจะหยอกล้อกับคนเหล่านี้ เมื่อกำลังจะตามทันมันจะแกล้งทำเป็นช้าลง และปล่อยให้คนเหล่านี้เร่งความเร็ว

หลังจากวิ่งไปได้ระยะทางหนึ่งแล้ว จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นข้างหลังพวกเขา

“พระโพธิสัตว์ช่วยลูกด้วย! ช่วยด้วย
ชายอ้วนคนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะพยายามวิ่งอย่างหนัก แต่เสือดาวสลายวายุก็ตามเขาทันจนได้ ลมหายใจร้อน ๆจากปากของมัน พ่นรดต้นคอด้านหลังของชายอ้วน ซึ่งทำให้เขาเสียสติ และอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา

“ไอ้บ้า!”
“พรึ่บ!” ร่างหนึ่งออกมาจากฝูงชน และเตะเสือดาวสลายวายุ เข้าที่ใบหน้าด้านขวา แม้ว่าการเตะจะทำเพียงแค่รีบร้อนแบบลวก ๆ แต่ก็เป็นการเตะด้วยกำลังทั้งร่างกายของเขา เสือดาวตัวหนึ่งถูกเตะไปด้านข้าง และปากที่เปื้อนเลือดของมัน เพิ่งปัดผ่านร่างของชายอ้วนตัวเล็ก ๆ

“แม่จ๋า ช่วยด้วย ! หลังจากกรีดร้อง เจ้าอ้วนตัวป้อมๆก็กลอกตาและเป็นลมทันที

“ เกิดอะไรขึ้น!” เมื่อเห็นสถานการณ์ของชายอ้วน มีชายอีกคนก็พุ่งออกมาจากฝูงชน กัดฟันและดุด่าเขา จากนั้นเขาก็วิ่งไปหาชายอ้วนและเขย่าอีกฝ่ายทั้งตัว จากนั้นเขาก็ร้องเรียกหัวหน้ากลุ่มว่า “อาจารย์ซางกวน เราจะทำอย่างไรดี”
“โฮก!”
โดยไม่รอให้ชายคนนั้นเปิดปากตอบรับ เสียงคำรามของสัตว์ร้ายก็ดังขึ้น เสือดาวถูกเตะไปอีกด้าน และทำให้ปากเต็มไปด้วยโคลน

“แม่จ๋า…..เสียงคำรามของเสือดาวสลายวายุ ปลุกเจ้าอ้วนตัวน้อยทันที เมื่อเขามองไปรอบ ๆ เขาก็พบว่าร่างเสือดาวนั้นอยู่ไม่ห่างจากเขามากนัก เขาหวาดกลัวและกรีดร้องอีกครั้ง ดวงตาของเขากลอกไปมา จากนั้นก็หมดสติไปอีกครั้ง

“เจ้าขยะ! ปล่อยข้าไป” เมื่อชายอ้วนตัวเล็กร้องออกมา เขาก็ทำร้ายคนที่อยู่เบื้องหน้าเขาทันที เขาส่ายหัวอย่างแรง และมีเสียงพึมพำที่ปากของเขา

คนที่ถูกชายอ้วนด่าว่า ก็หันกลับมามองชายอ้วนตัวเล็ก ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เมื่อนางพบว่า ชายร่างอ้วนตัวเล็กหมดสติลงไปอีกครั้ง นางทำได้เพียงมุมปากกระตุกเล็ก ๆ และพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น: “หลินเฟิง, เจ้าพาหลินจี้หนีไปก่อน! ข้าจะล่อเสือดาวสลายวายุออกไป และพวกเจ้ารีบหนีไปซะ

“อาจารย์ซางกวน ท่านคิดจะทำอย่างไร” หลินเฟิงขมวดคิ้วและมองไปยังทิศทางที่อยู่เบื้องหลังเขา เขาพบว่าสหายร่วมทางของเขานั้น วิ่งหนีไปไกลแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่อยากจะหยุดฝีเท้า แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองอาจารย์ซางกวนและถามด้วยใบหน้าที่เป็นกังวล

“ข้าไม่เป็นอะไร…ข้าไม่ได้เขลาถึงขั้นคิดสู้กับมันเพียงผู้เดียว เพียงต้องการล่อมันออกไปที่อื่น” อาจารย์ซางกวนโบกมือและพูดราวกับว่านางทำได้

