ตอนที่ 102.1 ถอดเสื้อผ้าออกให้หมด (1) (รีไรท์)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

คิดไปแล้ว พวกเขาช่างมีวาสนาต่อกันเสียจริง! มิใช่หรือ!

ชายชุดขาวคิดในใจ มุมปากค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มขึ้น อย่างอ่อนโยนและสง่างาม

เวลานี้หนานกงจวิ้นซีไม่พอใจที่โดนทอดทิ้ง  จนในที่สุดรับไม่ได้ที่เล่อเหยาเหยาและเหลิ่งจวิ้นอวี๋มองตากันอีกครั้ง จึงนิ่งเงียบไม่พูดจา ทำท่าทีไร้ตัวตนอยู่ด้านข้าง

ก่อนทนไม่ได้ ไออย่างหนักออกมา แสดงถึงการมีตัวตนของตน

เมื่อได้ยินเสียงไอที่หนานกงจวิ้นซีตั้งใจส่งออกมา เหลิ่งจวิ้นอวี๋กระพริบตาชั่วครู่ ก่อนละสายตาจากเล่อเหยาเหยา พลันยกถ้วยชาที่วางอยู่ด้านข้างขึ้น ก่อนแสร้งทำเป็นจิบชา ปิดบังท่าทีไม่เหมาะสมเมื่อครู่ของตน

ส่วนเล่อเหยาเหยาหลังจากได้สติ ใบหน้าจิ้มลิ้มพลันขวยเขิน แก้มที่เดิมทีแดงก่ำ เวลานี้แดงราวกับสามารถกลั่นเลือดออกมาได้

จากนั้น เล่อเหยาเหยารีบจัดการใจที่เต้นระรัวของตนครู่หนึ่ง ก่อนจะทำความเคารพต่อเหลิ่งจวิ้นอวี๋และหนานกงจวิ้นซี

“คารวะท่านอ๋อง คารวะองค์ชายเจ็ด!”

“ฮึ! ข้าคิดว่าเจ้าไม่เห็นว่ามีข้าอยู่เสียอีก”

หนานกงจวิ้นซีเอ่ยอย่างไม่พอใจ ภายในน้ำเสียงเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำส้มระเหยออกมา

แต่เล่อเหยาเหยากลับไม่รับรู้ เพียงคิดว่าองค์ชายเจ็ด หากไม่หาเรื่องเธอ คงรู้สึกไม่สบายใจ

ท่าทีที่องค์ชายเจ็ดมีต่อตน เล่อเหยาเหยาชินชาเสียแล้ว ดังนั้นจึงก้มหน้าลง ทำท่าทางนอบน้อมของบ่าวรับใช้ ก่อนเอ่ยอย่างระมัดขึ้นว่า

“บ่าวจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร!”

“ฮึ!คนเช่นเจ้า จะมีสิ่งใดที่ไม่กล้าทำอีก!”

อาจเป็นเพราะเมื่อครู่ถูกละเลย จึงทำให้หนานกงจวิ้นซีคล้ายหญิงออกเรือนจู้จี้จุกจิก กัดเล่อเหยาเหยาไม่ยอมปล่อย

เพราะมีเพียงเช่นนี้ สายตาของ‘เขา’จึงมองมาที่เขา

แม้แต่หนานกงจวิ้นซีก็รู้ว่าตนทำเช่นนี้ ต้องทำให้‘เขา’ไม่พอใจ หรือเวลานี้อาจก่นด่าเขาอยู่ในใจ

แต่เขาก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรจึงจะดี

ถูกต้อง หนานกงจวิ้นซีคิดไม่ผิดแม้แต่นิดเดียว เวลานี้เล่อเหยาเหยากำลังก่นด่าเขาอยู่ในใจ

องค์ชายเจ็ดน่าตายนี้ พอกลับมาก็เริ่มหาเรื่องเธอ ไม่รู้ชาติที่แล้วเธอและเขาเป็นคู่แค้นกันหรือไม่ เพราะทุกครั้งที่เจอหน้ากัน  ต่างมองกันอย่างโกรธแค้น!