“ซางกวนหรูผิงเป็นนางได้อย่างไร” หลินเว่ยมองไปที่อาจารย์ซางกวน ด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากในตอนที่อีกฝ่ายอยู่ท่ามกลางฝูงชน หลินเว่ยแทบไม่ได้สังเกตเห็นนาง ในเวลานี้สิ่งที่ปรากฏในสายตาของหลินเว่ยซึ่งก็คือ “ซางกวนหรูผิง”

“โฮก!” เสือดาวคำราม และกรีดกรงเล็บทั้งสี่เหมือนสายฟ้าพุ่งเข้าใส่คนทั้งสาม และเป้าหมายของมันคือ มนุษย์ที่เตะมันจนปลิวออกไป
“ไปกันเถอะ!” ซางกวนหรูเสวี่ยมองเห็นเสือดาวสลายวายที่พุ่งเข้ามาหาพวกเขา ใบหน้าพวกเขานั้นเปลี่ยนไปทันที หลังจากตะโกนร้องพวกเขาก็รีบวิ่งออกไป

“อาจารย์ซางกวน … !” หลินเฟิงกัดริมฝีปากของเขาด้วยความผิดหวัง จากนั้นอุ้มชายอ้วนตัวเล็กหันหลังและวิ่งหนีไป

“เพื่ออาจารย์…ข้าจะช่วยเจ้าแค่เพียงครั้งเดียว!” เดิมทีหลินเว่ยต้องการดูละครเรื่องนี้สักพัก แต่เขาคิดว่า ถ้า ซางกวนฮ่าวหยางรู้เรื่องนี้ เขาจะไม่สามารถตอบคำถามได้ ท้ายที่สุด หลินเว่ยสามารถใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ในครั้งนี้เขาออกมาล่าเสือดาวสลายวายุซึ่งถูกบันทึกไว้ในสถานศึกษา มันง่ายที่จะสืบค้น

เพียงชั่วครู่ ซางกวนที่ต่อสู้กับเสือดาวสลายวายุก็ได้รับบาดเจ็บ แม้ว่านางพยายามอย่างเต็มที่ที่จะหลบหนี แต่ความแข็งแกร่งของนางยังห่างไกลจากเสือดาวสลายวายุ ยิ่งกว่านั้น เสือดาวสลายวายุแต่เดิมเป็นสัตว์อสูรธาตุลม มีชื่อเสียงในหมู่สัตว์อสูรในระดับเดียวกัน แต่สำหรับซางกวนหรูเสวี่ยมีเพียงแค่ถูกเสือดาวฉีกเป็นชิ้น ๆ
“ข้าจะมาตายที่นี่หรือ?” เช่นเดียวกับที่นางค่อย ๆ สูญเสียกำลังใจ และไม่สามารถหนีไปได้ ด้วยความสิ้นหวัง ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นข้าง ๆ นาง จากนั้นนางก็เห็นร่างของเสือดาวสลายวายุ ซึ่งถูกซัดออกไปเบื้องหน้า หลังจากชนต้นไม้ใหญ่หลายต้นแล้ว

มันก็ตกลงบนพื้น
“เป็นอย่างไรบ้าง” “ซางกวนหรูผิง” ในตอนนี้นางดูสับสน เพราะเห็นว่าสัตว์อสูรเสือดาวสลายวายุ ถูกโครงกระดูกตรงหน้าทุบตีอย่างรุนแรง

โครงกระดูกนี้ถูกเรียกโดย หลินเว่ย มันมาจากสัตว์อสูรขั้นเจ็ดและขั้นแปด, สัตว์อสูรวานร ที่พลังเดือดพล่าน และทักษะความสามารถล้วนใช้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างของตัวเอง พวกมันสามารถต่อสู้กับมังกรเหินขั้นแปดของหลินเว่ยได้ในเวลาอันสั้น เสือดาวสลายวายุเป็นสัตว์อสูรที่ว่องไว และระดับขั้นพลังของมันนั้นต่ำกว่าสัตว์อสูรวานร ตามธรรมชาติแล้วมันไม่สามารถต้านทานการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้