ทว่าผู้ใดให้เธอตอนนี้คือขันที เจ้านายพูดสิ่งใด แม้ในใจของเธอจะโกรธเคืองไม่ยินยอม แต่ทำได้เพียงอ่อนน้อมถ่อมตน เมื่อคิดเล่อเหยาเหยาแค้นเคืองอย่างยิ่ง

สังคมทาสที่น่าตายแห่งนี้ บิดามันเถอะ!

แม้เล่อเหยาเหยาไม่กล้าเสียงดังกับหนานกงจวิ้นซี แต่ในใจกลับจินตนาการให้หนานกงจวิ้นซีสวมบิกีนี่ออกมา ก่อนถูกเธอหยิบแส้ยาวขึ้นมาฟาดเขา

พอนึกถึงภาพ องค์ชายเจ็ดที่ยโสโอหังน่าตายนี้อ้อนวอนขอร้องตนไม่หยุด พร้อมตระโกนว่า ‘นายหญิงไว้ชีวิตด้วย’เล่อเหยาเหยาสุขใจอย่างมาก

และเล่อเหยาเหยาเป็นคนประเภทที่ในใจมีสิ่งใด จะเปิดเผยออกมาทางใบหน้า

รอยยิ้มมุมปากที่แปลกประหลาดนั้น ทำให้หนานกงจวิ้นซีมองอย่างสับสน คิดเพียงว่าเล่อเหยาเหยาถูกตนด่าทอจนเซ่อซ่า

มีบ่าวคนใดที่ถูกสั่งสอน แล้วยังยิ้มออกมาได้!

ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่อยากให้เล่อเหยาเหยายิ้มแปลกประหลาดเช่นนี้ หนานกงจวิ้นซีมองอย่างหวาดกลัว

ในจิตใต้สำนึก หนานกงจวิ้นซีรู้ว่า นี่ต้องเกี่ยวกับตน และยังเป็นเรื่องที่เลวร้ายยิ่งแน่

กำลังจะเอ่ยปากสั่งสอนอีกครั้ง ชายชุดขาวด้านข้าง กลับพลันเอ่ยปากขึ้นมา หยุดคำพูดของหนานกงจวิ้นซี

“น้องเหยา คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะมีวาสนาได้เจอกันเร็วเช่นนี้!”

น้ำเสียงนุ่มทุ้มต่ำดังขึ้น ทำให้เล่อเหยาเหยาที่กำลังก่นด่าในใจ ตกใจขึ้นมา พลันดวงตาเบิกกว้าง

สวรรค์!เธอฟังไม่ผิดใช่หรือไม่!

เสียงนี้มันคือ…

เล่อเหยาเหยาตกใจ ก่อนเงยหน้ามองไปยังที่มาของเสียงนั้น

หลังเห็นเงาร่างที่คุ้นตานั้น สมองพลันเกิดเสียง ‘ตูม’ขึ้นมา ก่อนจะขาวโพลน

เมื่อได้สติเธอทั้งไม่เชื่อสายตาและแปลกใจอย่างมาก ก่อนเอ่ยอย่างตกใจว่า

“พี่ไป๋ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร!”

เสียงตกใจของเล่อเหยาเหยา ทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋และหนานกงจวิ้นซีมีสีหน้าตกตะลึงพร้อมกันอีกครั้ง

เพราะพวกเขาคิดไม่ถึงว่า เล่อเหยาเหยาจะรู้จักกับตงฟางไป๋

เมื่อเห็นท่าทางตกใจและดีใจของเล่อเหยาเหยาที่มีต่อตงฟางไป๋ ทำให้พญายมที่อยู่ด้านข้างหรี่ตาเย็นชาลง เม้มริมฝีปากปากรูปกระจับนั้น เห็นชัดว่าไม่พอใจเล็กน้อย

คิดไม่ถึงคนตัวเล็กนี้จะดึงดูดผู้คนเช่นนี้ คนแรกคือศิษย์น้อง หญิงสาวที่มาจากหออวี๋หงอีก ตอนนี้กระทั่งตงฟางไป๋ก็…

ยิ่งคิด แววตาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ยิ่งเย็นชายิ่งขึ้น

ส่วนหนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้าง หลังหายตกตะลึง ก็เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัยว่า

“ไป๋ พวกเจ้ารู้จักกันหรือ!”

“ฮ่าๆ ใช่ ข้ากับน้องเหยาช่างมีวาสนาต่อกันยิ่งนัก!”

เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยแปลกใจของหนานกงจวิ้นซี ตงฟางไป๋ดูผ่อนคลายลง ยิ้มอย่างอ่อนโยนสง่างาม ทำให้คนรู้สึกคล้ายสายลมเย็นสดชื่นพัดผ่าน และสบายอกสบายใจ

เมื่อเห็นตงฟางไป๋ยิ้มอย่างชวนหลงใหล แววตาเล่อเหยาเหยาอดปรากฎความตกตะลึงขึ้นมาไม่ได้

อืม…

ช่างเป็นชายหนุ่มที่อ่อนโยนหล่อเหลา ทำให้คนรู้สึกคล้ายพี่ชายข้างบ้าน

เล่อเหยาเหยาเป็นลูกสาวคนเดียว จึงอยากมีพี่ชาย พี่สาวหรือน้องชาย น้องสาวมาตลอด น่าเสียดายที่บิดามารดาเอ่ยว่ามีเธอเพียงคนเดียวก็พอแล้ว

ความจริงในใจเธอ เธออยากมีพี่ชายที่อ่อนโยน คล้ายชายหนุ่มตรงหน้าอย่างยิ่ง

บุคลิกงดงาม นิสัยดุจดอกม่อหลัน (ดอกกล้วยไม้) เรียบง่ายไม่เป็นสองรองผู้ใด

อีกทั้งในใจเขา ไม่มีการแบ่งชนชั้นว่าต่ำต้อยหรือร่ำรวย

หากเปรียบเทียบกับเมื่อครู่ เขาเห็นตนเข้า รู้ว่าตนเป็นเพียงบ่าวรับใช้ หากเป็นผู้อื่นอาจจะกลัวเสียหน้า แสร้งทำเป็นไม่เห็นเขา แต่เขากลับแตกต่างออกไป ท่าทางที่มีต่อเธอ ก็เป็นดั่งในอดีต ไม่มีความแตกต่างเลยแม้แต่น้อย

เรื่องนี้ จึงทำให้เล่อเหยาเหยาประทับใจตงฟางไป๋อย่างยิ่ง

ยิ้มสดใสดที่มุมปากตอบกลับตงฟางไป๋

รอยยิ้มบานสะพรั่งนั้น  ดุจดอกท้อมากมายที่เบ่งบาน งดงามและน่าตกตะลึงอย่างยิ่ง!

แต่รอยยิ้มงดงามนั้น มีเพียงผู้เดียวที่เบิกบาน แต่ดวงตาของสองคนที่เหลือกลับเศร้าใจ ซึ่งเล่อเหยาเหยาไม่รู้เลย

ส่วนตงฟางไป๋หลังมองใบหน้ายิ้มแย้มดุจบุปผาของเล่อเหยาเหยา รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาไม่ได้

เพราะเพิ่งเอ่ยถึงน้องสาวที่หายไปของตน ทำให้เขาโศกเศร้าอย่างมาก แต่ตอนนี้เขาพบว่ารอยยิ้มของคนตัวเล็กด้านหน้า คล้ายมีเสน่ห์ของความเป็นธรรมชาติ