“อ๊ะ … !” เสือดาวสลายวายุได้รับการโจมตีอย่างหนักจากสัตว์อสูรวานร กระดูกหลายชิ้นของมันแตกร้าวและอวัยวะภายแทบฉีกขาด มันกระอักเลือดออกมาหลายคำ แม้แต่ในรูจมูกก็ยังมีเลือดไหลออกมา

หลังจากดิ้นรนหลายครั้ง มันก็ลุกไม่ขึ้น มองไปที่สัตว์อสูรวานรที่เดินมาหามันทีละก้าว ร่องรอยของความไม่พอใจก็เผยให้เห็นในดวงตาของเสือดาวสลายวายุ เมื่อสัตว์อสูรวานรยืนอยู่ตรงหน้ามัน ใบหน้าของมันก็ตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัดมาก

“กึก” ด้วยเสียงที่คมชัด คอของเสือดาวสลายวายุถูกสัตว์อสูรวานรหักโดยตรง อย่างไรก็ตามในเวลานี้ เสือดาวสลายวายุนั้นไม่ได้สิ้นใจในทันที แต่ก็ไร้ซึ่งท่าทีคุกคามใด ๆ หรืออันตรายหลงเหลืออยู่

ก่อนที่ร่างของหลินเว่ย จะกระโดดออกจากต้นไม้

“เจ้าเป็นใคร” จู่ ๆหลินเว่ยที่กระโดดลงมาจากต้นไม้ก็หยุดชะงัก และทำให้อีกฝ่ายกลัวทันที “ซางกวนหรูผิง” ดูลุกลี้ลุกลน และนั่งลงบนพื้นชี้ไปที่หลินเว่ย
“หืม?” เมื่อหลินเว่ยได้ยินอีกฝ่ายถามว่า เขาเป็นใครสีหน้าของหลินเว่ยก็ตกตะลึง จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว และเขาก็อดคิดไม่ได้ว่า “หญิงคนนี้สมองเสื่อมหรือไม่? นางกลัวเสือดาวสลายวายุจนเพี้ยน แล้วถามว่าข้าเป็นใคร! หรือเห็นว่า ข้าช่วยนางเอาไว้

จึงแกล้งโง่และไม่รู้จักเขา”
เมื่อคิดเช่นนี้ หัวใจของหลินเว่ยก็เกิดความคิดขึ้นมา ร่องรอยของความประหลาดใจ ปรากฏบนใบหน้าของเขา เขาแสร้งทำเป็นงงและถามว่า “เจ้าไม่รู้จักข้าหรือ?”

“ไม่! เราเคยพบกันด้วยงั้นหรือ” ซางกวนหรูผิงได้ยินคำพูดของหลินเว่ยและก็แสดงสีหน้าว่างเปล่า หลังจากนึกถึงเรื่องนี้ นางก็ถามอย่างลังเล

“ใช่? ซางกวนหรูผิง เราไม่ได้เจอกันมาสองสามวัน ลืมข้าไปแล้วหรือ?” เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย หลินเว่ยเลิกคิ้ว และกอดอก เขาดูอึดอัด
“เจ้ารู้จักน้องสาวของข้างั้นหรือ? เจ้ามาจากสถานศึกษาเทียนหยูด้วยหรือ? “เมื่อได้ยินชื่อสถานศึกษาของหลินเว่ย ซางกวนหรูผิงก็ผ่อนคลายลงทันที จากนั้นก็ถามด้วยความประหลาดใจ

“น้องสาวของเจ้า?” ทันทีที่หลินเว่ยได้ยินเช่นนี้ เขาก็จำได้ทันทีว่า ซางกวนหรูผิงเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ดูเหมือนว่านางมีพี่สาวที่เป็นอาจารย์ อยู่ในสถานศึกษามีคำว่า “เสวี่ย” อยู่ในชื่อของนาง แต่หลินเว่ยไม่ได้ใส่ใจกับมันในตอนนั้น

“ใช่! ข้าชื่อว่าซางกวนหรููเสวี่ย ข้าเป็นอาจารย์ที่ลานชั้นนอก” ซางกวนหรูเสวี่ยพยักหน้าอย่างอาย ๆ