รอยยิ้ม‘เขา’สดใส บริสุทธิ์ ไร้ความซับซ้อน งดงามชวนหลงใหล และสบายตา ทำให้คนอยากเข้าใกล้ ‘เขา’โดยไม่รู้ตัว

หลังตกตะลึงกับรอยยิ้มของเล่อเหยาเหยา ดวงตาเรียวยาวของตงฟางไป๋ปรากฎความอ่อนโยนหลายส่วน มุมปากยิ้มไม่คลาย ก่อนหัวเราะออกมา

“น้องเหยา แผลที่เอวเจ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่! ตอนนี้ให้ข้าดูอาการให้เถิด”

หากเมื่อครู่ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้านั้นผิดไป เล่อเหยาเหยาตื่นเต้นดีใจจึงวิ่งพุ่งมาที่นี่

แต่แผลบนเอวของ‘เขา’จะสามารถวิ่งเช่นนี้ได้อย่างไร!

พอคิดถึงตรงนี้ ตงฟางไป๋มีสีหน้าอดกังวลไม่ได้

เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น อดอบอุ่นในใจไม่ได้

คิดไม่ถึง เขาจะห่วงใยเธอเช่นนี้ จำได้ว่าร่างกายเธอยังบาดเจ็บ!

ในใจอดเกิดความรู้สึกหวานชื่นขึ้นมาไม่ได้ อบอุ่นยิ่งนัก!

แต่ว่าเล่อเหยาเหยายังไม่ทันเอ่ยสิ่งใดกับตงฟางไป๋ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่เดิมทีไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรงอยู่ด้านข้าง หลังได้ยินว่าเล่อเหยาเหยาบาดเจ็บ คิ้วงามน่ามองนั้นอดขมวดไม่ได้ เผยอริมฝีปากเอ่ยขึ้นมาทันที

“เจ้าบาดเจ็บหรือ บาดเจ็บได้อย่างไร”

“เอ่อ ท่านอ๋อง บ่าวไม่เป็นไร!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ และสีหน้าห่วงใยของเขา ทำให้เล่อเหยาเหยาพลันรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด แต่เธอยังส่ายหน้าแสดงออกว่าไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรง

ความจริง เล่อเหยาเหยาเป็นคนที่เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย

เมื่อครู่เดิมทีเธอข่มความเจ็บปวดที่เอวกลับมา วางแผนจะพักผ่อน

คิดไม่ถึงหลังได้ยินว่าพญายมกลับมา ร่างกายคล้ายถูกฉีดเลือดไก่เข้าไป

ทันใดนั้น ร่างกายมีกำลังวังชา เอวก็ไม่เจ็บปวด

ถึงตอนนี้เมื่อตงฟางไป๋เอ่ยขึ้น เธอก็ฉุกคิดได้ว่าเอวตนยังเจ็บอยู่เล็กน้อย

เพราะเมื่อครู่ที่ถูกถูเฟยถีบนั้น แม้เขาจะมีแขนขาที่สั้น แต่พลังกลับมีไม่น้อย เท้าที่ถีบนั้นของเขา แทบปลิดชีวิตเธอได้!

แม้เธอไม่ได้ดูแผลที่เอว ก็รู้ว่าบนเอวเธอต้องเขียวคล้ำเป็นแน่

ตอนนี้ เมื่อได้ยินพญายมเอ่ยถามอย่างห่วงใย ทำให้เล่อเหยาเหยาอบอุ่นใจ

เล่อเหยาเหยายังไม่ทันคิดสิ่งใด รู้สึกเพียงแน่นที่ข้อมือ จากนั้นร่างกายก็ลอยไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้จันทน์แดง สายตาสบเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาในระยะประชิด

หูได้ยินเสียงทุ้มต่ำเย็นชาของพญายมดังเข้ามา แต่ว่ากลับไม่เอ่ยกับเธอ

“ไป๋ ดูบาดแผลบนตัวกระต่ายน้อยหน่อยเถิด!”

เมื่อได้ยินคำพูดของพญายม เล่อเหยาเหยาตะลึงเล็กน้อย ทันใดนั้น คล้ายฉุกคิดได้ รีบดึงมือของพญายมออกไป ก่อนรีบเอ่ยขึ้นว่า

“มะ…ไม่เป็นไร บ่าวไม่เป็นไร!”

“จะไม่เป็นไรได้เช่นไร ดูสีหน้าเจ้าซีดเซียวหมดแล้ว หรือเจ้าคิดว่าร่างกายตนทำมาจากเหล็กกล้า! ถอดเสื้อผ้าออกซะ”

แม้ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เหตุใดเล่อเหยาเหยาจึงบาดเจ็บ แต่หลังได้ยินคำพูดของตงฟางไป๋ และมองหน้าของเล่อเหยาเหยาอีกครั้ง ทันใดนั้น ความเจ็บปวดก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋รู้ว่าคนตัวเล็กตรงหน้าคงบาดเจ็บไม่น้อย

ใจก็อดกระตุกไม่ได้ เพราะรู้สึกกังวลเกี่ยวกับ ‘เขา’

น่าเสียดาย เมื่อเล่อเหยาเหยาได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ กลับดิ้นรนหนักขึ้น สีหน้าก็ยิ่งดูกังวล

เพราะแผลเธออยู่ที่เอว จะให้คนเห็นได้เช่นไร!หากถูกคนรู้เข้าว่าเธอคือผู้หญิง เธอยังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกหรือ!

โดยเฉพาะคนที่โอหังอย่างพญายม ที่แสนเกียดชังผู้หญิง

แม้ครั้งก่อนในหอนางโลม จะถูกคนวางยา ให้ตายเขาก็ไม่เลือกผู้หญิง สุดท้ายกลับเลือก ‘ขันที’เช่นเธอ

อาจเป็นเพราะวันนั้น พญายมอยากให้ตนกลับมาเป็นปกติ แต่ว่าต่อมากลับเอาชนะจิตใจที่เกลียดผู้หญิงของตนไม่ได้

ดังนั้นตอนนี้ สถานะของเธอคือผู้หญิง ถูกคนรู้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะเธอกลัวพญายมจะกำจัดเธอ!

ยิ่งคิดในใจเล่อเหยาเหยายิ่งหวาดกลัว สีหน้าก็ยิ่งกังวลขึ้น

ต่อมา พญายมที่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจคิดจะยื่นมือมาจับตัวเล่อเหยาเหยา จนเธอกรีดร้องเสียงดังออกมา

“ไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เสียงแหลมดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ในค่ำคืนอันเงียบสงบจึงชัดเจนเป็นพิเศษ และทำให้เหม่ยและซิงที่เฝ้าอารักขาอยู่ด้านนอกคิดว่าด้านในเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น รีบร้อนพุ่งเข้ามา

เสียงกรีดร้องของเล่อเหยาเหยา ไม่เพียงทำให้พญายมตกใจ มือที่ยื่นออกมานั้นชะงักอยู่กลางอากาศ ไม่ขยับเข้าใกล้ร่างตรงหน้าอีก

บนใบหน้าเด็ดเดี่ยวนั้น ปรากฎความตกตะลึงขึ้นมา

หนานกงจวิ้นซีและตงฟางไป๋ถูกเสียงกรีดร้องของเล่อเหยาเหยาทำให้ตกตะลึงเช่นกัน ทุกคนต่างไม่เข้าใจเพียงอยากตรวจดูบาดแผลให้ ‘เขา’ เหตุใด ‘เขา’ จึงมีท่าทีรุนแรงเช่นนี้ หรือบนร่างกาย ‘เขา’ มีความลับที่บอกผู้ใดไม่ได้!