“โอ้…หลังจากหลินเว่ยรับรู้สถานการณ์ หลินเว่ยก็ไม่มีความคิดที่จะล้อนางเล่น ท้ายที่สุดแล้วซางกวนหรูผิงที่ขัดแย้งกับเขา ไม่ใช่พี่สาวของนาง ต่อมาหลินเว่ยเก็บศพของเสือดาวสลายวายุเข้าไปในแหวนมิติ

“ว่าแต่ เจ้าชื่อว่าอะไร? เจ้าเป็นอาจารย์ของสถานศึกษาด้วยหรือไม่? ทำไมข้าไม่เคยพบเจ้าเลย เจ้าเป็นปรมาจารย์วิญญาณหรือไม่? นี่คือสัตว์อัญเชิญของเจ้าหรือ? มันมีพลังมากยิ่งนัก เมื่อเห็นท่าทีของหลินเว่ย ที่มีต่อนาง
ซางกวนหรูเสวี่ยก็ไม่สนใจ นางอดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็น และถามคำถามทีละคำถามกับหลินเว่ย

“เอ่อ!” เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายถามคำถามมากมายในคราวเดียว ปากของหลินเว่ยก็กระตุก หลังจากพยักหน้าตอบรับ เขาก็เก็บสัตว์ร้ายโครงกระดูกและหันหลังจากไป

“เดี๋ยวก่อน! เจ้า….. นางถามหลินเว่ยหลายเรื่อง แต่เมื่อเห็นท่าทีของหลินเว่ย ซางกวนหรูเสวี่ยจึงตะโกนอย่างรีบร้อน

“โอ้ เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย หลินเว่ยก็หัวเราะเบา ๆ และส่ายหัว เขาไม่ได้โต้แย้งใด ๆ เขาขยับตัว และเห็นเพียงเงาร่าง ในพริบตาหลินเว่ยก็หายไปจากสายตาของซางกวนหรูเสวี่ย

“บัดซบ! ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไป ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ในสถานศึกษาเทียนหยู ข้าจะตามหาเจ้าให้พบ” ซางกวนหรูเสวี่ย คิดว่าหลินเว่ยจะหยุดและโต้เถียงกับนาง หลังจากได้ยินคำพูดของนาง ส่งผลให้อีกฝ่ายเพียงแค่ร้อง“อ๊า!” สักพัก

นางก็มองไม่เห็นหลินเว่ยอีกต่อไป นางโกรธมากจนขบฟันดังกึก ๆ

เหตุผลที่หลินเว่ยทำแบบนั้นกับซางกวนหรูเสวี่ย คือเขาไม่ต้องการมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันมากเกินไป มิฉะนั้น หากนางเสนอให้เขาพานางและศิษย์ของนางกลับไปที่สถานศึกษาซึ่งจะเพิ่มปัญหาอย่างมาก

ในเมื่องานเสร็จสมบูรณ์แล้ว หลังจากพบสถานที่ที่สะดวก หลินเว่ยก็ปล่อยเสี่ยวเฟยออกมาและบินตรงไปยังสถานศึกษาเทียนหยู เขาไม่ได้กลับไปที่เมืองชิงหลิง เพื่อตามหาหม่าฟู่กุ้ยซึ่งจะมีคนของสถานศึกษาที่จะติดต่อกับผู้ว่าจ้างด้วยตนเอง หลินเว่ยไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา หลินเว่ยกลับไปที่สถานศึกษาเทียนหยูแล้ว อย่างไรก็ตามมันเป็นเวลาดึกแล้วและห้องโถงกงเต๋อก็ปิดไปแล้ว หลินเว่ยต้องกลับไปที่ที่พักและพักผ่อนหนึ่งคืน เขาไม่ได้ออกไปที่ใด จนถึงเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น
หลังจากเข้าไปในห้องโถงกงเต๋อ หลินเว่ยมองไปรอบ ๆ อยู่นาน และพบว่าผู้ช่วยศิษย์อาวุโสที่ช่วยลงรายชื่อในเขานั้นกำลังนั่งทำท่าเบื่อหน่ายอยู่ หลินเว่ยก็เดินผ่านไปโดยไม่พูดอะไร

“มารับงานหรือส่งมอบงาน?” ผู้ช่วยศิษย์อาวุโสรู้สึกว่ามีคนยืนอยู่ตรงหน้าเขา โดยไม่หันกลับมามอง เขาถามอย่างเกียจคร้าน

“ส่งมอบงาน!” หลินเว่ยหยิบกระเป๋ามิติออกมา แล้วโยนลงบนโต๊ะ

“เอ๋?” เมื่อได้ยินว่าหลินเว่ยมาที่นี่เพื่อส่งมอบงาน เขาก็ค่อย ๆ หันศีรษะและมองไปที่หลินเว่ย เมื่อเขาพบว่ามันคือ หลินเว่ย เขาก็ตื่นเต้นขึ้นมาก ทันใดพร้อมกับรอยยิ้มที่ประจบบนใบหน้าของเขา และพูดด้วยรอยยิ้ม: “มันคือศิษย์น้องหลิน!

ตัดสินใจได้รวดเร็วมาก….. ไม่ต้องกังวลคะแนนสมทบจะไม่ถูกหัก ”
“ …… !”
เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ปากของหลินเว่ยก็กระตุกเล็กน้อย ดูเหมือนไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี แต่เขารู้ถึงเจตนาที่ดีของอีกฝ่าย เขาจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก เขาเพียงแค่เอื้อมมือไปที่กระเป๋ามิติวางบนโต๊ะ และพูดอย่างหมดหนทางว่า “งานสำเร็จแล้ว

ข้าสังหารเสือดาวสลายวายุไป แล้วซากศพอยู่ในกระเป๋ามิตินี้ ผู้ช่วยศิษย์อาวุโสสามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง”
เมื่อได้ยินดังนั้นผู้ช่วยศิษย์อาวุโสจึงเอ่ยขอตรวจสอบ

“ข้าขอตรวจสอบเสือดาวสลายวายุได้หรือไม่?” ผู้ช่วยศิษย์อาวุโสมองไปที่หลินเว่ยด้วยท่าทางไม่เชื่อ เมื่อเขาหยิบกระเป๋ามิติที่อยู่บนโต๊ะ และมองไปที่ร่างของเสือดาวสลายวายุในกระเป๋ามิติ เขาก็เชื่อคำพูดของหลินเว่ยทันที

อย่างไรก็ตาม เขายังไม่สามารถซ่อนความหวาดกลัวลึก ๆ ของเขาได้ เขาอายุเกือบ 30 ปี แต่เขายังคงอยู่ในระดับของขุนศึกเข่นกัน แต่หลินเว่ยนั้นอายุน้อยกว่าสิบหกสามารถสังหารสัตว์อสูรขั้นหกได้

“ขออภัยด้วย ข้ามีเรื่องสงสัย ถ้าความแข็งแกร่งของเป้าหมายกับภารกิจที่ถูกบันทึกไว้ มีความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นไปจากเดิม ระดับของงาน รวมถึงคะแนนสะสม จะเปลี่ยนไปหรือไม่?” หลินเว่ยไม่ใส่ใจความรู้สึกของอีกฝ่ายแต่ตั้งคำถามขึ้น ในความคิดของเขาคะแนนสมทบของเสือดาวสลายวายุที่เลื่อนระดับถึงขั้นที่เจ็ดแล้ว และคะแนนสมทบก็ควรได้รับเพิ่มขึ้นเช่นกัน

“แน่นอนว่า หากมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อย มันก็จะไม่เปลี่ยนแปลง หากความแตกต่างมีขนาดมากเกินไป ตามปกติก็จะต้องมีการประเมินใหม่” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย ผู้ช่วยศิษย์อาวุโสก็ขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหลินเว่ยและพยักหน้า

“ดี! ดีตอนนี้ ท่านช่วยเพ่งดู ความแตกต่างระหว่างร่างของเสือดาวสลายวายุในกระเป๋ามิติ” เมื่อได้ยินคำพูดของผู้ช่วยศิษย์อาวุโส หลินเว่ยก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และชี้ไปที่กระเป๋ามิติในมือของอีกฝ่ายแล้วพูดขึ้น

“อืม…แตกต่างกันหรือไม่?” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย เขาลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็เดินออกมาจากหลังโต๊ะ เปิดกระเป๋ามิติ และตอนนี้ร่างของเสือดาวสลายวายุก็อยู่ตรงหน้าเขา